บทที่ 52 พระสนม (1)
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นรู้อยู่แล้วว่าชื่อเสียงของหอจุ้ยเซียนโด่งดัง ทว่าไม่รู้ว่าจะดังไปถึงวังหลวง
สำหรับอวี๋หวั่น สถานที่อย่างวังหลวง ราวกับการใช้ชีวิตอยู่ในตำนาน เอจะสามารถเข้าไปในวังและทำอาหารให้กับเหล่าสนมของฮ่องเต้ได้จริงหรือ?
“เต้าหู้เหม็นเถิด เป็นสิ่งที่เจ้าทำได้ดีที่สุด คนอื่นทอดก็ไม่เหม็นเหมือนเจ้าทอด!” นายท่านฉินกล่าวตามความจริง
อวี๋หวั่นเหลือบมองเขาเบาๆ “ข้าขอบคุณท่านละกัน…”
นายท่านฉินยิ้มและกล่าวว่า “หอเทียนเซียงที่เก่งกาจเพียงนั้น ก็ยังไม่ได้ไปทำอาหารในวัง คราหน้าหากข้าป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป ธุรกิจของเราจะคงจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น!”
จริงสิ หอเทียนเซียงมีพี่ชายของสวี่เสียนเฟยเป็นผู้ก่อตั้ง พ่อครัวของพวกเขายังไม่ได้เข้าวังด้วยซ้ำ เหตุใดจึงถึงคราวของหอจุ้ยเซียนที่เพิ่งมีชื่อเสียงเล่า?
อวี๋หวั่นมักคิดว่าโชคที่หล่นมาจากท้องฟ้า ไม่ค่อยเป็นความจริง
“นายท่านฉิน ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ใดคือพระสนมที่ต้องการกินอาหารจากหอจุ้ยเซียนของพวกเรา?” อวี๋หวั่นถาม
นายท่านฉินส่งสายตาพลางยิ้ม “เจ้าลองเดาดูสิ?”
อวี๋หวั่นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเดาไม่ออก ท่านบอกมาเถิด”
นายท่านฉินยืดเอวและเอ่ยว่า “สวี่เสียนเฟย!”
สวี่เสียนเฟย? นั่นมิใช่มารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายรองหรอกหรือ? ผู้ที่อยากกินอาหารของหอจุ้ยเซียนเป็นนางหรือ?
เมื่อวานนี้เธอเพิ่งปฏิเสธคำขอแต่งงานขององค์ชายรอง วันนี้สวี่เสียนเฟยมีรับสั่งให้พ่อครัวแม่ครัวของหอจุ้ยเซียนเข้าวัง มิใช่เรื่องบังเอิญหรือ?
“สวี่เสียนเฟยเจาะจงว่าข้าต้องไปหรือไม่?” อวี๋หวั่นกล่าวถาม
“เหตุใดเล่า? เจ้าไม่ชอบหรือ? รางวัลตอบแทนอย่างงาม! เยอะเท่านี้!” นายท่านฉินทำท่าทาง “ยิ่งไปกว่านั้นกุ้ยเหริน[1] ล้วนไม่ขาดเงิน เพียงได้กินอย่างมีความสุข ก็อาจจะตบรางวัลให้อย่างงาม เจ้าก็จะมีเงินใช้สร้างบ้านแล้ว”
นี่เป็นความจริงอย่างยิ่ง อวี๋หวั่นเข้าใจว่านายท่านฉินคิดว่าคงเป็นการดี จึงได้มาตามเธอไป
“เอาละ ที่เจ้าถามข้า ข้าก็บอกแล้ว เดิมข้ายังอยากเห็นแก่หน้าเจ้า” นายท่านฉินถูจมูกอย่างโกรธเคือง
เดิมที ความจริงก็คือคนในวังของสวี่เสียนเฟย ‘ระบุ’ ให้อวี๋หวั่นไป ยามนั้นคนในวังได้กินเต้าหู้เหม็นของหอจุ้ยเซียน และถามนายท่านฉินว่าผู้ใดเป็นผู้คิดค้นวิธีทำสิ่งนี้ นายท่านฉินจึงบอกว่าเป็นรองผู้ดูแลของหอจุ้ยเซียน คนในวังจึงบอกกับนายท่านฉิน ว่าเช่นนั้นก็ให้นางเข้าวังมาทำอาหารให้พระสนมเถิด
ในสายตาของนายท่านฉิน นี่เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขต่างๆ สมบูรณ์พร้อม อวี๋หวั่นคิดค้นเต้าหู้เหม็น ดังนั้นฝีมือของนางย่อมเหนือกว่าเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลาย หากไม่เรียกให้นางไปวังหลวง เช่นนั้นจะบอกว่าสมเหตุสมผลได้หรือ?
