หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 43 ทูตสวรรค์น้อยทั้งสาม

บทที่ 43 ทูตสวรรค์น้อยทั้งสาม
โดย
Ink Stone_Romance

ณ จวนสกุลเกา เกาหย่วนซึ่งล้มหมอนนอนเสื่อมาหลายวันได้กลับไปที่สำนักบัณฑิตอีกครั้ง กิจราชการและกิจด้านการศึกษาที่ร่วงลงมาก่อนหน้านี้กองพะเนินเทินทึก เกาหย่วนจำต้องอยู่ที่บ้านเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น
วันนี้อากาศกำลังดี เกาหย่วนวางกล่องสองสามใบใต้ต้นท้อในสวน
ดอกท้อบานสะพรั่งสดใสงดงามจับตา
เกาหย่วนนั่งลงบนเบาะรองนั่ง หยิบพู่กันขึ้นมาแก้ไขเรียงความในแบบทดสอบของบัณฑิตที่เพิ่งเข้าใหม่
“คนหนุ่มยามนี้ไม่ใฝ่เรียนเสียจริง ด้อยกว่าพวกเรายามนั้นมากนัก” เกาหย่วนเปิดอ่านไปพลางส่ายหัวไปพลาง
พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “ยามนั้นที่นายท่านเข้าสำนักบัณฑิต เข้าไปด้วยความสามารถของตนเอง ยามนี้มีบัณฑิตมากมายต่างก็อาศัยให้คน ‘ยัด’ เข้าไป”
อย่างไรเสียก็อยู่ในบ้านตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเลี่ยงใช้คำมากมาย เกาหย่วนมิได้ตำหนิพ่อบ้านที่เอ่ยวาจาโผงผาง และหยิบบทความฉบับหนึ่งในมือขึ้นมาแทน “ที่ยัดเข้ามาก็ยังมีดีอยู่บ้าง คำนี้เขียนได้ไม่เลว สละสลวยทว่าทรงพลัง เส้นขีดกลมกลืนสมส่วน มีทั้งเข้มและบาง ไม่อ่อนแอทว่าไม่แข็งกร้าว เรียบเรียงข้อความได้เป็นอย่างดี ลื่นไหลและเฉียบคม ถือได้ว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง”
“ไหนขอข้าดูหน่อย” พ่อบ้านก้าวไปด้านหน้าด้วยความประหลาดใจ
สามารถเป็นพ่อบ้านภายใต้เขาได้ ความสามารถด้านวรรณกรรมของเขาก็มิใช่ธรรมดา
เกาหย่วนส่งบทความฉบับนั้นให้พ่อบ้าน
หลังจากพ่อบ้านอ่านจบก็เอ่ยชื่นชมมิได้หยุด “วิเศษ วิเศษมาก แต่ทว่า ความสามารถทางวรรณกรรมก็ยังด้อยกว่านายท่านในยามนั้นอยู่เล็กน้อย”
“แน่นอน! ไม่เห็นหรือว่าข้าเป็นใคร! ร้อยปีที่ผ่านมา หรือร้อยปีข้างหน้า ไม่มีผู้ใดที่จะมีความสามารถด้านวรรณกรรมเหนือไปกว่าข้า!”
ฉีหลินกลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกล่องอาหาร
พ่อบ้านต้องการดูว่าผู้ใดเป็นคนเขียนบทความ ทว่าถูกฉีหลินขัดจังหวะ จึงทำได้เพียงวางบทความกลับลงบนโต๊ะ
“เอาละ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด” เกาหย่วนเอ่ยกับพ่อบ้านอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หลังจากที่พ่อบ้านนำเบาะรองนั่งมาให้ฉีหลินแล้ว ก็ถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม
ฉีหลินนั่งลงตรงข้ามเกาหย่วน วางกล่องอาหารลงบนพื้นหญ้าข้างๆ ยามเปิดฝาออก กลิ่นอันหอมหวานจางๆ ของดอกท้อก็ลอยออกมา
“ท่านปู่ พักทานขนมดอกท้อสักหน่อยเถิด เพิ่งทำเสร็จจากครัว” ฉีหลินเอ่ยพร้อมกับวางถาดขนมชั้นเลิศไว้บนโต๊ะสองสามอย่าง เนื้อขนมสีขาวครีม ด้านบนประดับด้วยกลีบดอกท้อสดห้ากลีบ ทำให้รู้สึกสดชื่นน่ารื่นรมย์
“ปู่ไม่หิว” เกาหย่วนเอ่ย
“ท่านเปิดอ่านมาตลอดทั้งเช้า ยังไม่หิวอีกหรือ?” ฉีหลินพึมพำและยื่นขนมดอกท้อให้ท่านปู่ของเขา
เกาหย่วนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ จำต้องวางพู่กันแล้วรับขนมดอกท้อมา
เมื่อเห็นเกาหย่วนกัดชิม ฉีหลินก็หยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง
“ท่านปู่เนี่ย…”
“ยามกินไม่พูด ยามนอนไม่คุย”
ฉีหลินเม้มริมฝีปากและกินขนมดอกท้อชิ้นใหญ่เข้าไปทั้งคำโดยไม่ทำให้ตัวเองสำลัก “เช่นนี้คุยได้แล้วกระมัง!”
