บทที่ 33 ไปเยี่ยมเด็กน้อยทั้งสาม
โดย
Ink Stone_Romance
ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาคอยฟังสิ่งที่เขากำลังจะบอก พวกเขาล้วนอยากรู้ว่าสตรีคนใดที่กล้ารังแกพี่เขยของคุณชายเยี่ยน ทั้งยังมีลูกไม่ได้อีกด้วย
เหยียนเซี่ยเมามายจนสติพร่าเลือน แม้แต่คำติฉินนินทาสตรีเทือกนี้ยังกล่าวออกมาได้ ไม่สมกับเป็นบุรุษเอาเสียเลย
จวินฉางอันชมเรื่องสนุกอย่างออกรสออกชาติ เดิมทีเยี่ยนไหวจิ่งไม่ควรฟังเรื่องของชาวบ้านร้านตลาดเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงอยากรู้ชื่อนั้นเหลือเกิน
“พวกเจ้ามานี่ ข้าจะกระซิบให้ฟัง นางก็คือ…”
ด้วยความสามารถในการฟังของจวินฉางอันและเยี่ยนไหวจิ่ง ต่อให้เหยียนเซี่ยพูดเสียงเบากว่านี้ พวกเขาก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ทว่าขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ก็มีบรรดาองครักษ์บุกเข้ามาจากด้านนอก ดันเหล่าคุณชายที่ห้อมล้อมเหยียนเซี่ยออก พร้อมกับคว้าเข้าที่แขนของเหยียนเซี่ย แล้วฉุดกระชากให้เขาไป
“โอ๊ย! พวกเจ้าทำอะไร? แม้แต่หอหนิงเซียงยังกล้าบุกเข้ามาอีกรึ? ข้าว่าพวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง!”
จินเหนียงโบกผ้าเช็ดหน้า ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก
“คนของเหยียนโหว ทำไม? มีปัญหาหรืออย่างไร?” หัวหน้าองครักษ์มองนางด้วยหางตา จินเหนียงใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เรื่องของเหยียนโหวนางเคยได้ยินมาบ้าง เขาไม่เพียงทำศึกที่ชายแดนชนะ แต่ยังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ทั้งยังเป็นวีรบุรุษในใจของชาวบ้าน ที่สำคัญที่สุดก็คือบุตรสาวของเขาให้กำเนิดบุตรชายของคุณชายเยี่ยน ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับสกุลเหยียนเช่นนี้ แปดในสิบส่วนก็เป็นเพราะพวกเขาเป็นพ่อตาของคุณชายเยี่ยน
คนอื่นๆ จินเหนียงยังกล้ามีเรื่องด้วย มีเพียงคุณชายเยี่ยน ที่ไม่ว่าอย่างไรจินเหนียงก็ไม่กล้าล่วงเกิน
โชคดีที่หลังจากองครักษ์จับเหยียนเซี่ยเอาไว้ก็รีบพากลับไปทันที จินเหนียงรีบติดตามไป ทำท่าทางแสร้งว่าคนเหล่านั้นถูกนางไล่ตะเพิดไป
เรื่องสนุกจบลง เหล่าคุณชายจึงแยกย้ายกันออกไป
“ไปกันเถอะ องค์ชาย” จวินฉางอันกล่าว
เยี่ยนไหวจิ่งพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินตามจวินฉางอันไปยังรถม้าซึ่งจอดอยู่ในตรอก
รถม้าของจวนสกุลเหยียนจอดอยู่ไม่ไกลออกไป มีเสียงของสตรีแว่วมาจากด้านใน
จวินฉางอันเอ่ยขึ้นว่า “เป็นคุณหนูเหยียน”
เยี่ยนไหวจิ่งเหลือบมองรถม้าสกุลเหยียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “กลับจวน”
เมื่อเหยียนเซี่ยซึ่งถูกนำขึ้นรถม้าเห็นน้องสาวของตน เขามิได้สร่างเมาทันที ปฏิกิริยาตอนสนองยังคงเชื่องช้า และมิได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด
เหยียนหรูอวี้บอกกับองครักษ์ด้านนอกรถม้าว่า “พวกเจ้าดูทางเข้าตรอกนี้เอาไว้ อย่าให้ใครเข้าใกล้!”
“ขอรับ!”
