ส่วนที่รื้อค้นได้ก็ค้นหมดแล้ว อวี๋หวั่นเก็บตำรายาสำคัญไว้เพียงไม่กี่เล่ม นอกจากตำรายาแล้ว ก็ไม่มีของมีค่าอื่นใดอีก ส่วนตำรับยาสำหรับคืนชีพคนจากความตายนั้นได้ถูกแม่มดเฒ่าเติมยาสลบลงไปอีก หากนำไปใช้ก็จะเป็นอันตรายได้
“คุณชาย มีของอยู่ในนี้ขอรับ!”
ขณะที่อวี๋หวั่นค้นหาไปมากจนคิดว่าพวกเขาควรออกจากที่นี่ได้แล้ว อิ่งสือซันก็ยกกล่องหนักๆ ใบหนึ่งเข้ามา
“อิ่งลิ่วขุดขึ้นมาจากใต้ต้นไหวขอรับ” อิ่งสือซันตอบ
อิ่งลิวเป็นสายลับ การสืบหาข้อมูลนั้นเขาเชี่ยวชาญกว่าผู้ใด สิ่งที่ผู้อื่นไม่สังเกตเห็น เขาล้วนแต่จับสังเกตได้ทั้งสิ้น
ทว่าในครั้งนี้เขามิได้จับสังเกตได้แต่อย่างใด เพียงแต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าใต้ต้นไหวมีของซ่อนอยู่
“เปิดออก” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อิ่งสือซันพยักหน้า จากนั้นก็ใช้มือเปล่าเปิดกล่องออก แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ กล่องใบนี้ถูกผนึกเอาไว้
“คุณชายรอสักครู่”
อิ่งสือซันกังวลว่าในกล่องจะมีกลไกบางอย่างซ่อนอยู่ จึงยกกล่องออกไปห่างๆ จากนั้นก็ชักกระบี่ออกมาฟันที่กล่องใบนั้น
ป้ายคำสั่งหนึ่งกระเด็นออกมา
ป้ายคำสั่งสีดำ มีลายขยุกขยิกแลดูซับซ้อน มองผ่านๆ แลดูคล้ายกับสัญลักษณ์แห่งเผ่าปีศาจ แต่เมื่อสังเกตดีๆ แล้วไม่เหมือนกัน
“อาโต้ว เจ้ารู้จักสิ่งนี้ไหม?” อวี๋หวั่นส่งป้ายคำสั่งนี้ให้อาโต้วซึ่งกำลังถลึงตาเล็กๆ ของเขาใส่ซิวหลัว
อาโต้วผละออกมาจากซิวหลัว แล้วรับป้ายคำสั่งนี้มาดู “นี่ไม่ใช่…เอ๋? ไม่ใช่แฮะ”
เขาอยากบอกว่านี่คือป้ายคำสั่งของเผ่า แต่เขากลับพบว่าสัญลักษณ์นั้นไม่เหมือนกัน
“ใครเป็นคนทำป้ายคำสั่งนี้กัน ดูปลอมเหลือเกิน!” เขาถือป้ายคำสั่งพลิกไปพลิกมา พลางมองด้วยสีหน้ารังเกียจ
“ของปลอมหรือ?” อวี๋หวั่นรับป้ายคำสั่งมา “คุณภาพดีอยู่นะ”
“เก็บไปก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก จากนั้นก็มองไปยังอิ่งสือซันซึ่งอยู่ด้านข้าง “ยังมีภาพวาดอีก”
เมื่อได้ยินว่าภาพวาด อิ่งลิ่วก็กระวีกระวาดเข้าไปหยิบแผ่นกระดาษบางขึ้นมาดู ทันใดนั้นก็ตะลึงงันไป “เอ๋?”
อวี๋หวั่นฟังออกว่าน้ำเสียงของอิ่งลิ่วเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ จึงถามเขาว่า “ทำไมหรือ?”
