อวี๋หวั่นช้าไปเพียงก้าวเดียว ผู้ดูแลเยว่ก็ถูกสามีของเธอเด็ดหัวไปเสียแล้ว
อวี๋หวั่นตกตะลึง “…”
อวี๋หวั่นมือข้างหนึ่งอุ้มหลานชาย อีกข้างหนึ่งปิดตา ปัญหาพูดไม่เข้าหูคำเดียวก็ฆ่าคน ยังไหวหรือไม่? เธอไม่เห็นด้วย? สิ่งที่แย่งชิงมามิได้มีเพียงทักษะความสามารถและความทรงจำของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ แต่ยังรวมถึงนิสัยของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจด้วย
บุรุษผู้นี้ใช้แต่สมองก็ไร้เทียมทานอยู่แล้ว ยามนี้มีวรยุทธ์…ยิ่งระห่ำขึ้นฟ้า!
เอาละ ผู้ดูแลนี่ก็ไม่ใช่สิ่งอันใด ช่วยคนชั่วก่อกรรมตายไปก็ไม่น่าเสียดาย เพียงแต่…เพียงแต่ที่นี่ไม่ใช่ชนเผ่าโบราณ จะใช้ไม้อ่อนสักหน่อยได้หรือไม่?
“หึ” เยี่ยนจิ่วเฉาใช้สายตาหยิ่งผยองมองอวี๋หวั่น ราวกับกำลังพูดว่า คิดจะให้อ๋องผู้นี้ใช้ไม้อ่อนรึ ชาติหน้าเถอะ!
จากนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาก็สาวเท้าเข้าห้องไป
ทันทีที่ข้ามธรณีประตู เขาไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ เหล่าองครักษ์ที่ถูกตรึงไว้กับที่พลันเอียงหัวล้มลง
“…” เดิมทีอวี๋หวั่นจะเข้าไปกล่าวสั่งสอน แต่กลับถูกการจู่โจมอย่างฉับพลันนั้น สาดความหล่อเหลาเกินต้านทาน ดวงหน้าน้อยแต้มสีแดงระเรื่อ เอ่ยสิ่งใดไม่ออกแม้เพียงประโยคเดียว
อวี๋หวั่นเดินกระมิดกระเมี้ยนตามสามีไป
นางหลานไม่คิดว่าหลานเขยของนางจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ผู้ดูแลจวนสกุลหลานไม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย จะฆ่าก็ฆ่า ความอาจหาญนี้ คู่ควรกับลูกหลานสกุลหลานของพวกเขายิ่งนัก
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามาในห้อง ถีบรองเท้าสกปรกมอมแมมคู่นั้นทิ้ง และหยิบผ้ามาเช็ดมือ พลางกล่าวช้าๆ “ต่อไปอยู่ห่างๆ จากคนพรรค์นั้นสักหน่อย เถียงไม่ชนะ ก็จะไม่เรียกคนหรือ?”
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก “ผู้ใดว่าข้าเถียงไม่ชนะละ? ไม่ใช่ท่านมากะทันหันหรอกหรือ?”
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ อวี๋หวั่นพลันคลี่ยิ้มเจี๋ยมเจี้ยม อุ้มหลานชายตัวน้อยเดินเข้าไปหา ให้เขาดูทารกที่นอนอยู่ในผ้าห่อตัว “น่ารักหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาทำสีหน้ารังเกียจ “น่าเกลียดจะตาย!”