“เจ้าต้องการจะเอ่ยสิ่งใด?” เกาหย่วนลิ้มรสเพียงสองคำก็รู้สึกว่าหวานเกินไป จึงวางขนมลง
ฉีหลินดวงตากลมโต “ท่านปู่เล่าความฝันของท่านให้ข้าฟังอีกสิ!”
เกาหย่วนมักเอ่ยวาจาที่ยากจะเข้าใจ ฉีหลินได้ฟังมามากจนไม่สามารถเพิกเฉยได้ เกาหย่วนจึงบอกว่าเขามีความฝันแปลกๆ ในยามที่เขาป่วย
มือที่จับพู่กันของเกาหย่วนชะงัก “ความฝันก็คือความฝัน มีอันใดน่าเล่ากัน?”
“ยามที่ข้าไม่อยากฟัง ท่านก็เอ่ยไปเรื่อย ยามข้าอยากฟัง ท่านก็กลับไม่เอ่ย ไฉนจึงเป็นเช่นนี้?” ฉีหลินพึมพำอย่างไม่พอใจ
เกาหย่วนหัวเราะ “ไม่ใช่ข้า”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?” ฉีหลินมองเขาด้วยความคับแค้นใจ
เกาหย่วนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “แล้วเจ้าอยากรู้เรื่องอันใด?”
“เยี่ยนจิ่วเฉา” ยิ่งท่านปู่ขอให้ฉีหลินอย่าไปยั่วแหย่เขา ฉีหลินก็ยิ่งสงสัยเขามากขึ้น ช่วงนี้ไม่ได้ยินข่าวคราวของเยี่ยนจิ่วเฉาเท่าไร และเขาก็มิใช่นักสืบมืออาชีพ เพียงแต่สอบถามไปสอบถามมา จึงได้รู้มากกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อย “ในความฝันของท่านปู่ บุตรของเยี่ยนจิ่วเฉาหายตัวไป และสุดท้ายเขาก็หาพบเช่นนั้นหรือ?”
เกาหย่วนส่ายหัว “ไม่”
เยี่ยนจิ่วเฉามีชีวิตอยู่ได้เพียงยี่สิบห้าปี หลังจากนั้นก็หายตัวไป เขาเดาว่า เยี่ยนจิ่วเฉาคงสิ้นชีพในที่ที่ไม่มีใครอยู่ เขาไม่ได้พบกับบุตรชายของเขาจนกระทั่งเขาเสียชีวิต
“โห? เด็กน้อยเหล่านั้นช่างน่าสงสาร” ฉีหลินเท้าคางรู้สึกสงสาร
น่าสงสาร? ดวงตาของเกาหย่วนเยือกเย็นลง ราชามารที่ยิ่งใหญ่ผู้ทำการนองเลือดเมืองหลวงทั้งสามคนน่ะหรือ?
…………………….
“ดูสิ! เจ้าใบ้น้อยมาแล้ว!”
ด้านนอกจวนคุณชาย กลุ่มเด็กชายอายุเจ็ดแปดเก้าขวบ จับเด็กน้อยสามคนกั้นไว้ในตรอกสกปรก
เหล่าเด็กน้อยเหวี่ยงคนรับใช้ทิ้งไปและแอบออกมาทางรูที่สุนัขเจาะไว้
ด้านหลังซอยนี้เป็นตรอกเสียงดังจอแจที่คั่นด้วยกำแพง แถบนี้เป็นที่อยู่อาศัยของจวนคุณชายและผู้มีอำนาจใหญ่ ส่วนอีกด้านหนึ่งกลับมีเหล่าทาสรับใช้ผู้ต่ำต้อยอาศัยอยู่ เด็กเหล่านี้ถือกำเนิดในสถานที่เช่นนี้
เด็กน้อยทั้งสามแอบออกไปเป็นครั้งคราว ทีแรกก็มองพวกเขาจากที่ไกลๆ ต่อมาไม่ทราบอย่างไร กลับถูกเด็กคนหนึ่งพบเข้า
“ข้าถามว่าเจ้าชื่ออันใด? พ่อแม่เจ้าทำงานที่จวนหลังไหน? โตป่านนี้แล้วยังเอ่ยวาจาไม่ได้ เป็นใบ้รึ?”
