หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 34.1 สตรีในคืนนั้นก็คือนาง (1)

บทที่ 34 สตรีในคืนนั้นก็คือนาง (1)
โดย
Ink Stone_Romance

 

อวี๋หวั่นคิดในใจว่า ทุกครั้งที่ข้าสร้างเรื่อง เป็นต้องถูกเจ้าจับได้ทุกครั้ง เมื่อมาหาจริงๆ กลับไม่เจอ
อวี๋หวั่นจึงไปยังหอจุ้ยเซียนด้วยความรู้สึกเสียดาย
ย้อนไปในการแข่งขันทำอาหารระดับเทพ หอจุ้ยเซียนนับว่าโดดเด่นและเดินหมากได้ถูกทาง ชื่อเสียงไม่เพียงกระฉ่อนออกไปไกลจนเป็นที่ขึ้นชื่อในวงกว้าง กอปรกับอาหารจานเด่นของร้าน ทำให้กิจการของหอจุ้ยเซียนรุ่งเรือง ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปีก็สามารถเทียบชั้นกับหอเทียนเซียงได้แล้ว
อวี๋หวั่นไปหานายท่านฉินก่อน ทว่าเขาไปที่คฤหาสน์พอดี นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นมาหอจุ้ยเซียน กิจการราบรื่นกว่าที่เธอคาดคิดเอาไว้
“แม่นาง ท่านมาทานอาหารหรือมาพักผ่อนขอรับ?” เสมียนไหวพริบดีคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ มิได้ดูแคลนเสื้อผ้าธรรมดาของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยังไม่ทันได้ตอบ เสมียนหนุ่มก็ถูกตบศีรษะจากด้านหลัง คนที่ตบก็คือนายท่านฉินซึ่งรุดรีบเดินเข้ามา
นายท่านฉินถลึงตาใส่เขา “แม่นางอันใด? ถ่างตาของเจ้าดูเสีย นางคือเจ้าของคนที่สอง!”
“ฮะ! จะ…เจ้าของคนที่สองหรือ?” เรื่องที่หอจุ้ยเซียนมีเจ้าของอีกคนหนึ่ง นายท่านฉินได้บอกแก่ผู้ใต้บัญชาให้รู้โดยทั่วกัน เพียงแต่พวกเขาเคยได้ยินชื่อ หาได้รู้จักคนไม่ ทั้งยังมิได้คาดคิดว่าจะเป็นแม่นางซึ่งทั้งอ่อนเยาว์และงดงามเช่นนี้
เสมียนหนุ่มรีบขอโทษขอโพย อวี๋หวั่นยกยิ้มมุกปากพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไปต้อนรับแขกต่อเถอะ”
“ขอรับๆ!” เขารีบเดินออกไปด้วยความตื่นเต้น
สายตาของนายท่านฉินไปหยุดที่ไหในมือของอวี๋หวั่น เขาถามขึ้นว่า “คงไม่ใช่หน่อไม้ดองหรอกกระมัง?”
“เป็นหน่อไม้ดอง” อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันกับปฏิกิริยาของนายท่านฉิน ถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในไหคือทองคำ
นายท่านฉินเป็นพ่อค้า วัตถุดิบชั้นดีมาอยู่ในมือของเขา เขาย่อมมีสารพัดร้อยแปดวิธีเปลี่ยนให้มันกลายเป็นทอง
“ข้ากำลังจะบอกว่า ต่อให้หน่อไม้ดองของเจ้ายังทำออกมาไม่เสร็จ ข้าก็ยังจะไปหาเจ้า” นายท่านฉินเอ่ยขึ้นด้วยความมุ่งมั่น เขาเดินนำอวี๋หวั่นไปยังห้องครัว ระหว่างทางก็ยังไม่ลืมที่จะไถ่ถามเรื่องของอวี๋เซ่าชิง “พ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องการให้ข้าช่วยเรื่องใดหรือไม่? มีอะไรเจ้าก็มาหาข้า อย่าได้เกรงใจไป เห็นข้าเพิ่งเริ่มกิจการในเมืองหลวงเช่นนี้ แต่ข้ากว้างขวางในแถบเจียงจั่ว[1]เชียวนะ!”
