ลูกศิษย์ซึ่งเคยนำของไปส่งให้เผ่าปีศาจมีชื่อว่าฉินเฟยหยาง เขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของสำนักเฟยอวี๋ ครั้งหนึ่งเขาได้พบกับผู้พิทักษ์จูเก๋อซึ่งกำลังหลงทาง จึงพาผู้พิทักษ์จูเก๋อกลับมายังสำนัก และบังเอิญว่าในตอนนั้น ศิษย์น้องของเจ้าสำนัก ซึ่งก็คืออาจารย์อาของไฉ่อวี้และไฉ่เยี่ยนกำลังเก็บตัวฝึกวิชาและเกิดเหตุธาตุไฟเข้าแทรก ผู้พิทักษ์จูเก๋อเป็นคนช่วยนางขับไล่พลังนั้นออกไป หลังจากไปมาหาสู่กันอยู่หลายครั้ง ผู้พิทักษ์จูเก๋อก็ได้กลายเป็นมิตรของสำนักเฟยอวี๋
สำนักเฟยอวี๋ต้องการยาสมุนไพรจำนวนมาก ทว่ามีหลายชนิดที่ไม่อาจหาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่กลับมีในเผ่าปีศาจ หลังจากการเจรจากัน เจ้าสำนักจี้ก็ตัดสินใจสั่งซื้อตัวยาสมุนไพรจากเผ่าปีศาจ คนของเผ่าปีศาจไม่ต้องการเงิน หากแต่ต้องการสินค้าแลกเปลี่ยน
สำนักเฟยอวี๋ใช้สินค้าในปริมาณสองเท่าของสมุนไพรที่สั่งซื้อในการแลกเปลี่ยน จากนั้นจึงให้ลูกศิษย์ในสำนักนำไปส่ง
คนเผ่าปีศาจหาตัวได้ยาก ขากลับจำต้องใช้หนอนพิษตามกลิ่น โดยปกติแล้วขอเพียงฝนไม่ตก ก็ย่อมหาทางกลับบ้านได้อย่างง่ายดาย
แต่ว่า เผ่าปีศาจมีฝนตกชุก
ในครั้งนั้นสำนักเฟยอวี๋นับว่ามีโชค จึงเดินทางไปถึงเผ่าปีศาจได้อย่างราบรื่น
ฉินเฟยหยางจำเส้นทางได้
ครั้งนี้ เขาพาอวี๋หวั่นและจี้สิงชวนเดินทางตามเส้นทางเดิม โดยเข้าไปในทิวเขาแห่งหนึ่ง ตัดผ่านป่าทึบ ข้ามลำธารสายหนึ่ง เพื่อไปยังทางเข้าเผ่าปีศาจ
ทว่า สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาก็คือ ทางเข้านั้นไม่อยู่แล้ว
ทุกคนมองไปยังแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ลูกศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถามว่า “เอ…พวกเราต้องดำลงไปหรือ?”
เผ่าปีศาจอยู่ใต้น้ำหรือ?
อวี๋หวั่นเปิดม่านมองออกไปด้านนอก “กว้างมาก”
จี้สิงชวนมองไปยังฉินเฟยหยางด้วยสีหน้าดุดัน
ฉินเฟยหยางเกาศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “ข้าจำได้ว่าเป็นทางนี้ ไม่น่าผิดพลาด”
ถ้าหากเขาเป็นคนไม่รู้ความ เจ้าสำนักจี้ก็ไม่มีวันส่งเขาไป เพราะฉะนั้นเมื่อมองจากจุดนี้แล้ว จี้สิงชวนมิได้นึกสงสัยในสิ่งที่เขาพูดแต่อย่างใด เพียงแต่เหตุใดทางเข้าเผ่าปีศาจจึงกลายเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่เช่นนี้ไปได้
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าเผ่าปีศาจฝนตกบ่อย ไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้อาจมีฝนตก จนน้ำท่วมปิดทางเข้า”
จี้สิงชวนพยักหน้า “ผืนน้ำนี้ไม่รู้ลึกแค่ไหน พวกเราไม่มีเรือ ข้ามไปไม่ได้”