เด็กๆ ต่างหัวเราะขำขัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเด็กน้อยทั้งสามก็ถูกพวกเขาเรียกว่าใบ้น้อย
พวกเขาทั้งสามแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นสูง ไข่มุกเพียงเม็ดหนึ่ง ก็เพียงพอสำหรับอาหารตลอดทั้งปีของเหล่าข้าทาสบนถนนทั้งเส้น ทว่าเด็กๆ ไม่รู้ ในสายตาพวกเขา ทั้งสามคนคือเจ้าใบ้น้อย และใบ้ก็น่ารังแกยิ่งนัก
เด็กชายอายุแปดขวบเอ่ยอย่างหัวเสีย “ใบ้น้อย ไฉนพวกเจ้ายังมาที่นี่อีก? ข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือ ว่าที่นี่มีเพียงคนของจวนสกุลจางและจวนสกุลหลิวเท่านั้น? พ่อแม่ของพวกเจ้ามิได้มาจากจวนทั้งสองนี้!”
“พวกเจ้าไม่มีพ่อแม่ละสิ จึงไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลย!”
“เด็กกำพร้าที่ไม่มีผู้ใดต้องการหรือนี่…” เด็กชายวัยแปดขวบยิ้มอย่างร้ายกาจ สายตาของเขาตกกระทบกับขนมอบในมือของทั้งสาม “เอามาให้ข้า”
ทั้งสามไม่ให้
เด็กชายเอ่ยอย่างดุดัน “กล้าไม่ให้รึ ข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย!”
ทั้งสามมองอย่างดื้อดึง
“ตีพวกมันซะ!” เด็กชายสั่ง เหล่าเด็กชั่วก็ล้อมพวกเขาและผลักพวกเขาไปที่มุมกำแพง
เด็กชายยื่นมือออกไปเพื่อแย่งของ ทว่าทันใดนั้นเสียงอันเย็นยะเยือกก็ดังขึ้นจากปากทางเข้าตรอก “ทำอันใดน่ะ!”
เด็กชายและเพื่อนที่เหลือต่างผงะ หันหน้ามองคนผู้นั้น สตรีผู้หนึ่งกำลังเดินมาฝั่งนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา
อวี๋หวั่นหยุดอยู่ตรงหน้าและก้มมองพวกเขา เธอยื่นมือออกมาจิ้มที่หน้าอกของเด็กชาย “ที่แท้ก็เป็นเจ้า ที่อยากจะแย่งของพวกเขาหรือ?”
เด็กชายถูกขู่ขวัญด้วยรังสีที่แผ่ออกมาของอีกฝ่าย พลันกลืนน้ำลายด้วยความหวาดผวา “ข้า…ข้าไม่ได้แย่ง!”
“มิได้แย่งรึ! ข้าได้ยินทุกอย่างที่เจ้าพูด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร?” อวี๋หวั่นคว้าแขนเด็กชาย และดึงออกจากตรอกอย่างไร้ความปรานี เมื่อเพื่อนที่เหลือเห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายก็ผละออกหวังจะวิ่งหนี อวี๋หวั่นเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ผู้ใดกล้าวิ่ง ข้าจะหักขาผู้นั้น!”
เด็กๆ จึงไม่กล้าวิ่งหนี
อวี๋หวั่นบีบไหล่ของเด็กชายพลางชี้ไปที่กำแพงลานกว้างของจวนคุณชาย “เจ้าเคยเห็นจวนหลังนี้หรือไม่? ต่อให้จวนสกุลหลิวหรือจวนสกุลจางอะไรนั่น ถือรองเท้าให้คนของจวนนี้ก็ยังหาได้คู่ควร! พ่อของพวกเขาคือเจ้าของจวนหลังนี้! พวกเขาคือคุณชายน้อยของจวน! หากยังบังอาจรังแกพวกเขาอีก องครักษ์ในจวนรับรู้เข้าคงได้ออกมาฆ่าเจ้า!”