หลานชายหลับไปแล้ว เขาคงไม่ได้ยินวาจาปากร้ายของท่านน้าเขา อวี๋หวั่นก้มมองบุรุษตัวเล็กผิวขาวราวกับแป้ง เนียนละเอียดราวกับหยกขัดเงา พลางเอ่ยพึมพำเบาๆ “ดูดีอยู่น้า”
แม้จะยับย่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ดำแล้วก็ไม่ผอม ขาวนวลอวบอ้วน สองมือน้อยดึงไว้แน่น ชูขึ้นเหนือศีรษะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าน่ารัก
“ท่านแม่ ท่านแม่ กางเกงของข้าขาด” เสี่ยวเป่าเดินเข้ามาพร้อมกับชี้ที่กางเกงของเขา
ก็ได้ บุตรชายของเธอน่ารักกว่า
อวี๋หวั่นส่งหลานชายตัวน้อยของเธอเข้าสู่อ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจหลีกเลี่ยง โอบอุ้มคนตัวเล็กด้วยกายแข็งทื่อ
จู่ๆ คนตัวเล็กก็ตื่นขึ้นมา เบิกตากว้างใสไร้เดียงสาจ้องมองเขาตาไม่กระพริบ
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องเขากลับ
“แอวะ——” คนตัวเล็กสำรอกฟองนมใส่เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาที่รู้สึกว่าอำนาจของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจถูกกระตุ้นเร้า “…!!!”
…
ผู้ดูแลเยว่ตายในมือพวกเขา เรื่องนี้ไม่นานคนสกุลหลานก็คงเดาได้ แทนที่จะรอให้คนสกุลหลานมาหาถึงที่ ไม่สู้พวกเขาออกไปหาเสียดีกว่า
หลังจากกลุ่มคนเก็บข้าวของสัมภาระเรียบร้อยก็ขึ้นรถม้าที่เดินทางเข้าเมือง
เมื่อองครักษ์คุ้มกันเมืองเห็นอิ่งสือซันก็ขมวดคิ้ว “ครั้งนี้อะไรอีก?”
อิ่งลิ่วแสดงป้ายห้อยเอวที่นำมาจากร่างของผู้ดูแลเยว่และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เช่นนี้ก็คงเข้าเมืองได้แล้วกระมัง?”
สายตาขององครักษ์เกิดประกายวาบผ่าน เมื่อครู่ผู้ดูแลจวนสกุลหลานเพิ่งเดินทางออกไป หมายจะไปเจรจาหารือกับคนกลุ่มนี้ หรือว่าป้ายห้อยเอวนี้เป็นผู้ดูแลจวนสกุลหลานมอบให้พวกเขา? ต่อให้องครักษ์ผู้นี้มีความกล้าสักร้อยก็ไม่กล้าคาดเดาว่าคนพวกนี้ฉกชิงมันมาตรงๆ ในเมื่อดูแล้วในเมืองหมิงตูก็มีเพียงไม่กี่คนที่กล้ามีปัญหากับจวนสกุลหลานและสตรีศักดิ์สิทธิ์
องครักษ์จึงปล่อยให้เข้าไปทันที
กลุ่มคนเดินทางเข้าเมืองอย่างราบรื่น
หลังจากเข้าเมือง พวกเขาได้นำกล่องเงินทองขนาดใหญ่หลายกล่องฝากไว้ในธนาคาร เพื่อแลกเป็นตั๋วเงินตั๋วทองใช้เดินทาง
อิ่งลิ่วขับรถม้า หันกลับมาพูดว่า “ท่านยายหลาน ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ต้องการหาที่ปักหลักกันก่อนหรือไม่ วันพรุ่งค่อยวางแผนกันใหม่?”