องครักษ์รับคำ เดิมทีในตรอกนั้นมีเพียงรถม้าของเยี่ยนไหวจิ่ง หลักจากที่พวกเขาออกไป ก็ไม่มีผู้ใดอยู่บริเวณนั้นอีก
เหยียนหรูอวี้มองไปยังพี่ชายของตนซึ่งเมามายจนไม่ได้สติ แล้วสาดน้ำเย็นใส่ไปหนึ่งแก้ว
เหยียนเซี่ยได้สติ เขาสร่างเมาขึ้นเล็กน้อย นั่งยืดตัวตรง “เหยียนหรูอวี้! เจ้าทำอะไร!”
เหยียนหรูอวี้วางแก้วกระแทกบนโต๊ะ “ทำอะไรรึ? ข้าต้องถามท่านพี่ถึงจะถูก ท่านเป็นบ้าอะไร? ใครให้ท่านพูดจาไร้สาระเช่นนั้นข้างนอก!”
ในที่สุดเหยียนเซี่ยก็ตระหนักได้ว่าตนพูดอะไรไว้ที่หอหนิงเซียง เขาพูดออกไปขณะที่สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน คำพูดเหล่านั้นล้วนจริงแท้มิได้หลอกลวง หากเป็นช่วงเวลาปกติ ให้ตายเขาก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อสุราเข้าปากไป เทพสวรรค์ชั้นฟ้าเขาก็มิได้เกรงกลัว
“ข้าก็ไม่ได้…ไม่ได้พูดชื่อเจ้าสักหน่อย” เหยียนเซี่ยพึมพำอย่างรู้สึกผิด
เหยียนหรูอวี้ถูกท่าทางโง่เง่าของพี่ชายทำให้หัวเสีย “ท่านคิดหรือว่าท่านเป็นพี่ใหญ่ของข้า แล้วท่านจะออกไปพูดจาพล่อยๆ ข้างนอกได้? ท่านคิดว่าข้าไม่มีวิธีจัดการกับท่านหรือ? อย่าลืมว่าความรุ่งโรจน์ที่ท่านมีทุกวันนี้ใครเป็นคนมอบให้! ข้าปล่อยท่านออกมาได้ ก็ส่งท่านกลับไปได้เหมือนกัน!”
คำพูดเหล่านี้เหยียนเซี่ยไม่อยากฟัง
“ท่านอย่ามาไม่อยากฟัง!” เหยียนหรูอวี้เอ่ยขึ้นดักทาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “กว่าข้าจะอุ้มชูสกุลเหยียนให้ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้นั้นยากลำบากเพียงใด หากท่านกล้าพูดจาเหลวไหล คนที่จะตายเป็นคนแรกก็คือท่าน!”
เหยียนเซี่ยกลัวจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
……
หลังจากที่นายท่านไป๋ประจักษ์แจ้งในตัวตนที่แท้จริงของฮูหยินไป๋ อวี๋หวั่นก็ง่วนอยู่กับกิจการในโรงงาน ทุกๆ วันเธอจะขึ้นเขาไปขุดหน่อไม้กับอวี๋เซ่าชิง งานยุ่งจนไม่มีเวลาเข้าเมืองหลวงไปหลายวัน
ผู้จัดการชุยให้คนมาส่งข่าวว่านายท่านไป๋ยกเลิกงานแต่งงานกับสกุลเฉินแล้ว ส่วนเรื่องของฮูหยินไป๋และน้องชายของไป๋ถัง เขามิได้กล่าวอะไรมากนัก กระนั้นเรื่องนี้ก็เดาได้ไม่ยากว่าชะตาของทั้งสองน่าจะไม่สู้ดีเท่าไรนัก
ฮูหยินไป๋ทำเรื่องเช่นนี้ ก็ยากที่ผู้คนจะอดสงสัยไม่ได้ว่านายน้อยสกุลไป๋เป็นลูกแท้ๆ ของนายท่านไป๋หรือไม่ ความจริงเป็นอย่างไรไม่สำคัญ นายท่านไป๋เชื่อว่าอย่างไรนั้นสำคัญที่สุด
“ผู้จัดการชุยให้ข้าน้อยมาถามแม่นางว่าไข้ทรพิษของคุณหนูเมื่อไรจะรักษาหายหรือขอรับ?” เสมียนเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “นายท่านไป๋เชิญหมอมารักษา จุดธูปขอพร ใช้เวลาไม่นานสวรรค์ก็จะเมตตา”
……
“อาหวั่น!”