อิ่งลิ่วยกภาพวาดขึ้นมาให้อวี๋หวั่นดู แล้วถามอิ่งสือซันซึ่งยืนอยู่ด้านข้างว่า “เจ้าว่าไหมว่าสตรีในภาพนี้ดูคล้ายกับฮูหยิน?”
อิ่งสือซันมองไปยังภาพวาด จากนั้นก็มองไปยังอวี๋หวั่น พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยสีหน้าประหลาด “คล้ายอยู่หลายส่วน”
“คุณชายท่านดู” อิ่งลิ่วยกภาพวาดขึ้นมา
สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉาไปหยุดอยู่ที่ภาพวาด
เมื่อดูจากสีของกระดาษและน้ำหมึกอันซีดเซียวแล้ว ภาพนี้น่าจะมีอายุหลายปีแล้ว พวกเขามองออกว่าคนในภาพวาดไม่ใช่อวี๋หวั่น แต่ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับอวี๋หวั่น หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นอวี๋หวั่นเองที่คล้ายกับคนในภาพวาด
“หรือว่าจะเป็น…ฮูหยิน?” อิ่งลิ่วบอก
‘ฮูหยิน’ ที่เขาเอ่ยถึงนั้นคือนางเจียง แต่นางเจียงกับอวี๋หวั่นเหมือนกันถึงแปดส่วนเห็นจะได้ ทว่าคนในภาพกลับคล้ายกับอวี๋หวั่นเพียงสองสามส่วน เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือนางเจียง
“อาจเป็นเพียงคนหน้าคล้ายกับฮูหยิน” อิ่งสือซันคาดเดา
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่นับว่าไร้เหตุผล ไป๋เชียนหลีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเเยี่ยนอ๋องสองส่วน ทั้งที่ทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด อวี๋หวั่นกับสตรีในภาพคล้ายกันมาก หรือว่านี่อาจไม่ใช่ความบังเอิญ
“ช้าก่อน” ขณะที่อิ่งลิ่วกำลังจะเก็บภาพวาดกลับลงไปในกล่อง เยี่ยนจิ่วเฉาก็ยื่นมือออกมาหยุดเขาไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบยาผงออกมาจากอกเสื้อ ผสมลงในน้ำ และสาดลงบนภาพวาด
เมื่อน้ำเริ่มแห้ง ภาพวาดบนกระดาษก็หายไป และมีแผนที่ปรากฏขึ้นแทนที่ บนแผนที่นั้นไม่มีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ชัดเจน แต่เยี่ยนจิ่วเฉา อิ่งลิ่ว และอิ่งสือซันจำลักษณะของพื้นที่ในแผนที่ได้
“คุณชาย นี่เหมือนกับทะเลทรายที่พวกเราเดินทางผ่านมาเลยนะขอรับ ตอนนี้พวกเราอยู่ด้านล่างของหน้าผา ก็คือตรงนี้” อิ่งสือซันกล่าวพลางชี้ไปยังแผนที่
อาโต้วมองเขาด้วยสีหน้ายกย่อง เป็นไปได้อย่างไร? เขาอยู่ในทะเลทรายมาสิบปี ไฉนจึงมองไม่ออกเลยว่าเป็นที่ไหน!!!
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
“ที่นี่คือสำนักเฟยอวี๋” หลังจากที่รู้แล้วว่า สถานที่ซึ่งพวกเขาอยู่ในตอนนี้คือด้านล่างของหน้าผา อวี๋หวั่นก็ระบุตำแหน่งของสำนักเฟยอวี๋บนแผนที่ได้ “แต่ว่า นี่คือที่ไหน”
คือเผ่าปีศาจ หรือว่าอยู่ด้านนอกเผ่าปีศาจ?
“อาโต้ว” อวี๋หวั่นมองไปยังอาโต้ว
อาโต้วมีสีหน้างุนงง
อย่ามาถามข้า ข้าไม่รู้!