นางหลานเปิดม่าน มองไปยังถนนที่ดูไม่คุ้นเคยแล้วพยักหน้า “ดี”
แม้เยี่ยนจิ่วเฉาจะกลายเป็นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ แต่ก็ไม่ได้แก้ไขความจู้จี้จุกจิกของเขาให้หายไป เขาไม่อาจอยู่อาศัยในโรงแรม พวกเขาจึงหาเรือนพักหรูหรามีเอกลักษณ์ที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองแทน
พวกอาเว่ยง่วนอยู่กับการจัดการสัมภาระ ซาลาเปาน้อยทั้งสามอยากกินถังหูลู่ขึ้นมา อวี๋หวั่นจึงพาพวกเขาไปหาซื้อที่ถนน
ยามเข้าเมืองมา อวี๋หวั่นหลับบนรถม้าตลอดทาง เป็นยามนี้ที่เธอสามารถชื่นชมทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างแท้จริง
เมืองหมิงตูเจริญรุ่งเรือง ถนนหนทางและอาคารต่างๆ ก็คล้ายคลึงกับเมืองหลวงของหนานจ้าว แต่กลับให้ความรู้สึกลึกลับกว่าเล็กน้อย อวี๋หวั่นเดินไปบนถนนที่การจราจรวุ่นวายผู้คนพลุกพล่าน ซาลาเปาน้อยทั้งสามเดินพลางกระโดดพลางตามเธอไป ซิวหลัวเดินอยู่ด้านหลังสุด
บางครั้งก็มีปรมาจารย์พิษและสตรีพิษเดินเฉียดผ่าน แม้กระทั่งปรมาจารย์พิษเทพก็ยังได้พบโดยไม่คาดคิดเสียหลายคน
ในที่สุดอวี๋หวั่นก็รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของเมืองหมิงตู
ด้วยพลังความสามารถของปรมาจารย์พิษเทพ ไม่ยากที่จะสัมผัสได้ถึงสายเลือดบริสุทธิ์ของเธอ พวกเขาจ้องมองเธอด้วยดวงตากระหาย แต่เพราะลมหายใจของราชาซิวหลัว พวกเขาจึงไม่กล้าผลีผลามเข้าไป
พวกเขาเดินไปทั่วถนนสองสายก็ยังไม่พบถังหูลู่ ทว่าพบกับร้านฝูหยวนจื่อร้านหนึ่ง
ซาลาเปาน้อยทั้งสามน้ำลายไหลซู้ดปาก อวี๋หวั่นจึงพาพวกเขาและซิวหลัวไปนั่งที่แผงข้างถนน
ประจวบเหมาะที่ฝั่งตรงข้ามมีขายก้อนน้ำตาลและผลไม้ อวี๋หวั่นตัดสินใจซื้อส่วนผสมกลับไปทำถังหูลู่ด้วยตนเอง
“พวกเจ้ากินกันไปก่อน ข้าจะไปซื้อของสักหน่อย” อวี๋หวั่นทิ้งซิวหลัวและบุตรชายทั้งสามไว้ แล้วลุกไปที่ร้านค้าฝั่งตรงข้าม
ร้านค้าในหมิงตูแตกต่างจากหนานจ้าวและต้าโจว เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่านี่เป็นร้านขายอาหารธัญพืชทั่วไป ยังได้ซื้อก้อนน้ำตาลไปด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าที่นี่กลับขายหนอนกู่ด้วย ราชันร้อยสัตว์พิษที่ควรมีก็มีครบหมด ราชันพันสัตว์พิษก็มีหลายสิบตัว ธุรกิจดำเนินไปอย่างดียิ่ง ทว่านับแต่อวี๋หวั่นก้าวเข้าร้านมา หนอนกู่ที่นี่ก็ไม่ขยับ
“ราชันสัตว์พิษของเจ้าตายแล้วนี่ ยังมาขายให้ข้าอีก?” ปรมาจารย์พิษผู้หนึ่งโยนราชันพันสัตว์พิษกลับไปที่ขวดหยกอย่างไม่ไยดี
คนขายหยิบขวดหยกขึ้นมา “ไม่ใช่นะ เมื่อครู่นี้มันยังขยับอยู่เลย เฮ้…เฮ้! อย่าเพิ่งไปสิ!”
ปรมาจารย์พิษเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง
อวี๋หวั่นถูจมูกกลบเกลื่อน
จากนั้น ปรมาจารย์พิษอีกหลายคนก็พบว่าหนอนกู่ไม่ค่อยขยับเคลื่อนไหวทำสิ่งใดนัก พากันส่ายหัวและเดินจากไป
คนขายเกาหัวด้วยความงงงวย “ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้?”
“อะแฮ่ม!” อวี๋หวั่นกระแอมในลำคอ
คนขายสังเกตเห็นว่ายังมีแขกอีกผู้หนึ่งอดทนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน จึงรีบยิ้มและพูดว่า “ฮูหยินท่านนี้ ท่านก็มาเลือกราชันสัตว์พิษหรือ?”
คนหมิงตูรู้จักหนอนกู่ดี ไม่ใช่มีเพียงปรมาจารย์พิษเท่านั้นถึงจะมาซื้อหนอนกู่
อวี๋หวั่นคลี่เปิดพัดในมือ เลิกคิ้วและพูดว่า “ราชันสัตว์พิษของเจ้าที่นี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีพลังนัก มิใช่ใกล้ตายหมดแล้วกระมัง?”
คนขายกล่าวอย่างละอาย “ดูฮูหยินกล่าวเข้าสิ พวกเราเปิดร้านค้าทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ เราจะขายหนอนกู่ใกล้ตายให้กับลูกค้าได้อย่างไร? ท่านต้องการราชันร้อยสัตว์พิษหรือราชันพันสัตว์พิษ? ข้าจะขายให้ท่านถูกๆ เลย!”
“ข้าต้องการ——” ยามที่สายตาของอวี๋หวั่นปราดมองผ่านขวดโหลของกลุ่มราชันพันสัตว์พิษ ก็รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของสัตว์พิษตัวน้อยอย่างชัดเจน
จะเอาทั้งหมด จะเอาทั้งหมด!
อวี๋หวั่นเพิ่งรู้มาไม่นานว่าสัตว์พิษตัวน้อยของเธอยามนี้เป็นเพียงลูกกู่น้อยตัวหนึ่งเท่านั้น มันต้องการสารอาหารจำนวนมากเพื่อเลี้ยงตนเอง แม้ราชินีสัตว์พิษจะไม่ใช่ลูกกู่อีกแล้ว แต่ก็ยังต้องการอาหารอยู่มิใช่หรือ? ไม่เช่นนั้นหากหิวตายแล้วฤทธิ์ยาไม่พอจะทำอย่างไร?
“ราชันพันสัตว์พิษทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่หรือ?” อวี๋หวั่นถามอย่างเฉยเมย
“ทั้งหมดอยู่ที่นี่ ทั้งหมดอยู่ที่นี่!” คนขายกล่าว “ท่านต้องการตัวใด?”
“อันนี้ขายอย่างไร?” อวี๋หวั่นกล่าวพลางกับชี้ไปยังโถลายหงส์ที่มีสีสัน
คนชายฉีกยิ้มและพูดว่า “ฮูหยินตาถึงยิ่งนัก นี่คือราชันพันสัตว์พิษที่ขายดีที่สุดในร้านของเรา วันนี้ใกล้ปิดร้านแล้ว ข้าจะขายให้ท่านถูกๆ แค่หนึ่งร้อยตำลึง!”
“หนึ่ง…หนึ่งร้อยตำลึง?” อวี๋หวั่นสงสัยว่าเธอได้ยินผิด “แค่หนอนกู่ตัวเดียว ต้องขายถึงหนึ่งร้อยตำลึง! ไยเจ้าไม่ไปปล้น——”
“…ทอง” คนขายกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อวี๋หวั่นตกตะลึง
“แล้ว…อันนี่ละ?” เธอชี้ไปที่โถหยกที่อยู่ข้างๆ
คนขายยิ้มแห้งและกล่าวว่า “นี่ก็เป็นราชันพันสัตว์พิษ มีพิษรุนแรงกว่าตัวก่อนหน้านี้ สามารถใช้เป็นยา มีผลรักษาโรคปวดข้อได้อย่างน่าอัศจรรย์ และยังสามารถใช้เพิ่มกำลังภายในด้วย ขายให้ท่านถูกๆ เช่นกัน สองร้อยตำลึง”
สัตว์พิษตัวน้อย : ซื้อๆๆ!