ข่มขู่ด้วยวาจายังไม่เพียงพอ อวี๋หวั่นหยิบอิฐที่พื้นขึ้นมาแล้วตบเข้ากับกำแพงดังปั้ง ทันใดนั้นเด็กชายก็ร้องไห้ออกมา!
ทุกคนตัวสั่นสะท้าน มองไปที่อวี๋หวั่นด้วยความสยดสยอง
“ยังกล้าแย่งของพวกเขาอีกหรือไม่?”
“ไม่…ข้าไม่กล้าแล้ว…”
“ยังด่าว่าพวกเขาเป็นใบ้น้อยอีกหรือไม่?”
“ไม่แล้ว…”
อวี๋หวั่นก้าวไปหาพวกเขาทีละก้าว พร้อมกับเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “ข้าเป็นแม่ของพวกเขา หากข้าเห็นว่าพวกเจ้ารังแกบุตรของข้าอีก ข้าจะตีหัวเจ้าทุกคนให้แตก!”
เหล่าเด็กชั่วต่างร้องไห้ด้วยความตกใจ!
ยืนยันได้ว่าเด็กชั่วเหล่านี้ได้เรียนรู้บทเรียนแล้วจริงๆ และไม่กล้ารังแกเหล่าเด็กน้อยอีกต่อไป อวี๋หวั่นจึงปล่อยให้พวกเขาวิ่งหนีไปด้วยความเมตตา
วันนี้อวี๋หวั่นมาที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนลุงใหญ่เพื่อตรวจร่างกายอีกครั้ง อาการบาดเจ็บของลุงใหญ่ดีขึ้นเล็กน้อย หมอจี่ดีใจมาก และฝากให้ลุงใหญ่เข้ารับการรักษาครั้งที่สองที่โรงยา โดยมีอวี๋เฟิงคอยอยู่ดูแล อวี๋หวั่นช่วยอะไรมิได้มาก จึงมาเดินเล่นแถวจวนคุณชาย
โชคดีที่มา ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจทราบได้ว่าเด็กน้อยทั้งสามจะโดนเด็กกลุ่มนั้นกลั่นแกล้งรังแกอย่างไรบ้าง
อาภรณ์ที่เด็กน้อยทั้งสามสวมใส่สกปรกมอมแมมอยู่ที่มุมกำแพง อวี๋หวั่นปัดอาภรณ์และเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของพวกเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า “ไฉนเจ้าจึงออกมาเอง? แม่นมเล่า?”
ทั้งสามก้มหน้ารู้สึกผิด ไม่กล้าบอกอวี๋หวั่นว่าพวกเขาได้เหวี่ยงแม่นมทิ้งแล้วแอบออกมาจากรูของสุนัข
พวกเขาทั้งสามคนพูดไม่ได้ อวี๋หวั่นรู้ว่าตนถามไปก็คงไม่ได้อะไร เธอลูบหัวพวกเขาพลางเอ่ยว่า “เอาละ ไม่เป็นไร ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่บ้าน ต่อไปไม่ต้องวิ่งออกมาเองนะรู้หรือไม่? ด้านนอกมีคนไม่ดีอยู่มากมาย”
เด็กชั่วยังถือว่าเบา จะลำบากหากพบกับคนลักพาตัวเช่นครั้งก่อน
พวกเขาทั้งสามไม่เดินตามอวี๋หวั่นอย่างเชื่อฟัง
อวี๋หวั่นมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ “เป็นอันใดไป? ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?”
ทั้งสามคนลังเล และดึงมือของอวี๋หวั่น พาเธอเดินผ่านตรอกและเลี้ยวขวาเข้าไปยังลานร้าง
อวี๋หวั่นเห็นลูกแมวที่ถูกทอดทิ้งในลานร้าง
ขาของมันหัก เดินกะเผลก เนื้อตัวสกปรกมอมแมม
ที่แท้ก็เพราะเจ้าแมวตัวนี้?
…..
เกาหย่วนไม่มีทางคาดคิดได้ว่าราชามารที่สังหารคนเป็นผักปลาในชาติก่อน ยามนี้กำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้นอย่างอดทน และนำอาหารที่พวกเขาปกป้องมาด้วยชีวิตให้กับแมวจรจัดโสโครกตัวนั้น
พวกเขาไม่ได้เกิดมาเป็นมาร
และพวกเขาก็เคยเป็นทูตสวรรค์มาก่อน
………………………………………………………….

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset