บทที่ 53 รสชาติของแม่ (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ดวงตาของอวี๋หวั่นเย็นชา เธอยื่นมือออกไปคว้าจับข้อมือของนางไว้
สวี่เสียนเฟยไม่คาดคิดมาก่อนว่าสตรีเลวทรามผู้นี้จะกล้าหยุดนาง และลบหลู่ดูหมิ่นร่างกายสนมของฮ่องเต้ด้วยมือสกปรก!
สัญชาตญาณทำให้สวี่เสียนเฟยต้องการเอาข้อมือนวลเนียนออกจากมือของอวี๋หวั่น ทว่านางได้รับการปรนนิบัติดูแลอยู่ในวังตลอดทั้งปี จะมีเรี่ยวแรงมากดังเช่นอวี๋หวั่นที่ทำงานตลอดทั้งปีได้อย่างไร? สวี่เสียนเฟยรู้สึกว่าข้อมือถูกหนีบด้วยคีมเหล็กเย็นเยือก แทบจะไม่อาจขยับได้เลย!
นางตะโกนเสียงดัง “บังอาจ!”
“แม่นางอวี๋ รีบปล่อยพระสนมบัดเดี๋ยวนี้” มามาผู้ดูแลเดินเข้ามา
อวี๋หวั่นมองไปที่มามาผู้ดูแล “ข้าไม่เคยแนะนำตระกูล เหตุใดเจ้าจึงรู้ชื่อสกุลของข้า?”
ความจริงถูกเผยออกมาแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการตบหน้านายบ่าวเท่านั้น ทว่ามามาผู้ดูแลไม่ฉุนเฉียวเท่าสวี่เสียนเฟย นางเพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ “แม่นางอวี๋ เจ้าปล่อยพระสนมก่อนเถิด แล้วค่อยคุยกัน”
อวี๋หวั่นมองสวี่เสียนเฟย “เช่นนั้นนางต้องสัญญาว่าจะไม่ตบข้า”
สวี่เสียนเฟยตอบอย่างเย็นชา “ข้าเป็นสนมของฮ่องเต้ หากตบเจ้าแล้วอย่างไร? เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าถึงเพียงนี้ มีโทษประหาร!”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “เช่นนั้นข้าก็ต้องลากพระสนมไปลงหลุมกับข้าด้วย”
ม่านตาของสวี่เสียนเฟยหดลงในฉับพลัน!
หญิงคนนี้เอ่ยอันใด? ลากนางไปลงหลุมด้วย? เกรงว่าหากมิได้บ้า ก็คงไม่กล้าเอ่ยวาจากบฏเช่นนี้ออกมา!
มามาผู้ดูแลก็มองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ ราวกับว่า นางไม่คาดคิดว่าอวี๋หวั่นจะกลับกลายเป็นคนคุกคามสวี่เสียนเฟยเสียเอง นางไม่เกรงกลัวอำนาจจริงๆ หรือ?
แน่นอนว่าไม่ใช่ ในใจของอวี๋หวั่น ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวต่อเบื้องสูง แต่ทว่า นั่นอยู่บนเงื่อนไขของการอยู่รอด เธอไม่เคยมองว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีสำคัญไปกว่าชีวิต คุกเข่าคำนับ ก้มศีรษะ ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นตาย ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ทว่าบนโลกนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ที่แม้ว่าเราจะประจบสอพลอ อยู่ต่ำเช่นฝุ่นผงด้วยความนอบน้อมเพียงใด ทว่าเขาก็ยังจะเหยียบย่ำอย่างไร้ความปรานี ใคร่อยากจะเหยียบย่ำเราให้ตาย
ถึงอย่างไรก็ต้องตาย ไฉนต้องตายอย่างอยุติธรรมละ?
“ข้าจะลงโทษประหารเจ้าเก้าชั่วโคตร!” สวี่เสียนเฟยโกรธจัด
“หากพระสนมสิ้นพระชนม์จะลงโทษอย่างไรเล่า?”