อวี๋หวั่นบอกว่า “เอาเถอะ เก็บไปก่อน ขึ้นไปแล้วค่อยดูอีกที”
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า
“ซิวหลัว” อวี๋หวั่นส่งตำราแพทย์ให้เขา
ซิวหลัวดีใจจนยิ้มออกมา
อาโต้วถึงกับตะลึงงัน เขาคิดไปเองหรือเขาตาลายกัน? เขาเห็นซิวหลัวยิ้มหรือ? ซิวหลัวก็ยิ้มได้หรือ?
พวกเขาเดินทางลงเขา ในตอนนี้จำต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิม ส่วนเรื่องเด็กๆ เหล่านี้ ได้ยินอาโต้วบอกว่ามี
หมู่บ้านอยู่ไม่ไกลออกไป พวกเขารู้ทาง
คนเราเกิดมา จะดูแลตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเด็กๆ เหล่านี้เคืองแค้นอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นก็ไม่ใจอ่อนและหาเรื่องใส่ตัว พาพวกเขาไปด้วยให้เป็นภาระ
หลังจากวางแผนกันเสร็จสรรพ พวกเขาก็ออกเดินทางย้อนกลับไปทางเดิม
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงนิ่งเงียบไปตลอดทาง
เขาและอวี๋หวั่นเป็นสามีภรรยากันมานาน เมื่อเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ ก็รู้ทันทีว่าเขามีเรื่องในใจ จึงถามไปว่า “กำลังคิดอะไรอยู่?”
“คิดเรื่องภาพวาดนั่น” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
“คุณชายระวัง” อิ่งสือซันเดินนำทาง “มีท่อนไม้”
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉายกขาขึ้น เดินข้ามไม้ท่อนนั้นไป
เยี่ยนจิ่วเฉาเงียบไปสักพัก แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้หมอเทวดาคนนั้นอาศัยอยู่ในเรือนหลังนั้น เจ้าคิดว่าภาพวาดนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับนางไหม?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ท่านหมายความว่า…คนที่อยู่ในภาพคือหมอเทวดาที่เพื่อนของเจ้าสำนักจี้กล่าวถึงน่ะหรือ?”
“นี่เป็นเพียงความเป็นไปได้หนึ่งก็เท่านั้น พวกเราคาดเดาว่าคนในภาพวาดอาจเป็นหมอเทวดา หรืออาจเป็นลูกหลานของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากการคาดเดาทั้งสองอย่างของพวกเราถูกต้อง เช่นนั้นรูปร่างหน้าตาของเจ้ากับนางก็คงใกล้เคียงกัน เป็นไปได้ไหมว่า…” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดมาถึงตรงนี้ แล้วชะงักไปครู่หนึ่ง
อวี๋หวั่นพูดต่อ “เป็นไปได้ไหมว่าข้าก็คือลูกหลานของสตรีศักดิ์สิทธิ์? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ข้าจะได้นำเลือดไปทำยาให้ท่านไง!”
เยี่ยนจิ่วเฉาถามว่า “เจ้าไม่คิดหรือว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ต่ำมาก?”
อวี๋หวั่นเงยหน้ามองท้องฟ้า
ท่านพ่อของเธอคืออวี๋เซ่าชิง คือเห้อเหลียนเป่ยอวี้ เป็นผู้สืบทอดสกุลเห้อเหลียน พงศาวลีของตระกูลทั้งสิบแปดรุ่นล้วนมีบันทึกไว้อย่างชัดเจน ฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิวตั้นไม่น่าจะเป็นลูกหลานของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นตัดญาติฝั่งพ่อของเธอออกไปได้เลย ส่วนฝั่งท่านแม่ ท่านตาของเธอเป็นองค์ประมุข เป็นไปไม่ได้ที่สายเลือดของราชวงศ์จะเกี่ยวข้องกับสตรีศักดิ์สิทธิ์
เหลือเพียงอวิ๋นเฟย
อวิ๋นเฟยเป็นลูกของอนุภรรยาแห่งสกุลเสิ่น ตัดสายเลือดของนายท่านใหญ่เสิ่นออกไป ก็เหลือเพียงอนุภรรยาผู้งดงามคนนั้น…
เป็นเพราะนางเป็นอนุภรรยา ประวัติความเป็นมาของนางจึงไม่ชัดเจนเท่าภรรยาเอก สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือนางงามสะคราญ มิเช่นนั้นคงไม่ให้กำเนิดบุปผางามอย่างอวิ๋นเฟย เพียงแต่นางไม่ได้ถูกรับตัวเข้าจวน จึงต้องใช้ชีวิตในฐานะอนุภรรยาอยู่นอกจวน
ว่ากันว่านางวิปลาส
เกือบพลั้งมือสังหารลูกในไส้ของตนไม่รู้กี่ครั้ง
นายท่านใหญ่เสิ่นทนไม่ได้ จึงรับอวิ๋นเฟยเข้ามาในจวนและให้ฮูหยินเสิ่นอบรมเลี้ยงดู
หลังจากที่อวิ๋นเฟยเข้าวัง ก็ตัดความสัมพันธ์กับสกุลเสิ่นอย่างสิ้นเชิง อวี๋หวั่นจึงไม่รู้จักสกุลเสิ่น
อวิ๋นเฟยก็ไม่เคยเอ่ยถึงมารดาของตน
อวี๋หวั่นรู้มาจากคำบอกเล่าของลุงใหญ่เพียงว่ามารดาของอวิ๋นเฟยจากไปตั้งแต่ที่นางอายุได้เพียงไม่กี่ขวบ ลุง
ใหญ่ไม่เคยพบหน้านาง แต่บ่าวที่เคยพบเล่าว่านางนั้นงดงามเสียยิ่งกว่าเทพเซียนบนสวรรค์
อวี๋หวั่นตีหน้าผากของตนเอง เธอชักแม่น้ำทั้งห้าทำไมเนี่ย เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกันสักหน่อย กลับคิดเลยเถิดไปไกล เป็นคนที่ใบหน้างดงาม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์สักหน่อย ซั่งกวนเยี่ยนก็งาม เยี่ยนจิ่วเฉาก็งาม!
อวี๋หวั่นไม่กล้าตั้งความหวังไว้สูงนัก เพราะกลัวว่าถ้าหากผิดหวังก็จะเสียใจมาก “ในตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เป็นเพียงการคาดเดา กลับไปถามอาม่าดีกว่า”
พวกเขาเดินทางไปครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเขตหวงห้าม
ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอาม่าและคนอื่นๆ ในจุดนัดพบ เหลือเพียงชุยเฒ่านั่งกอดล่วมยาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่ตรงนั้น
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “อาม่ากับคนอื่นๆ ไปไหนละ?”
ชุยเฒ่าพูดเสียงสั่นราวกับกำลังจะร้องไห้ “ถูกคนจากเผ่าปีศาจจับไปแล้ว ทันทีเยี่ยนซื่อจื่อออกไป พวกข้าก็ถูกพวกนั้นเจอตัว เจ้าพวกนั้นไปรายงานท่านอ๋องอะไรนั่น…ท่านอ๋องก็…ก็ส่งองครักษ์คนสนิทมาจับพวกเขาไป…”
“ทำไมเจ้าไม่ถูกจับไปด้วย” อาโต้วถาม
ชุยเฒ่าถลึงตาใส่เขาราวกับกำลังโมโหในความโง่เขลา “ยังต้องถามอีกรึ? พวกนั้นให้ข้านำความไปบอก ‘ฮูหยิน’ น่ะสิ! ถ้าอยากจะช่วยคน! ก็เอาตัวเองไปแลก!”
…………………….
Related