หลังจากที่เสมียนของผู้จัดการชุยกลับไปได้ไม่นาน ผู้ใหญ่บ้านก็มาหาเธอถึงบ้าน
อวี๋หวั่นกำลังคัดหน่อไม้ซึ่งเก็บมาจากบนภูเขา แยกเป็นหน่อไม้แก่และหน่อไม้อ่อนไว้คนละตะกร้า เมื่อได้ยินเสียงของผู้ใหญ่บ้าน เธอก็วางมือ ใช้ผ้าเช็ดมือและเดินตรงเข้าไปยังโถงกลางบ้าน “ผู้ใหญ่บ้าน มีอะไรหรือ? เชิญนั่งก่อน!”
ผู้ใหญ่บ้านนั่งลง
อวี๋หวั่นเทชาให้เขา
ผู้ใหญ่บ้านมองไปยังไหและกล่องอาหารบนโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าจะไปส่งของหรือ?”
คนในหมู่บ้านรู้ว่าอวี๋หวั่นทำธุรกิจกับภัตตาคารในเมืองหลวง ทุกๆ วัน จะมีรถม้าของภัตตาคารมาขนสินค้าไป แต่บางครั้งอวี๋หวั่นก็จะนำสินค้าไปส่งด้วยตนเอง
ทว่าวันนี้กลับไม่ได้มีแค่สินค้าที่ต้องนำส่งนายท่านฉิน อวี๋หวั่นไม่ได้เจอเด็กน้อยทั้งสามคนมาหลายวันก็เริ่มคิดถึงพวกเขา จึงไหว้วานให้ลุงใหญ่ทำขนมให้ เพื่อจะนำไปฝากพวกเขา
แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกให้ผู้ใหญ่บ้านรู้
“ใช่เจ้าค่ะ ทำหน่อไม้ดอง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่ ข้าจะนำไปให้พวกเขาลองชิมก่อน” อวี๋หวั่นกล่าวพลางหัวเราะ
“อ้อ…” ผู้ใหญ่บ้านงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง หลายเดือนก่อน อวี๋หวั่นยังเป็นเพียงดรุณีน้อยที่อ่อนต่อโลกและไร้เดียงสา บัดนี้กลับเก่งกาจและมีเครือข่ายไปทั่ว ป่วยเพียงครั้งเดียว เด็กคนนี้ก็เปลี่ยนไปราวกับเกิดใหม่
ไม่รู้ว่าหากบุตรชายสกุลจ้าวเห็นว่าอวี๋หวั่นมีความสามารถถึงเพียงนี้ จะรู้สึกเสียดายกับการตัดสินใจของตนเองหรือไม่ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะสกุลจ้าวแอบหนีออกไปจากหมู่บ้านเสียแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองความสำเร็จของอาหวั่นแม้แต่น้อย
“ผู้ใหญ่บ้านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“เรื่องของพ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้ใหญ่บ้านถาม
อวี๋หวั่นตอบว่า “ท่านลุงอู๋ไปตามหาคนแล้ว รอเขาหาเจอ ก็จะล้างมลทินให้ท่านพ่อข้าได้”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาวๆ “กว่าจะกลับมาได้ก็แสนลำบาก ยังต้องมาเจอเรื่องนี้อีก…พวกเราล้วนเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของเจ้าสาม หวังว่าเจ้าสามจะได้รับความยุติธรรมในเร็ววัน”
อวี๋หวั่นยิ้ม
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ “วันนี้ข้ามาหาเจ้า ที่จริงมีเรื่องอยากขอร้อง”
“ท่านพูดอย่างนี้ฟังดูห่างเหินเกินไปแล้ว มีเรื่องอะไรก็พูดเถอะ ขอเพียงข้าทำได้ ข้าก็จะทำให้เต็มที่” ภาพลักษณ์ของผู้ใหญ่บ้านที่มีต่ออวี๋หวั่นนั้นนับว่าไม่เลว แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับจ้าวเหิงมาก แต่ครั้นต้องตัดสินเรื่องระหว่างเธอกับจ้าวเหิง เขาก็ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างจ้าวเหิง เขาอาจจะไม่ได้เป็นข้าราชการที่มีความสามารถล้นฟ้า แต่เขาเป็นผู้ที่มีความยุติธรรม
ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะอย่างขมขื่น “เจ้าช่วยเหลือชาวบ้านเอาไว้มาก หากต้องเอ่ยปากเรื่องนี้อีก ข้าก็รู้สึกกระดากใจเหลือเกิน”
อวี๋หวั่นยิ้ม “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านบอกข้ามาเถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ กล่าวว่า “ก็เป็นเรื่องของพวกพี่เอ้อร์หนิวนั่นแหละ ตอนนี้ไม่ได้ไปรบแล้ว พวกเขาก็ไม่มีอะไรทำ ที่ดินก็ไม่ต้องเพาะปลูก ข้าจึงอยากถามเจ้าสักหน่อยว่าโรงงานยังขาดคนหรือไม่?”
“ตอนนี้โรงงานไม่ได้ขาดคน” ให้นายท่านฉินทำแม่แรงมาให้ การใช้แม่แรงบีบเต้าหู้จะสามารถลดต้นทุนด้านเวลาไปได้มาก ทุกคนคุ้นเคยกับงานของตนเอง ประสิทธิภาพในการทำงานจึงสูงกว่าแต่ก่อน จนสามารถผลิตเต้าหู้และหน่อไม้ดองที่วางแผนจะทำในอนาคตได้ครบถ้วนตามรายการสินค้า
“แต่ว่า” อวี๋หวั่นพูดต่อ “ข้าวางแผนจะทำห้องพักและโรงเรือน ต้องใช้แรงงานคนอีกมาก แล้วข้าก็ยังต้องหาคนไปซื้อหน่อไม้อีกจำนวนมาก”
หากต้องส่งหน่อไม้ดองให้กับหอจุ้ยเซียน เกรงว่าลำพังหน่อไม้ที่ขุดจากบนเขาคงจะไม่พอ
เรื่องซื้อหน่อไม้ ผู้ใหญ่บ้านพอจะฟังเข้าใจ แต่ว่าห้องพักและโรงเรือนคืออะไรกัน?
อวี๋หวั่นอธิบายให้เขาฟังคร่าวๆ ผู้ใหญ่บ้านก็พลันกระจ่างทันที “เจ้านี่น้า เรื่องนี้ต้องใช้เงินนะ!”
“ไม่มีเงินก็ต้องสร้าง ไม่อย่างนั้นก็คงทำกิจการต่อไปไม่ได้” ห้องเก็บฟืนของป้าหลัวถูกสินค้าของพวกเขาครองพื้นที่จนเต็ม อวี๋หวั่นพูดต่อ “ถ้าพวกพี่เอ้อร์หนิวไม่รังเกียจละก็มาทำงานได้ งานช่างวันละแปดสิบอีแปะ งานใช้แรงงานอื่นๆ วันละห้าสิบอีแปะ”
“มะ…มากขนาดนั้นเลยหรือ…” ผู้ใหญ่บ้านประหลาดใจ เงินค่าแรงนี้มากกว่าค่าแรงในหมู่บ้านซิ่งฮวาเสียอีก “เจ้า…เจ้าจะไม่ขาดทุนหรือ? แม้ว่าจะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน แต่สิ่งที่ไม่สมควรให้ก็ไม่ต้องให้ ทุกวันนี้สกุลอวี๋ของพวกเจ้าก็ลำบากไม่น้อย!”
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะ “ข้าไม่ได้ให้ค่าแรงเปล่าๆ สักหน่อย ถ้าทำงานไม่ได้ตามที่ข้าต้องการ ข้าก็ไม่จ้าง”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “ดีแล้วๆ!”
ค่าแรงที่สูงถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่จ้างคนในหมู่บ้านเลย ต่อให้ไปจ้างคนในเมืองหลวงก็ยังได้!
ผู้ใหญ่บ้านเดินออกไปจากบ้านของอวี๋หวั่นอย่างเบิกบานใจ และนำข่าวคราวไปแจ้งแก่ครอบครัวต่างๆ ส่วนอวี๋หวั่นก็กลับไปเลือกหน่อไม้ดีๆ แล้วหอบหิ้วหน่อไม้ดองกับขนมเข้าตำบลไป
เธอไม่ได้เรียกอวี๋เฟิง อวี๋เฟิงและอวี๋ซงออกไปหาหินและอิฐ
อวี๋หวั่นเดินทางไปจวนคุณชายก่อน แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเด็กน้อยทั้งสามไม่อยู่ เยี่ยนจิ่วเฉาพาพวกเขาออกไปข้างนอกเสียแล้ว!
อวี๋หวั่นหน้าดำคร่ำเครียด เธอมาเสียเที่ยวซะแล้ว นี่เรียกว่าปิดประตูทบทวนตนเองหรือ? คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ได้ก็คงไม่ใช่อื่นใด นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉา!
……………………………………………..