อวี๋หวั่นเห็นด้วยเป็นอย่างมาก “อีกอย่าง พวกเราไม่รู้ว่าน้ำป่าจะหลากลงมาเมื่อไหร่ เปลี่ยนเส้นทางเถอะ”
“แต่ข้าไม่เคยไปเส้นทางอื่น” ฉินเฟยหยางมีสีหน้าลำบากใจ เขากำลังกังวลว่าตนเองนำมาผิดทาง ทำให้เจ้าสำนักน้อยหลงทาง หากเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าสำนักต้องฆ่าเขาเป็นแน่
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า “พวกเราอยู่ใกล้กับเขตป่า ทางเข้าของเผ่าปีศาจอยู่ทางทิศใต้ ทิศตะวันออกเป็นเทือกเขา ทิศตะวันตกเป็นป่า แต่ถูกน้ำท่วมไปกว่าครึ่ง พวกเราเข้าไปในหุบเขา แล้วอ้อมเทือกเขานี้ไปกันเถอะ”
“หากทำอย่างนั้น รถม้าก็จะเข้าไปไม่ได้” จี้สิงชวนบอก
สำหรับบุรุษอย่างพวกเขานั้นไม่ใช่ปัญหา แต่อวี๋หวั่นกำลังตั้งครรภ์ หากต้องบุกป่าฝ่าดง เห็นทีคนจะยากเกินไป
อวี๋หวั่นยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
เธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
“รอน้ำลงก่อนก็ได้” จี้สิงชวนเอ่ยขึ้น
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้ารอไม่ได้” ยาถอนพิษของเยี่ยนจิ่วเฉาจะรอช้าไม่ได้
จี้สิงชวนเข้าใจว่าเธอหมายความว่าอย่างไร เขาไม่พยายามโน้มน้าวแต่อย่างใด จากนั้นก็พลิกตัวลงจากหลังม้า ให้คนนำของที่จำเป็นไปไว้บนหลังม้า จากนั้นก็เดินไปช่วยพยุงอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยิ้มและดันมือของเขาออก “บอกแล้วว่าข้าเดินได้”
เดินได้จริงๆ เธอตั้งท้องได้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน จะให้เธอค่อยๆ เดินก็ได้ นอกจากนั้นเมื่อก่อนเธอก็ทำไร่ทำนามามาก ร่างกายนับว่าแข็งแรง
จี้สิงชวนลอบสังเกต เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่มีอาการหน้าแดงหรือเหนื่อยหอบ เขาจึงวางใจ
ลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋ที่จี้สิงชวนคัดเลือกมานั้นล้วนแต่มีทักษะด้านทิศทาง อวี๋หวั่นและจี้สิงชวนเชี่ยวชาญยิ่งกว่า ทั้งสองคำนวณทิศทางในใจพลางสังเกตทิศทางของทางเข้าเผ่าปีศาจ
สิ่งที่สำคัญก็คือ ผืนน้ำอันกว้างใหญ่นั้นค่อยๆ แคบลง เมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งก็จะสามารถเดินข้ามไปได้
ซิวหลัวเดินนำด้านหน้าสุดด้วยความตื่นเต้น ราวกับลิงได้กลับเข้าป่า
จี้สิงชวนยังคงรักษาระยะห่างกับอวี๋หวั่นอย่างเหมาะสม เมื่อใดที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เขาจะได้ดึงอวี๋หวั่นไปอยู่ด้านหลัง
เดินไปได้สักพักหนึ่ง จี้สิงชวนก็ขมวดคิ้ว “ระวัง ด้านหน้าเป็นป่าไข้จับสั่น!”