เขาทำท่าทำทางเสียยิ่งใหญ่
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ขอบคุณนายท่านฉินที่เป็นห่วง ถ้าข้ามีเรื่องรบกวนท่าน ข้าก็จะไม่เกรงใจ”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น!”
ทั้งสองเดินสนทนากันไปจนถึงห้องครัวของหอจุ้ยเซียน ในกระทะใบใหญ่สองใบกำลังทอดเต้าหู้สีดำเมี่ยม กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว บรรดาพ่อครัวเก่าต่างเคยชินกับกลิ่นเหม็นนี้แล้ว ส่วนคนมาใหม่ก็ลำบากสักหน่อย เหม็นจนพวกเขาอยากร่ำไห้ แต่กระนั้นเต้าหู้เหม็นก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก กระทะทอดเต้าหู้เหม็นนั้นไม่เคยถูกปล่อยว่างตั้งแต่เช้าจรดเย็น
นายท่านฉินเรียกพ่อครัวซึ่งกำลังเข้างานอยู่มา “นี่คือแม่นางอวี๋ เจ้าของคนที่สองของหอจุ้ยเซียนของพวกเรา นางเป็นผู้คิดค้นเต้าหู้เหม็น”
ทุกคนล้วนเหมือนกับเสมียนหนุ่มก่อนหน้านี้ ทึกทักว่าเจ้าของคนที่สองเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วน พวกเขารู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าตอนที่เห็นแม่นางตู้เสียอีก
ทุกคนปฏิบัติต่ออวี๋หวั่นอย่างรู้มารยาท
“นี่คือพ่อครัวจาง นี่คือพ่อครัวหวัง…” นายท่านฉินแนะนำพ่อครัวทีละคน จากนั้นจึงส่งหน่อไม้ดองให้พวกเขา แล้วรีบออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง
เป็นดังคาด มีเสียงร้องระงมของพ่อครัวดังตามหลังเขามา นายท่านฉินยกมือทาบอก โชคดีที่หนีออกมาเร็ว!
หน่อไม้ดองก็เหมือนกับเต้าหู้เหม็น แม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็น แต่เมื่อกินเข้าไปจะรู้สึกว่าหอม เมื่อคลุกเคล้ากับถั่วลิสง ฟองเต้าหู้และถั่วฝักยาวดอง ใส่ในน้ำแกง เทน้ำส้มสายชูลงไปอีกหนึ่งช้อน รสชาติเปรี้ยวทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
ในเมืองหลวงมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวจำนวนมาก แต่เส้นข้าวเจ้านั้นพบได้น้อย ส่วนใหญ่ไม่ใช่สูตรดั้งเดิม ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นสูตรเส้นหมี่จากแป้งข้าวเจ้าที่ลุงใหญ่สอนพวกเขาทำ
ของหายากย่อมมีราคาแพง อวี๋หวั่นคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลัวซือเฝิ่นจะต้องขายดิบขายดีจนทำไม่ไหว
หน่อไม้ดองคือจิตวิญญาณของหมี่หลัวซือเฝิ่น ทว่าน้ำแกงก็เป็นส่วนสำคัญ พวกเขาต้องใช้เนื้อหอยหลัวซือและกระดูกหมูที่สดใหม่ เครื่องเทศต้มจนได้ที่ หลังจากที่ได้สืบทอดตำราอาหารของพ่อครัวเทพเป้า ลุงใหญ่ก็พัฒนาสูตรน้ำแกง โดยเพิ่มสมุนไพรลงไป ทำให้น้ำแกงมีรสชาติที่กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
อวี๋หวั่นลองชิมไปได้ครึ่งชาม ก็คิดว่าฝีมือของเหล่าพ่อครัวนั้นไม่เลว แน่นอนว่าหน่อไม้ที่เธอหมักนั้นดียิ่งกว่า
ทำไมฉันถึงเก่งขนาดนี้นะ?