“เจ้า…”
เมื่อถึงจุดนั้น อวี๋หวั่นเชื่อว่า เยี่ยนจิ่วเฉาจะปกป้องครอบครัวของเธอต่อไป ทว่าตอนนี้อวี๋หวั่นไม่คิดว่า สวี่เสียนเฟยจะตายไปพร้อมกับเธอจริงๆ
มามาผู้ดูแลกล่าวด้วยความจริงใจ “แม่นางอวี๋ หากเจ้ามีอันใดจะเอ่ยก็เอ่ยดีๆ เถิด อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นวังหลวง แม่นางอวี๋เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ทำให้พระสนมของฮ่องเต้ทรงขุ่นเคือง ถือเป็นการไม่เคารพอย่างมาก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจริง ก็เพียงพอที่จะทำให้แม่นางอวี๋ได้รับโทษประหาร”
อวี๋หวั่นมองไปที่สวี่เสียนเฟยชั่วขณะและเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพระสนมยอมรับปากว่าจะไม่ตบข้าแล้วหรือ?”
สวี่เสียนเฟยฮึดฮัดอย่างเย็นชา
อวี๋หวั่นปล่อยมือออกจากสวี่เสียนเฟยอย่างแผ่วเบา
วินาทีต่อมา สวี่เสียนเฟยตบหน้าอวี๋หวั่นด้วยมืออีกข้างของนาง ความเร็วนั้นถึงกับทำให้ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
อวี๋หวั่นหลบอย่างง่ายดาย
สวี่เสียนเฟยตะครุบได้เพียงอากาศ นางเดินเซไปสองสามก้าวจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
หลังจากจากตั้งหลักได้ สวี่เสียนเฟยก็พาลโกรธอวี๋หวั่น “ทหาร! ลากตัวนางออกไป!”
ขันทีด้านนอกห้องโถงรีบวิ่งเข้ามาล้อมตัวอวี๋หวั่น
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกายก่อนจะเอ่ยว่า “พระสนม หากท่านฆ่าข้า ไม่เกรงว่าจวนคุณชายจะทำให้ท่านต้องลำบากหรือ?”
“จวนคุณชาย?” สวี่เสียนเฟยหรี่ตาด้วยความสงสัย “เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับจวนคุณชาย?”
ความสัมพันธ์ที่ไม่อาจบรรยายได้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชี้แจงกับสวี่เสียนเฟย อวี๋หวั่นจึงเลี่ยงตอบง่ายๆ “ข้าเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตคุณชายน้อยทั้งสามของจวนคุณชาย หรือว่าตอนที่พระสนมได้ยินเรื่องของข้า จะพลาดข้อมูลสำคัญเช่นนี้? ดูเหมือนว่าสายลับของพระสนมจะยังใช้ไม่ค่อยได้…”
ชายชุดดำที่อยู่หลังฉากกั้นลดศีรษะลง สวี่เสียนเฟยกังวลเกี่ยวกับข้อมูล ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาไม่ได้สืบมา
สวี่เสียนเฟยจ้องมองอวี๋หวั่นไม่กะพริบตา พยายามหาความผิดปกติในสีหน้าของเธอ ทว่าก็ต้องผิดหวัง เมื่อสีหน้าของอวี๋หวั่นราบเรียบ ดวงตาของเธอไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย
มามาผู้ดูแลกระซิบ “พระสนม ครั้งหนึ่งคุณชายน้อยของจวนคุณชายเคยถูกลักพาตัวไปและได้รับการช่วยเหลือในหมู่บ้านเหลียนฮวา”
และอวี๋หวั่นก็มาจากหมู่บ้านเหลียนฮวา
อวี๋หวั่นก็ใช้ยาแรงอีกครั้ง “หากพระสนมไม่เชื่อ จะส่งคนไปตรวจสอบที่จวนคุณชายก็ได้”
เธอเอ่ยเช่นนี้แล้ว สวี่เสียนเฟยต้องเชื่ออย่างแน่นอน ทว่าไม่รู้ว่านางคิดเช่นไร สวี่เสียนเฟยกลับหัวเราะเยาะ “เจ้าต้องการจะยืมมือของข้า เพื่อนำข่าวที่เจ้าได้รับความทรมานไปบอกกับจวนคุณชาย ข้าเกือบตกหลุมพรางเจ้าเสียแล้ว”
อวี๋หวั่นตกใจมาก สติสัมปชัญญะของสตรีผู้นี้นับว่าใช้ได้ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะโกรธแทบตาย ทว่าก็ไม่ไขว้เขวแม้แต่น้อย
สวี่เสียนเฟยปัดแขนเสื้อของนางและกลับไปยังที่นั่งอย่างสงบ “ที่ข้าบอกว่าเจ้ายืมความกล้าหาญมาจากผู้ใดจึงบังอาจมาสู้กับข้า จวนคุณชายหรอกรึ? มันก็พอจะทำให้ข้าไว้หน้าเจ้าอยู่บ้าง”
อวี๋หวั่นมองไปที่นาง “พอที่จะไว้หน้าอยู่บ้างหรือพระสนม?”
รอยยิ้มของสวี่เสียนเฟยจางลง “อย่าได้วางท่าได้ใจมากเกินไป เจ้าคิดว่าเจ้าไร้ซึ่งข้อผิดพลาดอย่างนั้นรึ? เจ้าคงยังไม่รู้สินะ ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาออกไปนอกเมือง แม้ว่าข้าจะให้เจ้านำข่าวไปแจ้งยังจวนคุณชาย ก็ไม่มีผู้ใดมาช่วยเจ้าได้”
อวี๋หวั่นบีบนิ้ว ชายคนนั้นออกจากเมืองไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หรือว่าสวรรค์อยากจะฆ่าเธอกัน
“ทว่าคุณชายเยี่ยนอาจจะกลับมา…”
“กลับมาในตอนที่สายไปแล้ว” สวี่เสียนเฟยเอ่ยขัดอวี๋หวั่นด้วยท่าทางยิ่งยโส “เจ้าก็อย่าได้ข่มขู่ข้าหากเยี่ยนจิ่วเฉาสามารถมาคิดบัญชีกับข้าหลังสารทฤดู ในเมื่อข้ากล้าจัดการกับเจ้า ก็มีอีกหลายร้อยวิธีที่ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะคิดบัญชีกับข้า”
ใช่แล้ว กระทำผิดในกำมือของนาง ความจริงจะเป็นเช่นไร มิใช่มีเพียงคำพูดของสวี่เสียนเฟยหรือ?
รอให้เยี่ยนจิ่วเฉากลับมา สวี่เสียนเฟยก็คงทำให้ตนเองไร้มลทินไปเสียแล้ว
แผนการของสตรีผู้นี้น่ากลัวและยากจะจัดการเสียยิ่งกว่าเหยียนหรูอวี้หลายเท่าตัว
สวี่เสียนเฟยเอ่ยอย่างไม่แยแส “ทหาร คุมตัวนางไว้!”
“ฮูหยินเซียวเข้าเฝ้า——”
มีเสียงก้องกังวานดังมาจากด้านนอกห้องโถง
สีหน้าของสวี่เสียนเฟยเย็นเยียบ ไม่ทันที่นางจะเอ่ยปากให้กันไว้ กลุ่มองครักษ์ก็พุ่งเข้ามาในห้อง หลังจากนั้น ซั่งกวนเยี่ยนก็เดินตามเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
นางสวมชุดเทพธิดาสีขาวเรียบๆ แขนกว้าง ปกนอกเป็นผ้าโปร่งสีทอง ทำให้นางดูเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับสุริยัน
เหล่าสาวงามในวัง เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ดูจืดชืดไปทันที
การปรากฏตัวของซั่งกวนเยี่ยนทำให้สวี่เสียนเฟยผู้สง่างามดูหมองมัวไปในฉับพลัน
ใบหน้าของสวี่เสียนเฟยดำมืด “ฮูหยินเซียว เจ้าพาชายกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องบรรทมของข้า คงจะไม่เกรงกลัวโทษประหารแล้วกระมัง?”