“ซิวหลัว!” อวี๋หวั่นร้องเรียกเสียงดัง
ซิวหลัวซึ่งเดินเข้าไปในป่าไข้จับสั่นไปแล้วก็หันหน้ามามองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
อวี๋หวั่นลืมไปเสียสนิทว่าซิวหลัวไม่กลัวไข้จับสั่น
ไข้จับสั่นเป็นอันตรายต่อมนุษย์ทั่วไป แต่กลับทำอะไรยอดฝีมือที่อยู่เหนือขีดจำกัดอย่างเขาไม่ได้
อย่างไรก็ดี ซิวหลัวคล้ายกับจะรู้ว่าอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาข้ามป่าผืนนี้ไปได้ เขาจึงเดินกลับมายืนอยู่ข้างกายอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นหยิบยาเม็ดออกมาจากล่วมยา “หนึ่งเม็ดต่อหนึ่งชั่วยาม”
จี้สิงชวนหยิบยาส่งให้เธอหนึ่งเม็ด
อวี๋หวั่นยิ้มแล้วตอบว่า “ข้าก็ไม่กลัวไข้จับสั่น”
ในร่างของเธอมีหนอนพิษตัวน้อย พิษทุกชนิดที่เข้าไปในร่างของเธอล้วนแต่ถูกหนอนพิษดูดซับทั้งสิ้น
จี้สิงชวนและลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋คนอื่นๆ กินยาลูกกลอนเข้าไป จากนั้นจึงออกเดินทางต่อ
“พื้นที่ตรงนี้เริ่มต่ำลงแล้ว” จี้สิงชวนกล่าว
อวี๋หวั่นพยักหน้า “มาถูกทางแล้ว เดินต่อไป”
ทุกคนเดินต่อไปอีกสักพัก เดิมทีคิดว่าอีกไม่นานคงจะหาทางเข้าเผ่าปีศาจพบ ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาหาทางเข้าไม่พบ มิหนำซ้ำยังพบกับเหล่าทูตแห่งความมืดที่กำลังปฏิบัติภารกิจอีก
โลกช่างกลมเสียยิ่งกระไร
เป็นดังคาด พวกเขาคิดว่าว่าอวี๋หวั่นคือฮูหยินของพวกเขา
ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าปีศาจ ทูตแห่งความมืดมีปริมาณมากจึงได้เปรียบ อีกทั้งยังมีสรรพาวุธมากมาย ไม่นานก็สามารถตีจี้สิงชวนและเหล่าลูกศิษย์จนกระเจิดกระเจิง
ซิวหลัวยืนกำบังอยู่ด้านหน้าอวี๋หวั่น ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้
ทันใดนั้นเอง ก็มีตาข่ายร่วงลงมาจากฟ้าโดยไม่ทันตั้งตัว
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาของเธอหดเกร็ง “ตาข่ายซิวหลัว!”
บนร่างกายของซิวหลัวยังคงมีแผลเก่าจากตาข่ายซิวหลัว แผลของเขารักษาได้ยาก ตราบจนทุกวันนี้ยังคงมีรอยเลือดอยู่
แต่เขามิได้ยี่หระ เขาเคยชินกับความเจ็บปวด พลังที่ปะทุอย่างบ้าคลั่งในร่างทรมานเขาอยู่ตลอดเวลา แต่อวี๋หวั่นไม่อาจปล่อยให้เขาทนกับความเจ็บปวดเพียงเพราะเขาทนได้
อวี๋หวั่นยื่นมือออกมา ผลักซิวหลัวออกไป!
ตาข่ายซิวหลัวผืนใหญ่คลุมลงบนร่างของเธอ
อวี๋หวั่นถูกลากขึ้นไปบนต้นไม้พร้อมกับตาข่ายผืนนั้น
ซิวหลัวพุ่งขึ้นหมายจะไปช่วยอวี๋หวั่น แต่กลับถูกแซ้ตวัดมามัดรอบเอว
เอวของเขามีเสียงไหม้ดัง ‘ฉ่า’ ปวดแสบปวดร้อนดังแผลไฟลวก
ซิวหลัวกลับดูราวกับไม่รู้สึกรู้สา หมุนกายอย่างฉับไว ดวงตาสีแดงฉานจ้องเขม็งไปยังทูตแห่งความมืดที่โจมตีตนเอง
ทูตแห่งความมืดสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันทรงพลัง แต่เขามีแส้ซิวหลัว และมันคือศัตรูตัวฉกาจของซิวหลัว!
เขาดึงแส้อย่างแรง เพื่อให้ซิวหลัวเข้ามาใกล้ ไหนเลยจะรู้ว่าซิวหลัวกลับยื่นมือออกมาจับแส้ไว้ ผิวหนังของเขากำลังไหม้เกรียม แต่ซิวหลัวก็ไม่ยอมปล่อยมือ เขาค่อยๆ ดึงแส้นั้นเข้ามา
ทูตแห่งความมืดดวงตาเบิกโพลงด้วยความเหลือเชื่อ
ครั้นเห็นว่าตนค่อยๆ ถูกดึงเข้าไป เขาจึงคิดจะปล่อยมือ แต่ทันใดนั้นก็ถูกซิวหลัวคว้าเข้าที่คอ
“เจ้า…เจ้า…”
เป็นไปไม่ได้!