อวี๋หวั่นคิดด้วยความประหลาดใจ
เดิมทีนายท่านฉินทำท่าทางรังเกียจไม่อยากกิน แต่หลังจากนั้นก็ยกชามที่อวี๋หวั่นยังกินไปเพียงครึ่งชามมากินจนหมดเกลี้ยง แม้แต่น้ำแกงหยดเดียวก็ไม่มีเหลือ
นายท่านฉินลูบท้องกลมๆ นั่งเอนหลัง กล่าวอย่างสำราญใจว่า “รสชาติเช่นนี้ ดีเหลือเกิน! ราคาต่อรองได้ เจ้าจะส่งของได้เมื่อไร?”
อวี๋หวั่นใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้มีหน่อไม้ไม่มาก ไม่พอส่งให้หอจุ้ยเซียน หากท่านอยากได้ ข้าจะให้ท่านไปกินสองไห ไม่คิดเงิน”
เจ้าตัวแสบที่บ้านอยากกินอาหารของอวี๋หวั่นมานาน ครั้งนี้ช่างเหมาะเจาะพอดี นายท่านฉินจะได้นำไปให้เขากิน เขาจะได้ไม่บ่นว่าท่านลุงไม่รักตน
นายท่านฉินยิ้มร่าอย่างมีความสุข “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว!”
ทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง นายท่านฉินถามอวี๋หวั่นว่าต้องการดูสมุดบัญชีหรือไม่ อวี๋หวั่นบอกว่าตนเชื่อใจนายท่านฉิน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยอมบอกว่าตนดูสมุดบัญชีไม่รู้เรื่อง
“ข้ายังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน” อวี๋หวั่นลุกขึ้นกล่าวลา
นายท่านฉินเดินไปส่งเธอที่ชั้นล่าง
ครั้นเดินไปยังห้องโถงใหญ่ ก็มีลูกค้าซึ่งจ่ายเงินเสร็จและกำลังจะเดินออกไป แต่ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ไม่รู้ว่ามิได้มองทางหรือว่าอย่างไร เขาล้มโครม จากนั้นก็ลุกไม่ขึ้น นอนขดอยู่บนพื้น
“ไอ้หยา! มีคนตาย!”
ไม่รู้ว่าใครโพล่งประโยคนี้ออกมา บรรดาแขกเหรื่อในหอจุ้ยเซียนต่างก็วางตะเกียบลงด้วยความตื่นตระหนก
นายท่านฉินสีหน้าเคร่งเครียด ผู้จัดการร้านและเสมียนต่างก็กรูเข้ามาช่วยพยุงคนผู้นั้นลุกขึ้นนั่ง
คนผู้นั้นเป็นพ่อค้าชาอายุอานามราวห้าสิบปี กล่องใส่ใบชาชั้นเยี่ยมที่อยู่ในมือแตกกระจายอยู่บนพื้น
เขากดส่วนบนของท้องด้วยสีหน้าทรมานราวกับจะอาเจียน ผู้ใดมองเขาก็ต่างคิดว่าเขากินมากจนปวดท้อง
อวี๋หวั่นกลับไม่คิดเช่นนั้น
เธออ่านตำราแพทย์ที่ท่านปู่เป้าทิ้งไว้ให้ทุกคืน บังเอิญว่ามีบันทึกเกี่ยวกับกรณีที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าตอนนี้ชีพจรของเขาเป็นอย่างไร
นายท่านฉินพูดกับเหล่าเสมียนซึ่งยืนนิ่งด้วยความงุนงง “ทำอะไรกันอยู่เล่า? ยังไม่ให้คนไปตามหมออีก!”
เสมียนคนหนึ่งจึงกระวีกระวาดออกไป
พวกเขาพยุงพ่อค้าชาเข้ามาในโถงกลาง เสมียนอีกคนหนึ่งยกเก้าอี้มาให้ ผู้จัดการจึงพยุงเขาให้นั่งลง เขานั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
อวี๋หวั่นเดินไปด้านหน้า แล้วบอกกับพ่อค้าชาว่า “ยื่นมือออกมา”
พ่อค้าชารู้สึกเจ็บปวดเสียจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขามองอวี๋หวั่นด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกแย่เหลือเกิน ไม่มีแม้แต่แรงจะเอ่ยปากพูด
อวี๋หวั่นมิได้ชักช้ารอจนเขาให้ความร่วมมือ เธอจับมือของเขามา สามนิ้วทาบลงจับชีพจร
ฝูงชนต่างรู้สึกตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นแม่นางน้อยทำท่าทางประหนึ่งเป็นหมอ
นายท่านฉินกระซิบกับอวี๋หวั่นว่า “แสดงได้เก่งมาก”
อวี๋หวั่นเหลือบไปมองนายท่านฉิน
ครั้นศึกษาวิชาแพทย์ บางครั้งอวี๋หวั่นก็ไม่ไว้หน้าใคร
นายท่านฉินพลันรู้สึกตะลึงงันกับท่าทีเอาจริงเอาจังของอวี๋หวั่น
เป็นดังที่บันทึกเอาไว้ในตำรา อวี๋หวั่นตรวจชีพจรตำแหน่งจั่วกวน กดทั้งแบบลอย กลางและจม ทั้งยังดูลิ้นของพ่อค้าชาอีกด้วย ลิ้นสีแดง ฝ้าลิ้นออกสีเหลือง กอปรกับอาการปวดที่ชายโครง ใบหน้าเหลืองคล้ายกับโรคดีซ่าน แปดในสิบคืออาการของถุงน้ำดีอักเสบชนิดรุนแรง
“ยกเก้าอี้ยาวมาอีกตัว” อวี๋หวั่นสั่ง
เสมียนมองไปยังนายท่านฉิน
นายท่านฉินดูคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ เขาโบกมือ เหล่าเสมียนจึงยกเก้าอี้ยาวมาอีกตัว
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว อย่าได้ไปวุ่นวายกับชีวิตคน หมอใกล้จะมาถึงแล้ว” นายท่านฉินกระซิบข้างหูอวี๋หวั่น ในความคิดของเขา อวี๋หวั่นทำเช่นนั้นก็เพื่อเลี่ยงคำครหาของผู้คน ตรวจอาการจริงๆ ได้เสียเมื่อไรกัน?
อวี๋หวั่นไม่มีเวลาอธิบาย เธอให้พ่อค้าชานอนราบบนเก้าอี้ยาว ทว่าเก้าอี้กลับยาวไม่พอ เธอจึงหันไปสั่งเสมียนว่า “ยกเก้าอี้มานี่หน่อย!”
เสมียนยกเก้าอี้มาอย่างเชื่อฟัง และนำเท้าของพ่อค้าชาพาดไว้บนเก้าอี้
ช่องท้องส่วนบน ตั้งแต่หัวนมลงไป ช่องซี่โครงที่เจ็ดจากแนวกึ่งกลางลำตัวเป็นแนวระนาบสี่ชุ่น
ในสมองของอวี๋หวั่นท่องตำแหน่งของจุดรื่อเยว่ เธอใช้ส่วนล่างของฝ่ามือซึ่งติดกับโคนนิ้วโป้งกดลงไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อค้าชาก็มิได้รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนแล้ว ความเจ็บปวดที่ชายโครงก็ทุเลาลงมาก
“นี่! พวกเจ้าดูสิ! เขาหายแล้ว!” คนที่พูดก็คือบัณฑิตคนเดียวกับที่กล่าวหาว่าหอจุ้ยเซียนว่ามีคนตาย
…………………………………………………………..
[1] เจียงจั่ว ใช้เรียกพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีขึ้นไปในแถบมณฑลอันฮุนไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset