ณ สำนักเฟยอวี๋ อวี๋หวั่นเตรียมเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทาง
อวี๋หวั่นใคร่ครวญดูแล้ว ที่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตามหาเธอ เป็นไปได้ว่าอาม่าจะพาไปผิดทาง แต่ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาค้นพบเส้นทางที่ถูกต้อง และเดินทางไปยังเผ่าปีศาจได้สำเร็จ
เธอแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉามานาน นิสัยของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นอย่างไร เธอย่อมรู้ดี
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเธอถูกทูตแห่งความมืดจับไปยังเผ่าปีศาจ เขาจะต้องตามไปยังเผ่าปีศาจอย่างแน่นอน
ถ้าหากเธอต้องการไปพบเขา ทางที่ดีที่สุดคือต้องเดินทางไปเผ่าปีศาจ
อีกทั้งนอกจากการตามหาเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า
“สิ่งที่เจ้าสำนักจี้พูดเป็นความจริงหรือ?” อวี๋หวั่นมองไปยังบุรุษตรงหน้า
เจ้าสำนักจี้ครุ่นคิด “ข้าก็เพียงฟังคนอื่นพูดมา สำนักเฟยอวี๋ต้อนรับแขกจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขามักจะนำข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ มาด้วย ส่วนเรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จ ข้าเองก็ไม่อาจยืนยันได้”
อวี๋หวั่นพึมพำ “ร้อยปีไม่เน่า ไม่ผุพังหรือบุบสลาย ฟังดูไม่ยักเหมือนของจริง”
เจ้าสำนักจี้กล่าวว่า “ข่าวลือมักจะเกินความจริง แต่ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มีพลังในการคืนชีพ เพื่อนของข้าคนหนึ่งหลงเข้าไปในอาณาเขตของเผ่าปีศาจ และถูกงูกัด เดิมทีเขาไม่มีทางรอดชีวิต แต่กลับถูกผู้สวมอาภรณ์สีขาวคนหนึ่งช่วยเอาไว้ เขาจึงเดาว่านางน่าจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ หรืออย่างน้อยก็เป็นทายาทของนาง”
“เพื่อนคนนี้ของเจ้าสำนักจี้ ตอนนี้อยู่ที่ใดหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
เจ้าสำนักจี้ตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “เขาเสียไปแล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก่อนเขาจะสิ้นใจ ข้าไปเยี่ยมเขา เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้อยู่บนโลก เขาบอกว่าที่เขาตายไปแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่เป็นเพราะนางช่วยชีวิตไว้”
คนตายไปแล้วจะกลับมามีชีวิตรอดได้อย่างไรกัน? อวี๋หวั่นคิดว่าต้องเป็นเพราะเพื่อนของเจ้าสำนักจี้กล่าวเกินจริง แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือแม่นางท่านนั้นที่มีวิชาแพทย์สูงส่ง
อวี๋หวั่นหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “นางเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?”
เจ้าสำนักจี้ขมวดคิ้ว “เขาว่าอย่างนั้น แต่ถ้าถามข้า เขาน่าจะถูกพิษของงูทำให้เกิดภาพหลอน หรือไม่เขาก็ไม่เคยพบสตรีคนใดมาก่อน”
อวี๋หวั่นเงยหน้ามามองเขา “เช่นนั้นจะอธิบายเรื่องการถอนพิษได้อย่างไร?”
เจ้าสำนักจี้ครุ่นคิด แล้วตอบว่า “พลังภายในของเขาแข็งแกร่ง เขากำจัดพิษด้วยตัวเองหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้”
อวี๋หวั่นพยักหน้า ตอบว่า “นั่นก็คือความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง ข้าต้องไปสืบดู”
เจ้าสำนักจี้ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ขออภัยที่ต้องกล่าวตามตรง แต่ทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์สำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง สามีของข้าถูกพิษไป๋หลี่เซียง ข้าต้องการตัวยาจากนาง”
“ไป๋หลี่เซียง?” เจ้าสำนักจี้เคยได้ยินชื่อพิษชนิดนี้มาก่อน เรื่องความรุนแรงของพิษไม่ต้องเอ่ยถึง ปราศจากวิธีถอนพิษ และปราศจากวิธีถอนพิษนั้นหมายความว่าไม่มีตัวยาที่พวกเขาตามหาอยู่บนโลกนี้
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ได้คางคกหิมะกับเห็ดหลินจือแดงมาแล้ว ตอนนี้ก็ขาดแค่เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์กับน้ำตาราชาพ่อมด”
ขาดแค่?