ซิวหลัวซึ่งถูกแส้ซิวหลัวมัดเอาไว้มีแรงมากขนาดนี้เชียวรึ?
ซิวหลัวตบทูตแห่งความมืดจนกระเด็น!
เขาสะบัดแส้ซิวหลัวบนร่างออก แล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปรับอวี๋หวั่น ตาข่ายซิวหลัวนั้นได้ถูกทูตแห่งความมืดอีกคนหนึ่งเก็บไปแล้ว ในตอนนั้นเอง เขาก็โยนตาข่ายอีกผืนหนึ่งออกมาคลุมร่างของซิวหลัวไว้
ทูตแห่งความมืดคนนี้อยู่บนต้นไม้ เขามองลงมายังซิวหลัวซึ่งอยู่เบื้องล่าง “เจ้าเป็นซิวหลัวที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบ แต่แล้วอย่างไร? ตาข่ายซิวหลัวผืนนี้ใช้สำหรับจับซิวหลัวที่ร้ายกาจ ดูแล้วไม่ว่าอย่างไรก็หนีไปไม่ได้”
เพลิงโทสะของซิวหลัวพลุ่งพล่าน!
ทูตแห่งความมืดส่งยิ้มเย้ยหยันให้อวี๋หวั่น พร้อมกับกำลังจะใช้ยาสลบกับเธอ
อวี๋หวั่นตวาดเสียงแข็งว่า “เอามือสกปรกของเจ้าออกไปนะ! ห้ามใช้ยาสลบกับข้า!”
ทูตแห่งความมืดหัวเราะ “ไม่ได้หรอก ฮูหยินมากแผนการ ไม่ใช้ยาไม่ได้ ถ้าหากฮูหยินหลบหนีไปจะทำอย่างไร”
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นจับหน้าท้อง
ทูตแห่งความมืดหรี่ตา “ฮูหยินตั้งครรภ์หรือ? อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอ๋อง ตายก็ตายไปสิ”
ไอ้เวรเอ๊ย!
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “เจ้าจำคนผิดแล้ว! ข้าไม่ใช่ฮูหยินของพวกเจ้า!”
“จะมาเล่นลิ้นตอนนี้น่ะหรือ สายไปแล้ว” ทูตแห่งความมืดคว้าลำคอของอวี๋หวั่น ขณะที่เขากำลังจะกรอกยาสลบให้อวี๋หวั่นนั้นเอง ก็มีเงาสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า กระแทกลงบนศีรษะของทูตแห่งความมืดอย่างแรง
ด้วยวรยุทธ์ของทูตแห่งความมืด ตามหลักแล้วควรจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เข้ามาประชิดตัว เหตุผลเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือเงาที่ร่วงลงมานั้นรวดเร็วเกินไป รวดเร็วเสียจนไม่อาจสัมผัสได้ กว่าเขาจะรู้ตัวอีกที ก็ถูกอัดกระเด็นไปทั้งตัวคนทั้งยาจนไปนอนกองอยู่บนพื้นแล้ว
เขากระอักเลือดสดออกมา ศีรษะห้อยต่องแต่ง หมดสติไปทันใด!
และเมื่อเขาปล่อยมือ ตาข่ายซิวหลัวก็หล่นลงมาเช่นกัน
เงาที่กระแทกทูตแห่งความมืดนั้นรุนแรงเหลือเกิน หลังจากที่ทูตแห่งความมืดถูกกระแทกจนสลบ เงานั้นก็กระแทกพื้นดินจนเป็นโพรง
อวี๋หวั่นและเงานี้ร่วงลงไปในโพรงพร้อมกัน
ซิวหลัวพยายามกดความเจ็บปวดแสนสาหัส พุ่งเข้าไปหาตาข่ายซิวหลัว แต่กลับคว้าสิ่งใดไว้ไม่ได้
ซิวหลัวคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น!
อิ่งสือซันกำลังบังคับรถม้า ใบหูของเขากระดิกในทันใด “คุณชาย ฟังสิขอรับ!”
เยี่ยนจิ่วเฉานัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง “เป็นเสียงของซิวหลัว”
………………….
Related