ไฉ่อวี้ไม่กล้าส่งเสียง
สตรีวัยกลางคนกล่าวว่า “เรือมาแล้ว อาจารย์ของพวกเจ้าอยู่บนเรือ ตามข้าขึ้นเรือมา!”
ทั้งสองพลันดีใจ!
อาจารย์อาพาพวกนางขึ้นเรือ ดีเสียยิ่งกระไร!
ทั้งสองเดินไปยังด้านข้างของสตรีวัยกลางคนด้วยความปลื้มปีติ
สตรีวัยกลางคนกล่าวว่า “ฮูหยิน นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด”
“เรื่องนั้น…” อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขึ้นไปบนเรือกับพวกท่านได้ไหม?”
สตรีวัยกลางคนมองไปยังเธอด้วยความเคลือบแคลงใจ
อวี๋หวั่นบอกว่า “ข้าเป็นเพื่อนของเจ้าสำนักน้อยของพวกท่าน ข้าอยากพบเขา”
ไฉ่อวี้แค่นเสียง ‘หึ’ ในทันใด “อาจารย์อาท่านอย่าไปเชื่อนาง! เมื่อครู่นางบอกว่านางมีสัญญาขายตัวของเจ้าสำนักน้อย! ครั้งนี้ยังจะมาบอกอีกว่าเป็นเพื่อนของเจ้าสำนักน้อย! ข้าว่านางได้แต่พูดจาเหลวไหล ไม่มีเรื่องจริงสักเรื่องหรอก!”
อวี๋หวั่นเหนื่อยใจเหลือเกิน สิ่งที่เธอพูดออกไปล้วนเป็นความจริง จริงแท้แน่นอน!
แน่นอนว่าสตรีวัยกลางคนย่อมไม่เชื่อคำพูดของอวี๋หวั่น สำนักเฟยอวี๋เป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า ผู้ที่อยากประจบเจ้าสำนักน้อยมีมากมายราวกับเหล่ามัจฉาในสายน้ำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้ยินคำพูดเหลวไหลเช่นนี้
เพียงแต่น่าเสียดายใบหน้างามล่มเมืองนี้ หากไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นพระธิดาของกษัตริย์ ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงจอมหลอกลวงในยุทธภพ
อย่างไรก็ดี เจ้าสำนักมีใจโอบอ้อมอารี เป็นมิตรต่อคนในใต้หล้า นางไม่อาจทำให้เจ้าสำนักขายหน้า จึงพูดกับอวี๋หวั่นด้วยท่าทีที่นับว่าเกรงอกเกรงใจ “ฮูหยินได้โปรดกลับไปก่อน หาเจ้าสำนักต้องการพบ ย่อมต้องแจ้งกับพวกข้า”
ความหมายโดยนัยก็คือ จะไม่พาอวี๋หวั่นขึ้นเรือ
อวี๋หวั่นรู้สึกผิดหวัง จึงบอกไปว่า “เช่นนั้นรบกวนท่านไปบอกเขาว่าอาหวั่นมาหา”
สตรีวัยกลางคนมิได้ปฏิเสธหรือตอบรับ นางมองอวี๋หวั่น จากนั้นก็พาทั้งสองเดินจากไป
ไฉ่อวี้กระซิบถามว่า “อาจารย์อา ท่านจะนำคำพูดของนางไปแจ้งหรือไม่เจ้าคะ?”
สตรีวัยกลางคนยังคงลังเล คำพูดเพียงประโยคเดียว แต่นางไม่รู้ว่าควรนำไปแจ้งหรือไม่
นางคิดว่าจะไปถามเจ้าสำนักน้อยว่ารู้จักสตรีที่ชื่ออาหวั่นหรือไม่ ถ้าเจ้าสำนักน้อยรู้จัก ค่อยบอกเขาก็ยังไม่สาย แต่ถ้าไม่รู้จัก ก็ทำเป็นว่านางไม่เคยพบกับคนโกหกเช่นนั้้นมาก่อน
อวี๋หวั่นมองไปยังเรือลำขนาดมหึมาซึ่งกำลังจะจอดเทียบท่า กระนั้นก็เป็นเพราะการอารักขาที่เข้มงวด เธอจึงไม่อาจเข้าใกล้เรือได้
เธอไม่เคยคิดเลยว่าการพบหน้าเจียงไห่นั้นยากถึงเพียงนี้
เพียงแต่หวังว่าอาจารย์อาผู้นั้นจะใจดี นำคำพูดไปบอกกับเขา
ถ้าหากเจียงไห่รู้ว่าเธอมา ก็ต้องพลิกสำนักตามหาเธออย่างแน่นอน
สตรีวัยกลางคนพาไฉ่อวี้กับไฉ่เยี่ยนขึ้นเรือ
นางเดินเข้าไปในห้องหรูหราห้องหนึ่ง ยกมือขึ้นคำนับผู้ที่นั่งอยู่ “เหลี่ยวเฉินคำนับเจ้าสำนัก เจ้าสำนักน้อย ศิษย์พี่ทั้งสอง ส่วนท่านนี้คือ…”
นางมองไปยังใบหน้าไม่คุ้นเคยด้วยสายตาประหลาดใจ คนหนึ่งคือผู้เฒ่าอายุอานามใกล้เคียงกับเจ้าสำนัก อีก
คนหนึ่งคือคุณหนูผู้งดงามดุจบุปผาชาติ
คุณหนูผู้นี้สวมผ้าคลุมหน้า รูปร่างอรชร ท่วงท่างดงาม
สตรีวัยกลางคนมองปราดเดียวก็รู้ว่าการท่องทะเลสาบในวันนี้คือการดูตัว จัดขึ้นเพื่อให้เจ้าสำนักน้อยกับคุณหนูท่านนี้ได้พบกัน
เจ้าสำนักกล่าวว่า “ท่านนี้คือหัวหน้าเผ่าเว่ยจากเผ่าชิวซาน นี่คือคุณหนูเว่ย”
เผ่าชิวซานเป็นเผ่าเล็กๆ ใกล้กับเผ่าปีศาจ ทำเหมืองเกลือ ราษฎรมั่งคั่งร่ำรวย
เมื่อเห็นท่าทางยิ้มแย้มของเจ้าสำนักแล้ว ชัดเจนว่าเจ้าสำนักย่อมมีความคาดหวังที่จะเกี่ยวดองกับพวกเขาอย่างเปี่ยมล้น
หลังจากนั้น คุณหนูเว่ยผู้นี้ก็จะกลายเป็นฮูหยินน้อยของพวกเขา ต่อหน้าฮูหยินน้อยจะให้ถามเจ้าสำนักน้อยว่ารู้จักสตรีที่ชื่ออาหวั่นหรือไม่ จะไม่เท่ากับเป็นการทำลายการแต่งงานของพวกเขาหรอกหรือ?
เหลี่ยวเฉินลอบถอนหายใจ ขอโทษด้วยฮูหยิน ข้าไม่สามารถพูดออกไปได้
สุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็ไม่ได้รอเจียงไห่
ทูตแห่งความมืดซึ่งไปยกอาหารกลับมาแล้ว “ฮูหยิน นี่คือเนื้อตุ๋นน้ำแดง สันหลังแพะ และก้วนทังเปา”
อวี๋หวั่นกินเข้าไปสองคำ จากนั้นก็เดินกลับเรือนไป
เธอวางแผนว่าจะแกล้งป่วย จากนั้นก็พักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน ไม่เช่นนั้นหากคลาดกับเจียงไห่ ก็คงพลาดโอกาสหลบหนีเพียงครั้งเดียว
น่าเสียดายที่บุรุษชุดดำไม่ไว้หน้าเธอเอาเสียเลย เขาริบของของเธอไว้ ใช้แส้ซิวหลัวมัดซิวหลัวเอาไว้ แล้วจับทั้งสองยังใส่รถม้า
อวี๋หวั่นโมโหจนอยากจับเขาทุ่มให้รู้แล้วรู้รอด!
บุรุษชุดดำควบม้ามาด้านข้าง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินจะร้องก็ได้ จะเสียงดังเท่าไรก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็บอกคนในสำนักไว้แล้วว่าฮูหยินสติวิปลาส”
อวี๋หวั่นกัดฟันกรอด เขาตัดทางหนีทีรอดสุดท้ายของเธอแล้ว! เจ้าคนโฉดชั่ว!
เธอไม่คุ้นเคยกับที่นี่ จะร้องแร่แห่กระเชอไปก็ไม่มีใครช่วย และคงไม่มีใครนำเรื่องของคนวิปลาสไปรายงานต่อเจ้าสำนักน้อยด้วย
เธอจะถูกจับกลับไปยังเผ่าปีศาจจริงๆ หรือ?
“นี่ พวกเจ้าช้าหน่อยสิ! ระวังของของคุณชาย!”
“ไม่เป็นไรหรอก ทำจากไม้ทั้งนั้น ตกไปก็ไม่แตก”
เสียงอันนุ่มนวลและคุ้นเคยนี้…
อวี๋หวั่นเลิกม่านทันใด!
“หวั่นเฟิง!!! ”
บุรุษหนุ่มซึ่งอยู่บนหลังม้ากระตุกบังเหียนในทันใด เขาหันมาด้วยสีหน้างุนงง มองไปยังทิศทางของรถม้าที่เพิ่งสวนกับตนไป “ท่านพี่หวั่น?”
บุรุษชุดดำสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขารีบเข้าไป หมายสกัดจุดของอวี๋หวั่น ทว่าช้าไปหนึ่งก้าว อวี๋หวั่นตะโกนว่า “ข้าถูกจับ!”
หวั่นเฟิงนัยน์ตากระตุกวูบ “หยุดพวกเขาไว้!”
ประตูสำนักที่เปิดอ้าถูกลูกศิษย์ในสำนักปิดลงทันใด ลูกศิษย์กลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามาล้อมรถม้าไว้ในเวลาชั่วพริบตา!
บุรุษชุดดำขมวดคิ้ว
หวั่นเฟิงควบม้าเข้ามา!
บุรุษชุดดำหยุดเขาไว้ “ฮูหยินของพวกข้านั่งอยู่ด้านใน คุณชายโปรดอย่าล่วงเกิน”
หวั่นเฟิงท่าทางงามสง่าเปี่ยมพลัง นัยน์ตาเย็นชา “ฮูหยินของพวกเจ้าอะไรกัน? ข้าไม่รู้จักพวกเจ้าด้วยซ้ำ! เหตุ
ใดท่านพี่หวั่นของข้าจึงกลายเป็นฮูหยินของพวกเจ้าไปได้! ถอยไป!”
หลังจากที่เขาแผดเสียงตวาด ลูกศิษย์ในสำนักต่างก็ชักกระบี่ออกมา
หวั่นเฟิงพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินอ้อมไปยังบุรุษชุดดำ แล้วเข้าไปพยุงอวี๋หวั่นมา
“มีซิวหลัวด้วย” อวี๋หวั่นมองไปยังรถม้าอีกคันหนึ่ง
หวั่นเฟิงส่งสัญญาณมือให้เหล่าลูกศิษย์ พวกเขาพุ่งไปยังรถม้า แล้วช่วยซิวหลัวออกมา
ทันใดนั้นจิตสังหารของทูตแห่งความมืดก็พลุ่งพล่าน
บุรุษชุดดำส่งสัญญาณมือเพื่อบอกให้พวกเขาใจเย็นก่อน จากนั้นก็มองไปยังทิศทางที่เจ้าสำนักเดินเข้ามา “เจ้าสำนักมาได้จังหวะพอดี ไม่รู้ว่าคุณชายท่านนี้คือผู้ใด อยู่ๆ ก็มายื้อยุดฉุดกระชากฮูหยินของเผ่าปีศาจ”
เจ้าสำนักอายุย่างหกสิบปีทว่าสติสัมปชัญญะยังคงปราดเปรื่องสาวเท้าเข้ามา ยกมือขึ้นประสาน คำนับบุรุษชุดดำ “ผู้พิทักษ์จูเก๋อ นี่คือหวั่นเฟิงหลานชายของข้า ใช้ชีวิตอยู่ในหนานจ้าวมาโดยตลอด เพิ่งกลับสำนักมาเป็นครั้งแรก หากเขาล่วงเกินท่าน ได้โปรดให้อภัยด้วย”
พูดจบ เจ้าสำนักก็หันไปหาหวั่นเฟิง “เฟิงเอ๋อร์ ยังไม่คืนฮูหยินให้ผู้พิทักษ์จูเก๋ออีก!”
หวั่นเฟิงมีสีหน้าจริงจัง “ท่านตาขอรับ! นางไม่ใช่ฮูหยินของพวกเขา!”
เจ้าสำนักสีหน้าถมึงทึงในทันใด “อย่าพูดจาเหลวไหล!”
หวั่นเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “นางไม่ใช่ฮูหยินของพวกเขาจริงๆ นะขอรับ! นางมีสามีแล้ว! นางจะไปเป็นฮูหยินของเผ่าปีศาจได้อย่างไรกัน?”
บุรุษชุดดำรู้ว่าตี้จีองค์โตแต่งงานไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินหวั่นเฟิงพูดเช่นนี้ เขาจึงมิได้ตกใจแม้แต่น้อย เพียงแต่คุณชายน้อยผู้นี้ดูคล้ายกับว่าจะรู้จักกับฮูหยินมานาน เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเขาเหลือเกิน
บุรุษชุดดำมองไปยังเจ้าสำนัก หวังว่าผู้เฒ่าจะไม่เลอะเลือนเสียจนคิดเป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจ
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เจ้าสำนักไม่มีทางตั้งตัวเป็นอริกับเผ่าปีศาจโดยเด็ดขาด
เขากล่าวกับหวั่นเฟิงว่า “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของผู้อื่น เจ้าไม่ต้องมาข้องเกี่ยว! ปล่อยฮูหยินบัดเดี๋ยวนี้!”
“ข้าไม่ปล่อย!” หวั่นเฟิงมายืนขวางหน้าอวี๋หวั่นไว้ “หากจะจับนางไป ก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
เจ้าสำนักระเบิดโทสะ “นางเป็นใคร เจ้าถึงต้องปกป้องเช่นนี้?!”
“นางเป็นภรรยาของข้า! ข้าเป็นสามีของนาง!” ด้วยความร้อนรน หวั่นเฟิงจึงพาตนเองเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเสียแล้ว
อวี๋หวั่นสำลัก
เฟิงเฟิงเอ๋ย คนอื่นเขาพูดเล่นกันอย่างนี้หรือ…
“เจ้า…” เจ้าสำนักโมโหจนแทบลมจับ “ไฉนข้าจึงไม่เคยได้ยินน้าของเจ้าบอกเลยว่าเจ้าแต่งงานแล้ว?”
หวั่นเฟิงเหยียดหลังตรง “เป็นเพราะเขาไม่พูด!”
บุรุษชุดดำหัวเราะอย่างเย็นชา “คุณชายหวั่นเฟิง ไม่ต้องพยายามแล้ว ท่านตาของเจ้าไม่ตั้งตัวเป็นอริกับเผ่าปีศาจเพื่อสตรีเพียงคนเดียวหรอก ข้าขอเตือนเจ้าให้จับคนมัดแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวท่านตาของเจ้าลงไม้ลงมือขึ้นมา ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะกลับไปมีสภาพสมบูรณ์”
เขากำลังข่มขู่ให้เจ้าสำนักพาหวั่นเฟิงออกไป
เจ้าสำนักมีโทสะ เขาจะปิดประตูสั่งสอนหลานของเขาอย่างไรย่อมมิใช่เรื่องของคนนอก กระนั้นสิ่งที่ผู้พิทักษ์จูเก๋อกล่าวก็ถูกต้อง พวกเขาไม่อาจล่วงเกินเผ่าปีศาจ อย่างน้อยก็ไม่อาจล่วงเกินเผ่าปีศาจเพียงเพื่อสตรีเพียงคนเดียว
ต่อให้นางเป็นคนในใจของหลานชายของเขา เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้หลานชายทนความเจ็บปวดกระมัง
เจ้าสำนักพยักเพยิดให้ลูกศิษย์ “พวกเจ้าพาคุณชายน้อยกลับเรือน”
พวกเขาเข้ามาลากหวั่นเฟิงออกไป
อวี๋หวั่นความคิดโลดแล่นในทันใด “ช้าก่อน! ข้าตั้งครรภ์! หากท่านส่งข้าให้เผ่าปีศาจ ท่านจะต้องเสียใจ!”
หวั่นเฟิงพูดตามน้ำอย่างมีไหวพริบ “ใช่แล้ว! นางตั้งครรภ์! ตั้งครรภ์เหลนของท่าน! ท่านจะส่งเหลนให้คนอื่นไปไม่ได้!”
ความสามารถในการแสดงของทั้งสองย่ำแย่เสียจนไม่อาจทนดูได้
อวี๋หวั่นยังคงสำแดงฝีมือในการแสดงที่เก่งกาจพอๆ กับความสามารถฝีมือในการทำอาหารของเธอ “ขะ…ข้าจับชีพจรแล้วถึงบอกท่าน!”
แน่ใจหรือว่าตั้งครรภ์จริงๆ? ไม่ใช่แค่ท้องอืด?
บุรุษชุดดำหัวเราะร่วน
แน่นอนว่าเจ้าสำนักย่อมมองออกว่าทั้งสองเพียงแค่เล่นละครตบตา เอาเถอะ เขาจะเปิดโปงความจริงเอง เจ้าเด็กนี่จะได้รู้จักสงบปากสงบคำ แล้วกลับเรือนไปกับเขาแต่โดยดี!
“เรียกหมอใหญ่มา!”
“ขอรับ!”
อวี๋หวั่นตกใจ ไม่ได้สิ เร็วขนาดนี้เลยหรือ? อย่างน้อยก็ให้เวลาเธอสักครึ่งชั่วยาม เธอจะได้กลับไปกินยา!!!
จบสิ้นกัน จบเห่แล้ว
อวี๋หวั่นรู้สึกประหนึ่งฟ้าจะถล่มลงมา
หมอใหญ่รุดรีบมาอย่างรวดเร็ว
อวี๋หวั่นยอมรับโชคชะตา ยื่นแขนให้หมอ
หมอจับชีพจรของอวี๋หวั่น จากนั้นก็หันไปประสานมือให้เจ้าสำนัก พร้อมกับกล่าวว่า “ยินดีด้วยขอรับเจ้าสำนัก
ฮูหยินน้อยตั้งครรภ์แล้ว!”
อวี๋หวั่น “…”
เจ้าสำนัก “…”
หวั่นเฟิง “…”
…………………….
Related