เกรงว่าคงจะหาไม่พบกระมัง
สตรีศักดิ์สิทธิ์และพ่อมดนั้นหายสาบสูญไปนานแล้ว ต่อให้สิ่งที่เพื่อนของเขาพูดเป็นความจริง ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสตรีชุดสีขาวผู้นั้นเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ หรืออาจเป็นเพียงสตรีในเผ่าที่วิชาแพทย์เลิศล้ำคนหนึ่ง
เผ่าปีศาจและแดนปีศาจก็เปรียบได้กับหนานจ้าวซึ่งตั้งอยู่ในหนานเจียง เผ่าปีศาจตั้งอยู่ในแดนปีศาจ แต่อาณาเขตของแดนปีศาจนั้นกว้างใหญ่ ไม่มีผู้ใดเคยวัดขนาดมาก่อน
สตรีผู้นั้นอาจอยู่ในพื้นที่ของเผ่าปีศาจ หรืออาจอยู่ในพื้นที่อื่นในแดนปีศาจก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ควรเดินทางไปให้ถึงเผ่าปีศาจก่อน
เจ้าสำนักจี้ยกมือขึ้นประสานกัน “ฮูหยินเป็นผู้มีพระคุณของหวั่นเฟิง ทั้งยังคอยดูแลลูกชายข้า หากฮูหยินต้องการเดินทางไปเผ่าปีศาจ ข้าสามารถคัดเลือกลูกศิษย์ที่มากประสบการณ์ให้อารักขาฮูหยิน”
“เช่นนั้นต้องรบกวนเจ้าสำนักจี้แล้ว” อวี๋หวั่นไม่อ้อมค้อม เธอกับซิวหลัวไม่รู้ทาง ต่อให้ไม่ได้ตั้งท้อง เธอก็คงไปไม่ถึงเผ่าปีศาจ น้ำใจของสำนักเฟยอวี๋ในวันนี้ เธอต้องหาโอกาสตอบแทนให้ได้
หลังจากที่เจ้าสำนักจี้เดินออกไปไม่นาน ก็มีเงาของคนคนหนึ่งอยู่หน้าปากประตู อวี๋หวั่นคิดว่าเป็นลูกศิษย์ที่ถูกเลือกมา เมื่อหันไปกลับพบว่าเป็นเจียงไห่
ไม่สิ ต้องเรียกว่าจี้สิงชวน
จี้สิงชวนเดินเข้ามา เขามองไปยังสัมภาระบนโต๊ะ แล้วพูดกับอวี๋หวั่นว่า “ข้าจะพาเจ้าไปเผ่าปีศาจ”
อวี๋หวั่นตอบปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ลูกศิษย์ของสำนักเฟยอวี๋คนอื่นก็พอแล้ว”
“พวกเขาคุ้มกันเจ้าไม่ไหวหรอก” จี้สิงชวนตอบตามตรง
อวี๋หวั่นบอกว่า “ข้าจะระวัง อันที่จริงพวกเขาไม่ต้องคุ้มกันข้าก็ได้ ข้ามีซิวหลัว”
จี้สิงชวนตอบว่า “เผ่าปีศาจมีวิธีจัดการกับซิวหลัว”
“ไปถึงแล้วค่อยว่ากัน” เรื่องบางเรื่องต้องค่อยๆ ไตร่ตรอง แต่บางเรื่องก็ต้องเด็ดขาด เธอตั้งใจว่าจะไปเผ่าปีศาจ และยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมา
จี้สิงชวนมีสีหน้าย่ำแย่
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ข้าไม่อยากให้เจ้าไป เจ้าไม่จำเป็นต้องไป”
จี้สิงชวนมีสีหน้าจริงจัง “สัญญาขายตัวของข้าก็อยู่ที่เจ้า”
อวี๋หวั่นอ้าปากค้าง และตอบไปว่า “นั่นเจียงไห่ ไม่ใช่จี้สิงชวน”
“เหมือนกันนั่นแหละ” จี้สิงชวนบอก
“เจ้านี่นะ…” อวี๋หวั่นกดขมับ “เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักน้อยของสำนักเฟยอวี๋ เจ้าต้องอยู่ดูแลที่นี่ ถ้าเจ้าไปกับข้า แล้วสำนักละ?”
จี้สิงชวนตอบว่า “ท่านพ่อข้าแม้จะอายุมากแต่ยังแข็งแรง ยังอยู่ได้อีกนาน หวั่นเฟิงก็โตแล้ว สามารถช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ได้”
อวี๋หวั่น…อวี๋หวั่นเถียงแพ้เขาสินะ
“เอาเป็นว่าตามนี้” จี้สิงชวนพูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป โดยไม่เปิดโอกาสให้อวี๋หวั่นปฏิเสธ
อวี๋หวั่นส่ายหน้า และลงมือเก็บของต่อ
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าซึ่งฟังดูรีบร้อนดังมาจากด้านนอกประตู
“คิดดีแล้วสินะ?” อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้น
“คิดดีอะไรหรือ?”
เป็นเสียงของหวั่นเฟิง
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาได้อย่างไร?”
หวั่นเฟิงเบ้ปาก “ข้ามาไม่ได้หรือ? เมื่อครู่ข้าเห็นท่านน้าข้า เขามาได้คนเดียวหรืออย่างไร?”
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขัน เจ้าเด็กคนนี้ รู้จักอิจฉากับเขาซะด้วย
หวั่นเฟิงมาเพื่อขอเดินทางติดตามอวี๋หวั่นไปด้วย แต่ว่าเขานั้นไม่ได้เถรตรงเฉกเช่นจี้สิงชวน เขามาเพื่อขอให้อวี๋หวั่นตกลง เขายังเด็ก มิได้ปีกกล้าขาแข็งเหมือนจี้สิงชวน เขาพูดอะไรไม่อาจเห็นด้วยไปเสียทุกอย่าง เจ้าสำนักจี้บอกเขาว่าถ้าหากอวี๋หวั่นตอบตกลง ก็จะอนุญาตให้เขาไปด้วย
เจ้าสำนักจี้คนนี้ ตนเองไม่อยากทำให้หลานชายเสียใจ จึงโยนทุกอย่างมาให้อวี๋หวั่น
เอาเถอะ เห็นแก่น้ำใจที่เจ้าสำนักจี้มีให้ เธอก็จะช่วยเขาจัดการเรื่องนี้เอง
“เจ้าไม่ต้องไปหรอก” อวี๋หวั่นบอก
หวั่นเฟิงขมวดคิ้ว “ท่านน้าไปได้ ทำไมข้าไปไม่ได้ละ? ข้าใช้วรยุทธ์ไม่ได้ แต่ข้าใช้ไสยเวทได้! ข้าต้องช่วยท่านได้แน่นอน!”
อวี๋หวั่นพูดอย่างอดทนว่า “ไม่ใช่เพราะข้าดูถูกความสามารถของเจ้า จึงไม่ให้เจ้าไปด้วย อาจารย์ของเจ้าเก่งกาจ เจ้าสืบทอดวิชามาจากเขา แน่นอนว่าต้องเก่งกาจเช่นกัน ข้าให้เจ้าอยูู่ที่นี่ก็เพราะข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ เป็นภารกิจที่สำคัญ ข้าไม่วางใจให้คนอื่นทำ”
เมื่อพูดเช่นนี้ หวั่นเฟิงก็มีท่าทางตื่นเต้นขึ้นมา ร่างผอมบางของเขาเหยียดตรง “ภารกิจอะไรหรือ ท่านพี่หวั่น?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “เจ้ารอเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่นี่”
หวั่นเฟิงบอกว่า “เขาไม่ได้ไปเผ่าปีศาจแล้วหรอกหรือ?”
เด็กคนนี้ ฟังข้อมูลมาไม่น้อยเหมือนกันนะ
อวี๋หวั่นกระแอม แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขาอาจจะไปเผ่าปีศาจ หรือว่ากำลังอยู่ระหว่างทางมาสำนักเฟยอวี๋ก็ไม่อาจรู้ได้ เจ้ารอเขาที่สำนักก่อน แล้วค่อยบอกเขาว่าข้าเดินทางไปไหน จากนั้นก็ค่อยไปหาข้าที่เผ่าปีศาจ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“เอาอย่างนี้ไหม…” หวั่นเฟิงอยากตามอวี๋หวั่นไปด้วย
อวี๋หวั่นพูดต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดว่าอะไร ให้คนอื่นนำความไปบอกเขา แต่เขาไม่รู้จักคนอื่น เขาจะเชื่อหรือ?”
หวั่นเฟิงบอกว่า “เช่นนั้นก็ให้ท่านน้ารอเขา ข้าจะไปกับท่านเอง!”
อวี๋หวั่นตบหน้าตักแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าไม่มีความเห็น เจ้าไปคุยกับท่านน้าเจ้าเอง ถ้าเขาตกลง ข้าก็จะให้เจ้าไป!”
ทีนี้ยังจะกล้าปัดความรับผิดชอบอีกไหม?
……………………
Related