หุบปาก! อวี๋หวั่นหลับตา คลี่ยิ้มอย่างสงบนิ่ง “ตัวนี้ที่อยู่ถัดไปละ?”
คนขายยิ้มและกล่าวว่า “ห้าร้อยตำลึง”
อวี๋หวั่นถึงกับซวนเซ!
แม้บ้านเธอจะมีเหมือง แต่เธอก็ไม่อาจรับความฟุ่มเฟือยเช่นนี้ไหว!
สัตว์พิษตัวน้อย : จะเอาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!
อวี๋หวั่นขบเม้มริมฝีปาก ดวงตากลิ้งกลอกไปมา คลี่พัดบังปากและกระซิบถามว่า “หากตายแล้ว ขอครึ่งราคาได้หรือไม่?”
คนขาย “?!”
ผ่านไปหนึ่งเค่อ อวี๋หวั่นออกจากร้านพร้อมกับขวดโหลมากมาย ใบหน้าซีดราวกับเถ้าถ่าน ทำราชันสัตว์พิษตายไปครึ่งหนึ่ง ผลคือไม่ลดให้แม้แต่ส่วนเดียว เสียแรงที่เธออุตส่าห์ดิ้นรน!
อวี๋หวั่นเดินไปซื้อน้ำตาลก้อนด้วยความขุ่นเคือง แต่ทันทีที่ก้าวออกจากร้าน รถม้าคันหนึ่งก็ขับมาจอดข้างทาง สตรีในชุดหรูหรางดงามคู่หนึ่งก้าวลงมา
ทั้งสองเดินเข้ามาในร้าน
คนขายกระตือรือร้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า เขาต้อนรับทั้งสองเข้าไปในร้านด้วยความตื่นเต้น
อวี๋หวั่นหยุดก้าวเท้า หันกลับไปมองคนขายที่สีหน้าเปลี่ยนรวดเร็วราวกับพลิกหน้าหนังสือ พลันส่งเสียงชิชะ ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าสัตว์พิษตัวน้อยกระสับกระส่ายขึ้นมาอีกครั้ง
อวี๋หวั่นกล่าวดุ “มากมายเช่นนี้ยังไม่พอกินอีกหรือ?”
สัตว์พิษตัวน้อยกระสับกระส่ายรุนแรงกว่าเดิม
อวี๋หวั่นหยุดชะงักเดินกลับไปที่ร้าน ก็เห็นคนขายที่เคยกล่าวว่าราชันพันสัตว์พิษทั้งหมดถูกนำมาไว้ที่นี่แล้ว เปลี่ยนราชันสัตว์พิษตัวหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบ ต่อให้อวี๋หวั่นไม่ใช่ปรมาจารย์พิษ ก็ยังรับรู้ได้ถึงความทรงพลังของราชันสัตว์พิษตัวนั้น
ในสมองอวี๋หวั่นเต็มไปด้วยเสียงสูดน้ำลายของสัตว์พิษตัวน้อย
คนขายกำลังจะมอบราชันสัตว์พิษให้กับมือของฮูหยินผู้นั้น อวี๋หวั่นเดินเชิดคางไปจับข้อมือเขา “ไม่ได้บอกกับข้าว่า ไม่มีราชันพันสัตว์พิษอีกแล้วหรอกรึ? แล้วนี่มาจากที่ใด?”
เมื่อคนขายเห็นเธอก็ผงะทันที “นี่…”
“ข้าเอาละ” อวี๋หวั่นกล่าว
คนขายกล่าวเตือนด้วยเสียงต่ำ “นางเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์แห่งสกุลหลาน คนสนิทของสตรีศักดิ์สิทธิ์…”
อวี๋หวั่นกวาดตามองกล่องที่เต็มไปด้วยของดีที่คนขายนำออกมาโดยเฉพาะ ก่อนจะมองทูตศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น และพูดตามอำเภอใจ “ข้าเอาทั้งหมด”
………………………
Related