ซั่งกวนเยี่ยนยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “พวกเขาล้วนเป็นขันทีของตำหนักเยี่ยนอ๋อง หากจะกล่าวอย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่นับว่าเป็นชาย อย่างไรเล่า? พระสนมไม่เชื่อหรือ? ถอดกางเกง!”
บรรดาองครักษ์ก็ถอดกางเกงจริงๆ
อวี๋หวั่นอกสั่นขวัญแขวน!
เอะอะก็ถอดกางเกง ทำอันใดกัน?!
สวี่เสียนเฟยเมินหน้าด้วยความรังเกียจ…
มามาผู้ดูแลยืนกันอยู่ด้านหน้านาง และเอ่ยกับซั่งกวนเยี่ยน “ฮูหยินเซียว!”
ซั่งกวนเยี่ยนโบกมือ กางเกงของเหล่าองครักษ์ที่ถกลงไปครึ่งหนึ่งก็ถูกมัดกลับขึ้นไป
สวี่เสียนเฟยส่งสายตาให้มามาผู้ดูแล นางจึงถอยไปอยู่ด้านข้าง สวี่เสียนเฟยมองซั่งกวนเยี่ยนที่อยู่กลางห้องโถงใหญ่ พลันเอ่ยถามด้วยใบหน้าเย็นชา “ฮูหยินเซียว เจ้ามีเจตนาใดจึงพากลุ่มขันทีเข้ามาในตำหนักเสียนฝู?”
ซั่งกวนเยี่ยนคลี่ยิ้มงาม “มิได้มีเจตนาใดเป็นพิเศษ ข้าเพียงแต่อยากชิมอาหารของหอจุ้ยเซียน ทว่าหลังจากข้าไปที่หอจุ้ยเซียน กลับพบว่าพ่อครัวของพวกเขาถูกเชิญออกไป”
วาจาเช่นนี้ หลอกคนวิปลาสยังมิได้
ดวงตาของสวี่เสียนเฟยส่องประกายเย็นชา “ดังนั้นเจ้าก็เลยพาองครักษ์มาที่ตำหนักเสียนฝูของข้าเพื่อชิงตัวอย่างนั้นรึ?”
ซั่งกวนเยี่ยนกล่าวอย่างไร้เหตุผล “มิใช่หรอก ข้าจะกล้าชิงตัวคนจากพระสนมได้อย่างไร? ข้ามาทานอาหารเย็นที่วังของพระสนมต่างหากเล่า”
ขณะที่เอ่ย นางก็มองไปยังอวี๋หวั่นอย่างเย็นชา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจ้ายังจะอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด? อยากจะทำให้พระสนมกับข้าหิวตายรึ? ยังไม่รีบไปทำอาหารมาอีก!”
“เจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นโค้งกาย และหันหลังเดินไปนอกห้องโถง
“ช้าก่อน ข้าอนุญาตให้เจ้าไปแล้วรึ?” สวี่เสียนเฟยหยุดอวี๋หวั่นอย่างแผ่วเบา
อวี๋หวั่นบังเอิญเดินไปถึงด้านข้างของซั่งกวนเยี่ยน แม้เธอจะไม่รู้ว่าซั่งกวนเยี่ยนทราบข่าวได้อย่างไร ทว่าเธอก็เข้าใจว่าซั่งกวนเยี่ยนมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือตน
เธอใช้หางตาเหลือบมองซั่งกวนเยี่ยน ซั่งกวนเยี่ยนยกมือขึ้น พลางหันไปเผชิญสายตากับสวี่เสียนเฟยที่นั่งอยู่ “เจ้าออกไปก่อน”
สวี่เสียนเฟยกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้บอกให้นางไป!”
รอยยิ้มของซั่งกวนเยี่ยนจางหายไป “สวี่เสียนเฟย”
ประกายแห่งความดุร้ายเกรี้ยวกราดพุ่งออกมาจากยอดฝีมือทั้งสองฝ่าย บรรยากาศในห้องโถงก็เริ่มตึงเครียดขึ้นทันที
………………………………………………………………