ทว่าทั้งหมดนี้ในสายตาของอวี๋หวั่น ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
สวี่เสียนเฟยรับสั่งให้เธอเข้าวังไปทำอาหาร ในช่วงที่สำคัญเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนเกินไป
อย่างไรเสีย ‘พระราชเสวนีย์’ ได้ออกมาแล้ว หากเธอไม่ไป ก็จะถือว่าเป็นการ ‘ดูหมิ่นเบื้องสูง’
อวี๋หวั่นคำนวณในใจและเอ่ยกับนายท่านฉิน “ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าวังหลวงพร้อมกับท่าน”
เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวต้องกังวล อวี๋หวั่นจึงไม่ได้เล่าเรื่ององค์ชายรอง และมิได้บอกว่าเป็นการเรียกเข้าพบของสวี่เสียนเฟย เพียงแต่บอกว่าหอจุ้ยเซียนมารับให้เข้าไปเจรจาธุรกิจในวัง เธอไปสักครู่ไม่นานก็กลับ
ระหว่างทางไปวังหลวง อวี๋หวั่นถามนายท่านฉินเกี่ยวกับสวี่เสียนเฟยผู้มีอำนาจในวังหลัง นายท่านฉินไม่ได้เอะใจว่าเหตุใดเธอจึงถามเช่นนี้ ในเมื่อพวกเขาต้องไปทำอาหารให้สวี่เสียนเฟย หากรู้ว่าพระสนมผู้นี้ชอบสิ่งใดย่อมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
“หากเอ่ยถึงพระสนมผู้นี้…” นายท่านฉินบอกกับอวี๋หวั่นในสิ่งที่เขารู้
หลังจากอวี๋หวั่นฟังจบ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าประวัติการสร้างอนาคตครอบครัวของพระสนมผู้นี้ ก็คือการหลีกหนีจากรากหญ้าในแบบโบราณ
สวี่เสียนเฟยเกิดในชนชั้นพ่อค้าวาณิชย์ ในเวลานั้นสกุลสวี่หาใช่สกุลสวี่เช่นในปัจจุบัน และถูกจัดว่าเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นระดับสามในสวี่โจว เขาทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อเปิดช่องทางให้บุตรสาวของตระกูลได้เข้าไปเป็นหญิงงาม
หากจะเอ่ยถึง ก็เป็นเพราะจำนวนหญิงงามของสวี่โจวในรุ่นนั้นไม่ได้มีการเพิ่มขึ้น จึงทำให้สกุลสวี่ได้มีโอกาสอุดช่องโหว่
สถานะของพ่อค้าในต้าโจวนั้นต่ำต้อย สวี่เสียนเฟยจึงกลายเป็นหญิงงามระดับล่างสุดของกลุ่ม รูปลักษณ์ของนางนับว่าโดดเด่น ทว่าเหม่ยเหริน[2] ในวังหลังมีมากนัก ย่อมไม่เคยขาดสตรีผู้เลอโฉม
“นับว่าเป็นโชคดี ที่นางได้อยู่ในสายตาของฮ่องเต้” นายท่านฉินกล่าวต่อบนรถม้า “ในขณะนั้น หม่าฮองเฮาเพิ่งตั้งครรภ์องค์ชายใหญ่ จึงไม่สะดวกที่จะปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ ดังนั้นจึงเลือกหญิงงามที่พึงใจเข้ามาอยู่ในวังของตน”
“สวี่เสียนเฟยก็เป็นหนึ่งในหญิงงามที่ถูกเลือกมาหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
นายท่านฉินยิ้มและส่ายหัว “ไม่ ในขณะนั้นมีลี่เฟยอยู่องค์หนึ่ง นางเป็นที่รักของฝ่าบาทมาก เหล่าหญิงงามไม่อาจเทียบกับนางได้ ทว่าในไม่ช้าลี่เฟยก็ตั้งครรภ์มังกรอีกเช่นกัน”
อวี๋หวั่นหยุดชั่วคราว “ช้าก่อน มิใช่ว่าองค์ชายรองถือกำเนิดจากสวี่เสียนเฟยหรอกหรือ? เป็นไปได้อย่างไรที่ลี่เฟยจะตั้งครรภ์มังกรก่อน?”
นายท่านฉินกล่าวว่า “เด็กคนนั้นไม่ได้เกิดมา”
อวี๋หวั่นเคยได้ยินเรื่องขององค์ชายจากไป๋ถัง และรู้ว่าองค์ชายใหญ่มีอายุมากกว่าองค์ชายรองถึงห้าปี ลี่เฟยตั้งครรภ์ในปีเดียวกับหม่าฮองเฮา หรือจะกล่าวก็คือ ในระยะเวลาห้าปี ไม่มีองค์ชายคนใดถือกำเนิด จนกระทั่ง…สวี่เสียนเฟยได้ให้กำเนิดเยี่ยนไหวจิ่ง
เมื่ออวี๋หวั่นคิดถึงตอนนี้ ความเย็นก็ก่อกำเนิดขึ้นที่ฝ่าเท้า
นายท่านฉินกล่าวต่อไปว่า “หลังจากลี่เฟยทราบว่าตนกำลังตั้งครรภ์ ก็ทำตามหม่าฮองเฮา หาหญิงงามที่หน้าตาดีและอายุน้อยมาสองสามคน”
“สวี่เสียนเฟยถูกเลือกมาโดยลี่เฟยหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
นายท่านฉินยังส่ายหัวอีกครั้ง
หญิงงามทุกคนที่เข้ามาในวังหลวง ส่วนใหญ่จะถูกเหล่านางสนมชั้นสูงดึงมาเป็นพวก ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้เพื่อช่วงชิงความโปรดปรานเท่านั้น แต่ยังเป็นทุนในการตั้งหลักอีกด้วย แม้การมีผู้อยู่เบื้องหลังที่ผิดพลาดจะทำให้ตายเร็ว ทว่าการไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังยิ่งตายเร็วกว่า สวี่เสียนเฟยก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ในขณะนั้นนางเป็นเพียงตาอิ้ง[3]เท่านั้น” นายท่านฉินกล่าว
ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญกับสวี่ตาอิ้งผู้โดดเดี่ยว ป้ายชื่อสีเขียว[4] ของนางไม่เคยถูกนำขึ้นสู่หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้สักครั้ง หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ในชาตินี้นางคงได้เฉาตายอยู่ในวัง
“เจ้าเดาสิว่านางทำสิ่งใด?” นายท่านฉินถามด้วยความสนใจ
“ทำสิ่งใดรึ?” อวี๋หวั่นถาม
ดูเหมือนนายท่านฉินจะนึกถึงบางสิ่งที่น่าขัน “นางปลูกผักในวังหลัง”
อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจ
นายท่านฉินกล่าวว่า “วันหนึ่งฮ่องเต้ได้เสวยผักกาดขาวที่มีรสชาติดียิ่ง จึงเอ่ยถามพ่อครัวหลวงว่าผู้ใดเป็นคนทำ จะตบรางวัลให้อย่างงาม พ่อครัวหลวงกลับบอกว่ามิใช่ที่ทักษะการทำอาหาร ทว่าเป็นที่วัตถุดิบชั้นดีที่สวี่ตาอิ้งเป็นคนปลูก
ฮ่องเต้จึงเสด็จไปยังที่พักของสวี่ตาอิ้ง ซึ่งเป็นวังเก่าที่รกร้าง สวี่ตาอิ้งม้วนแขนเสื้อ ถือจอบขุดดินปลูกผักอยู่ในสวนด้านหลัง ลักษณะเช่นนี้เอง นางจึงเข้าไปอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้
ครั้นเมื่อฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์เคยอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นนานหลายปี มักเสวยไม่เคยอิ่ม ไทเฮาก็ปลูกผักให้ฮ่องเต้และเยี่ยนอ๋องในวัยเยาว์แบบนั้นเช่นกัน
นั่นเป็นความทรงจำที่ฮ่องเต้ไม่อยากหวนกลับไปนึกถึง ไม่เคยมีผู้ใดกล้าแตะต้องมัน ทว่าสวี่ตาอิ้งเสี่ยงต่อการถูกตัดหัว ที่บังอาจบังคับให้ฮ่องเต้ต้องนึกถึงตำหนักเย็น”
สวี่เสียนเฟยเป็นบุตรสาวของพ่อค้า ทว่าไม่ใช่สาวชาวบ้าน นางจะเพาะปลูกได้อย่างไร? ไป๋ถังเพาะปลูกเป็นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? ดังนั้นการทำไร่เอย การเพาะปลูกเอย ล้วนเป็นอีกหนึ่งกลอุบายในวังมังกร
อวี๋หวั่นได้รู้จักสวี่เสียนเฟยมากขึ้นเล็กน้อย “หลังจากนั้นนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานรึ?”
นายท่านฉินหัวเราะเยาะตัวเอง “จะไม่เป็นที่โปรดปรานได้อย่างไร? ก็เคยไม่ได้รับความโปรดปราน ทว่าสุดท้ายก็ชนะ”
ฮ่องเต้ได้มอบอำนาจในการควบคุมตำหนักทั้งหกให้กับสวี่เสียนเฟย ไม่ใช่เพราะเขาโปรดปรานนาง หรือต้องการความรักที่เร่าร้อนบนแท่นบรรทม ทว่าในสายตาของฮ่องเต้ นางคือสตรีที่เหมาะสมที่สุดในการปกครองวังหลัง
สตรีผู้มากด้วยกลอุบายเช่นนางเรียกตัวเข้าพบในวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมิใช่เรื่องบังเอิญ
…
วันนี้นอกจากอวี๋หวั่นที่ติดตามนายท่านฉินเข้าวังหลวง ก็ยังมีพ่อครัวอีกสองคนจากหอจุ้ยเซียน ซึ่งทั้งสองถูกนายท่านฉินพามาจากเจียงจั่ว ล้วนอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ มีความแน่วแน่ในการทำงาน พวกเขาเคยไปบ้านเก่าของสกุลอวี๋ และขอให้ลุงใหญ่ช่วยถ่ายทอดวิชาปรุงอาหารให้ด้วยความอ่อนน้อม
นายท่านฉินพาพวกเขาทั้งสองมาด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
อวี๋หวั่นแอบถามในใจ ในครานี้ มีเรื่องใดที่เกี่ยวกับฝีมือการทำอาหารด้วยหรือ?
รถม้ามาถึงวังหลวง มีขันทีรออยู่ที่นั่นแต่เช้าตรู่
“ขันทีอู๋ ให้ท่านต้องรอเสียนาน!” นายท่านฉินกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนว่า ท่านนี้คือคนในวังที่ได้ชิมอาหารของหอจุ้ยเซียน อวี๋หวั่นลอบมองขันทีผู้นั้นผาดหนึ่ง เขาอายุน้อยกว่าลุงวั่นไม่กี่ปี รูปร่างหน้าตานับว่างดงาม ดูมีเมตตาและมีอัธยาศัยดี ทว่าดวงตากลับฉายประกายคมกริบดุจปลายดาบโดยไม่ตั้งใจ
สามารถทำงานภายใต้เงื้อมมือของสวี่เสียนเฟยได้ คิดว่าคงมิใช่คนธรรมดาทั่วไป
“พ่อครัวเหล่านี้มาจากหอจุ้ยเซียนหรือ?” ขันทีอู๋มองไปยังอวี๋หวั่นและพ่อครัวอีกสองคนด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเพียงดรุณีน้อยเองรึ?” เขามีน้ำเสียงประหลาดใจ
……………………………………………………..
[1] กุ้ยเหริน เป็นตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ ตำแหน่งนี้สามารถมีได้นับไม่ถ้วน พระสนมขั้นกุ้ยเหรินมีขันทีรับใช้ได้ 4 คน นางกำนัลรับใช้ได้ 4 คน
[2] เหม่ยเหริน คือ ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ ขั้นที่ 4
[3] ตาอิ้ง คือ ตำแหน่งเจ้าจอมระดับต่ำสุด ซึ่งมีจำนวนไม่จำกัด เรียงลำดับสูงไปต่ำจาก กุ้ยเหริน贵人 ฉางจ้าย常在 และตาอิ้ง答应
[4] ป้ายชื่อสีเขียว คือ ป้ายไม้ไผ่ที่ทาสีเขียวด้านบน แต่ละอันจะมีชื่อและตำแหน่งของเหล่าสนมนางใน ฮ่องเต้จะใช้ในยามที่ต้องการเลือกสตรีมาถวายงาน