บทที่ 53 รสชาติของแม่ (2)
โดย
Ink Stone_Romance
สวี่เสียนเฟยเอ่ยหยามเหยียด “ซั่งกวนเยี่ยน เจ้าคิดว่าตัวเองยังเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋องเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ หรือ? ตั้งแต่วันที่เจ้าแต่งงานใหม่ เจ้าก็ไม่ได้เป็นคนของราชวงศ์อีกแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้ายอมทำตามแต่โดยดี อย่าต้องให้ใช้กำลังบังคับจะดีกว่า เรื่องที่เจ้าบุกรุกตำหนักเสียนฝู ข้าอาจจะไม่ถือสา ทว่าสตรีผู้นั้นเจ้าจะเอาไปไม่ได้!”
ซั่งกวนเยี่ยนจับมืออวี๋หวั่น “แล้วหากข้าจะพานางไปเล่า?”
มุมปากของสวี่เสียนเฟยกระตุก “เช่นนั้นข้าก็ต้องจับเจ้าไปด้วย”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ ก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งจากด้านนอกห้องโถง “ฮ่องเต้เสด็จ——”
คิ้วของสวี่เสียนเฟยกระตุก โมงยามเช่นนี้ เหตุใดฮ่องเต้จึงเสด็จมา?
นางหันมองซั่งกวนเยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง ซั่งกวนเยี่ยนยิ้มให้นางอย่างมีชัย นางแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซั่งกวนเยี่ยนเป็นคนเชิญฮ่องเต้มา! น่าเสียดายนักที่สตรีผู้นี้มิได้แต่งเข้าวังหลัง!
สวี่เสียนเฟยและซั่งกวนเยี่ยนไปต้อนรับฮ่องเต้ด้วยตนเองที่ห้องโถงใหญ่ อวี๋หวั่นถูกทิ้งไว้ในห้องด้านข้างกับองครักษ์ของซั่งกวนเยี่ยนที่อยู่ล้อมรอบเธอ และจ้องมองยอดฝีมือแห่งตำหนักเสียนฝูดังเช่นพญาเสือเฝ้าตะครุบเหยื่อ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญ” สวี่เสียนเฟยยิ้มอ่อนโยน ถวายบังคมอย่างนุ่มนวล
ซั่งกวนเยี่ยนก็ก้าวไปข้างหน้าและถวายบังคม “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของฮ่องเต้ “ฮูหยินเซียวก็มาที่นี่ด้วยหรือ?”
สวี่เสียนเฟยกำลังจะอ้าปากฟ้องเรื่องนาง ซั่งกวนเยี่ยนก็ชิงเอ่ยก่อน “ใช่แล้ว ใช่แล้วเพคะ พระสนมเชิญหม่อมฉันมาเพคะ!”
สวี่เสียนเฟยตกตะลึง ข้าไปชวนเจ้าเมื่อใดกัน?
ในขณะที่นางพยายามจะอธิบาย ฮ่องเต้ก็เอ่ยอีกครั้ง “เจ้าเรียกข้ามา แล้วก็ยังเรียกฮูหยินเซียวมาอีก มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือ?”
“แน่นอนเพคะ! พระสนมได้เชิญนักปรุงอาหารผู้มากฝีมือในหมู่ประชาชนมา หวังจะทำอาหารเลิศรสให้พระองค์เสวยเพคะ!” ปากของซั่งกวนเยี่ยนเร็วจนสวี่เสียนเฟยไม่อาจหาช่องแทรกได้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้มองสวี่เสียนเฟยด้วยดวงตาอ่อนโยน “ตั้งแต่ข้าหายจากอาการป่วย ความอยากอาหารของข้าก็ยังไม่ดีนัก สนมรักของข้าก็ยังใส่ใจ”
ยามนี้จะกล่าวว่าไม่ได้เชิญพ่อครัวมาเพราะฮ่องเต้ก็เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว สวี่เสียนเฟยต้องกล้ำกลืนความเสียหายอย่างไม่อาจเอ่ยสิ่งใด
“พระสนม ฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว บอกให้พ่อครัวเตรียมอาหารเย็นได้แล้วกระมัง” ซั่งกวนเยี่ยนยิ้มพร้อมเอ่ยกับสวี่เสียนเฟยจนจบโดยไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูด ก่อนจะเอ่ยกับฮ่องเต้ต่อ “ฝ่าบาทอาจยังมิทราบ พ่อครัวที่พระสนมเชิญมาเป็นคนของหอจุ้ยเซียนที่เอาชนะหอเทียนเซียงในงานแข่งขันปรุงอาหารระดับเทพ พวกเขามีแม่ครัวหญิงผู้หนึ่ง ทักษะการทำอาหารของนางยอดเยี่ยม ผู้คนต่างก็เรียกนางว่าแม่นางตู้คนที่สอง!”
“จริงรึ?” ฮ่องเต้ก็เคยได้ยินเรื่องแม่นางตู้ ทว่าไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติฝีมือของนาง “รีบนำอาหารมาเถิด ข้าหิวแล้ว”
…
กล่าวกันว่านายท่านฉินถูกขันทีอู๋กักตัวให้อยู่ในห้องครัวเล็กๆ แม้แต่แมลงวันก็ยังออกไปไม้ได้ นายท่านฉินกระวนกระวาย จนเกือบคิดว่าจะทำให้ขันทีอู๋เป็นลมด้วยไม้นวดแป้ง ทว่าโชคดีที่อวี๋หวั่นปรากฏตัวได้ทันเวลา
“แม่นางอวี๋?” ขันทีอู๋ผงะ
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ฮ่องเต้บอกให้ข้ามาทำอาหาร ข้าขอเข้าไปได้ไหม?”
ขันทีอู๋ตกตะลึง “แน่…แน่นอน”
อวี๋หวั่นจึงเดินเข้าไปในห้องครัวเล็กๆ
นายท่านฉินดึงเธอไปที่มุม และกวาดสายตาสำรวจมองเธอขึ้นลง
“ข้าไม่ได้บาดเจ็บ” แค่ว่าคุกเข่านานแล้วก็เจ็บนิดหน่อย
นายท่านฉินลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกและถามว่า “เกิดอันใดขึ้น? สนมเซียนเซียนบอกอะไรเจ้า? เหตุใดนางจึงกักขังเจ้าไว้นานเพียงนี้?”
อวี๋หวั่นตอบไปว่า “เรื่องมันยาว”
นายท่านฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นางเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับองค์ชายรองแล้วก็มาโทษเจ้ารึ?”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า
“เรื่องนี้เป็นความผิดข้า!” นายท่านฉินตบตัวเอง
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างใจเย็น “สวี่เสียนเฟยเรียกพบข้า ท่านขัดไม่ได้หรอก อย่าได้ตำหนิตัวเองเลย”
ถึงจะกล่าวเช่นนั้น นายท่านฉินก็ยังคงโทษตัวเองอยู่มาก ถึงแม้อวี๋หวั่นจะไม่เป็นไร ทว่าหากมันเกิดขึ้นเล่า เขากลัวว่าจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
เมื่อนึกขึ้นได้ นายท่านฉินจึงกล่าวว่า “จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าฮ่องเต้เสด็จมา มันเรื่องอันใดกัน?”
อวี๋หวั่นเดินไปที่เตาและเปิดโถที่มีเต้าหู้เหม็น “ขากลับข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง ตอนนี้ทำอาหารกันก่อนเถิด อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอ”
…
ณ ห้องโถงใหญ่ ฮ่องเต้นั่งลงพร้อมกับสวี่เสียนเฟยและซั่งกวนเยี่ยน
สวี่เสียนเฟยต้องกล้ำกลืนความผิดพลาดอย่างไม่เต็มใจ นางย่อมไม่ปล่อยให้ซั่งกวนเยี่ยนปล่อยคนของตนไปโดยไร้ประโยชน์ นางมองไปยังฮ่องเต้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อฮ่องเต้ทรงอยากลิ้มรสชาติฝีมือของแม่นางตู้น้อย เช่นนั้นวันนี้ก็ให้นางทำอาหารทั้งหมดเถิด”
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าสิ่งที่ฮ่องเต้สนใจจริงๆ คือความปรารถนาของสวี่เสียนเฟย เขาจึงตอบตกลงทันที
สวี่เสียนเฟยหลุบตามองต่ำ และใช้ฝาถ้วยหมุนใบชาที่ลอยอยู่ด้านใน สาวชาวบ้านผู้หนึ่ง นางไม่เชื่อว่าฝีมือการทำอาหารของนางจะดีสักเท่าไร! หากฮ่องเต้ไม่ค่อยเสวย ก็จัดการนางได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และยังไม่ต้องทำให้มือตนเองต้องสกปรกแปดเปื้อนด้วย
ทันทีที่นายท่านฉินได้ยินว่าอวี๋หวั่นต้องเป็นแม่ครัวใหญ่ ขาของเขาก็อ่อนแรงลงทันที แม่นางอวี๋ทำเต้าหู้เหม็นได้ดี ทว่าอาหารอื่นๆ…นับว่าเป็นหายนะเลยล่ะ…หากทำให้ฮ่องเต้อาเจียนจะทำเช่นไร? จะไม่ตัดศีรษะพวกเขาด้วยความโกรธหรือ?
“ข้า ข้า ข้า…ข้าคิดว่าเรามาจัดเลี้ยงเต้าหู้เหม็นกันเถอะ เต้าหู้เหม็นทอด เต้าหู้เหม็นต้ม เต้าหู้เหม็นนึ่ง…”
นายท่านฉินนับนิ้วได้ครึ่งทาง อวี๋หวั่นก็เดินออกไปพร้อมตะกร้า
ท่าทีของนายท่านฉินเปลี่ยนไป “เจ้า เจ้าจะทำอะไร?”
อวี๋หวั่นเอ่ย “เลือกผัก”
เจ้ายังกล้าหยิบมันจริงๆ!
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมาอาหารจานแรกก็ถูกนำถวาย เป็นเต้าหู้เหม็นที่มีไส้สามชนิด อย่างแรกคือน้ำปรุงเต้าหู้ยี้ อย่างที่สองเป็นหัวผักกาดดองหั่นเต๋าของลุงใหญ่ และอย่างที่สามคือหน่อไม้ดองหั่นเต๋าของอวี๋หวั่น
กลิ่นเหม็นรุนแรงทั้งสามผสมผสานเข้าด้วยกัน ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องโถง ทันทีที่นำจานเข้ามา ฮ่องเต้ก็แทบจะอาเจียน!
สวี่เสียนเฟยปิดจมูกด้วยความรังเกียจ “นี่มันคืออันใดกัน?”
มีเพียงซั่งกวนเยี่ยนที่น้ำลายสอ นางอยากกินตั้งแต่อยู่ที่จวนสกุลเว่ยแล้ว ทว่าถูกสาวใช้ตัวน้อยป้องกันอย่างแน่นหนา ในวันนี้นางเอาตัวเองมาอยู่ในตำหนักได้อย่างชาญฉลาดยิ่งนัก!
ซั่งกวนเยี่ยนยัดเต้าหู้เหม็นเข้าปากโดยไม่เสียเวลาพูดพร่ำ ชิ้นนี้เป็นไส้หน่อไม้ดอง ผิวเต้าหู้กรอบเสียจนกัดแล้วมีเสียง ทว่าใจกลางเต้าหู้ยังนุ่มพอจะดูดเข้าไป หน่อไม้ดองสัมผัสเย็น ทั้งเหม็นและเย็น ยิ่งประกอบกับกลิ่นของเต้าหู้เหม็น กัดไปเพียงหนึ่งคำ รูจมูกก็มีกลิ่นเหม็น!
หลังจากซั่งกวนเยี่ยนทานอย่างสะอาดหมดจด นางก็คิดได้ว่าฮ่องเต้ยังไม่แม้แต่ขยับตะเกียบ นางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฝ่าบาท ไม่มีพิษเพคะ!”
ขันทีน้อยที่ชิมอาหาร : เห็นได้ชัดว่าเจ้าบังคับตัวเองไม่ได้…
เต้าหู้เหม็นรสชาติดีจริงๆ ทว่าน่าเสียดายที่ฮ่องเต้ไม่โปรดปราน
ไม่โปรดปรานก็ถูกแล้ว แม้ว่านางจะชอบมันมาก สวี่เสียนเฟยก็วางตะเกียบลงอย่างไม่เต็มใจ การจัดการกับหญิงผู้นั้นย่อมสำคัญกว่าความอยากอาหาร
“หาได้คู่ควรกับฉายา!” ฮ่องเต้วางตะเกียบลงเบาๆ
ฝีมือการทำอาหารที่ยากที่สุดของอวี๋หวั่นคือเต้าหู้เหม็นและหน่อไม้ดอง ทั้งสองอย่างนี้ไม่อาจทำให้ฮ่องเต้ประทับใจได้ และหลังจากนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก เมื่อนำอาหารสองสามอย่างถัดไปขึ้นทูลถวาย ฮ่องเต้ก็คงไม่สนใจจะลิ้มลองอีกแล้ว
เมื่อขันทีน้อยลองชิมอาหาร ก็พลันยกมือทาบอก
เมื่อสวี่เสียนเฟยเห็นท่าทีใคร่จะอาเจียนเช่นนั้นก็ดีใจมาก จึงรีบหยิบตะเกียบคีบใส่ลงในชามของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระองค์ลองดูสักหน่อยเถิด”
สิ่งนี้เป็นขนมอบที่ไม่รู้ว่าทำมาจากส่วนผสมอะไร มีเนื้อหยาบ อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นของดิน
“ฝ่าบาท” สวี่เสียนเฟยมองฮ่องเต้อย่างคาดหวัง
ฮ่องเต้ไม่อาจฉีกหน้านางได้ จึงทนกัดหนึ่งคำ หลังจากนั้น ท้องของเขาก็วูบวาบ!
เมื่อขันทีวังเห็นท่าไม่ดี จึงรีบนำกระโถนมา!
ซั่งกวนเยี่ยนก็ชิมหนึ่งคำเช่นกัน โอ้แม่เจ้า อยากจะตัดหัว!
สวี่เสียนเฟยมีความสุขยิ่งนัก
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ไม่อาเจียนออกมา เขากลั้นไว้ได้
ฮ่องเต้โบกมือให้ขันทีวังถอยห่างออกไป
วินาทีต่อมา สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ฮ่องเต้หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบขนมอบที่เกือบจะอาเจียนออกมาเมื่อครู่ กัดกินคำแล้วคำเล่า
“ฝ่า…ฝ่าบาท?” สวี่เสียนเฟยไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่คือผลของอวี๋เฉียน[1]” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างสะอึกสะอื้น “ตอนที่ข้าอยู่ที่ตำหนักเย็น ข้ามักจะหิวโหย ในตำหนักเย็นมีต้นอวี๋เฉียนอยู่ต้นหนึ่ง มารดาข้าก็หยิบใบอวี๋เฉียนมาทำขนมอวี๋เฉียนให้ข้าและน้องหกกิน”
ทว่าทักษะการทำอาหารของไทเฮายังไม่ดี นางเป็นบุตรสาวของครอบครัวที่มั่งมี จะเข้าใจทักษะทำอาหารได้อย่างไร? สิ่งที่ทำออกมามักจะต้องกล้ำกลืนกินอย่างฝืนทน
ฮ่องเต้น้ำตาไหลอาบหน้า “ขนมอวี๋เฉียนของท่านแม่…ก็รสชาติเช่นนี้”
…………………………………………………….
[1] อวี๋เฉียน คือ ผลของต้นเอล์ม