หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 54.1 หวั่นหวั่นได้ตำแหน่ง รักกับพี่จิ่ว (1)

บทที่ 54 หวั่นหวั่นได้ตำแหน่ง รักกับพี่จิ่ว (1)
โดย
Ink Stone_Romance

 

อาหารที่กลืนลงคออย่างยากลำบากบนโต๊ะอาหาร ถูกฮ่องเต้กวาดลงท้องจนไม่เหลือแม้แต่น้ำแกงก้นถ้วย
สวี่เสียนเฟยตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มิน่าล่ะ ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยบรรดาพ่อครัวชาววังยิ่งนัก อาหารแต่ละอย่างไม่อาจทำให้รสชาติเหมือนฝืมือไทเฮาได้ นางก็คิดว่าไทเฮาคงมีฝีมือปรุงอาหารระดับเทพเซียน ที่แท้กลับ…มีรสชาติเหมือนอาหารหมูเช่นนี้น่ะรึ?!
สวี่เสียนเฟยไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดดี
ในยามนี้ไม่อาจเอ่ยว่ามันไม่อร่อย มิเช่นนั้นอาหารที่ไทเฮาทำก็คงไม่อร่อยยิ่งกว่า แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม
สวี่เสียนเฟยไม่ได้บอกเรื่องที่อวี๋หวั่นเป็นบุตรสาวของอวี๋เซ่าชิง พระทัยฝ่าบาทยากคาดเดา เห็นฝ่าบาทประทับใจเช่นนี้ ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะละเว้นโทษประหารให้กับอวี๋เซ่าชิง เพราะแรงกระตุ้นจากความพึงใจนี้หรือไม่?
แม้การละเว้นโทษอวี๋เซ่าชิงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสวี่เสียนเฟย แต่เหตุใดนางต้องลำบากทำแทนสตรีผู้นี้ด้วย?
ซั่งกวนเยี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน เพราะนางมาที่นี่เพื่อทานอาหาร และนางก็ไม่รู้จักอวี๋หวั่น หากรู้เรื่องของอวี๋หวั่นมากไป ก็ยิ่งทำให้คนรู้ว่านางมีแรงจูงใจอื่นแอบแฝง
หลังจากนั้น อวี๋หวั่นก็ทำเครื่องเคียงมาอีกหลายอย่าง เช่น เครื่องในแกะผัดพริกหยวก ไข่เจียวกุยช่าย มะเขือต้ม ยำถั่วงอก ทว่าท้องของฮ่องเต้แน่นจนไม่เหลือพื้นที่ให้ยัดสิ่งใดลงไปได้อีก ด้วยน้ำพระทัยอันกว้างขวาง ฝ่าบาทจึงมอบอาหารที่เหลือให้กับชาววังของตำหนักเสียนฝู
ชาววังต่างร้องห่มร้องไห้ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
ฮ่องเต้รู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังร้องไห้จริงๆ ไม่ได้แสร้งทำดังเช่นที่ผ่านมา พวกเขาคงเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ทรมานที่ตัวเขากับไทเฮาได้รับในอดีต
ชาววังผู้ร้องไห้น้ำตาดังสายฝน : ฝ่าบาทท่านคิดไกลเกินไปแล้ว พวกเราร้องไห้เพราะอาหารตรงหน้าเท่านั้นจริงๆ…
ฮ่องเต้จับมือสวี่เสียนเฟย “เสียนเฟยช่างเห็นอกเห็นใจข้า”
สวี่เสียนเฟยได้ยินคำนี้จากปากของฮ่องเต้เป็นครั้งที่สอง เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกหนักแน่นกว่าครั้งแรกนัก ทว่าสวี่เสียนเฟยก็ดีใจไม่ออก นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ ยิ่งฮ่องเต้ชื่นชมนางเท่าไหร่ นางก็ยิ่งเจ็บช้ำใจมากเท่านั้น
ฮ่องเต้มีความสุขกับการเสวยพระกระยาหาร ย่อมต้องตบรางวัลให้ พระองค์มอบรางวัลให้อวี๋หวั่นด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังหยิบพู่กันและเขียนว่า ‘แม่ครัวมือหนึ่งในใต้หล้า’ ด้วยพระองค์เอง
สวี่เสียนเฟยแทบจะระเบิด ฝีมือการทำอาหารที่รสชาติเหมือนอาหารหมูนั่นน่ะหรือ ที่คู่ควรกับ ‘แม่ครัวมือหนึ่งในใต้หล้า’?!
ข่าวแพร่สะพัดไปถึงห้องครัวเล็กๆ
อวี๋หวั่น “ข้ารู้ว่าข้าเป็นม้าพันลี้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าได้พบกับป๋อเล่อ[1]ของตนเอง”
นายท่านฉิน “???”

เรื่องที่จู่ๆ พ่อครัวของหอจุ้ยเซียนก็ได้รับการชื่นชมจากฮ่องเต้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง ฮ่องเต้ได้ยกความดีความชอบให้กับสวี่เสียนเฟย ตกเย็น เหล่าบรรดานางสนมน้อยใหญ่ต่างพากันมาแสดงความยินดีกับสวี่เสียนเฟยที่ตำหนักเสียนฝู สวี่เสียนเฟยรู้สึกขุ่นเคืองแทบสิ้นใจ
ฮ่องเต้ยกความดีความชอบให้นางแล้วมีประโยชน์อันใด? นางไม่อาจขยับแม้แต่ผมเส้นเดียวของสตรีผู้นั้นได้เลยหรือ? นางทำอาหารรสชาติฝีมือไทเฮาได้ หากวันใดฮ่องเต้ทรงคะนึงหาพระมารดาของพระองค์ ก็คงจะทรงเรียกตัวนางมาเข้าวังเพื่อทำอาหารให้อีก…
เพียงคิดถึงเรื่องนี้ สวี่เสียนเฟยก็รู้สึกโกรธแค้นดังไฟสุมทรวง นางไม่น่าเรียกนางหญิงผู้นั้นมาเข้าวังเลย
“พระสนม ทรงพักให้พระทัยเย็นหน่อยเพคะ” มามาผู้ดูแลยื่นชามกุยหลิงกาว[2]ให้นาง
สวี่เสียนเฟยหยิบชามมา ใช้ช้อนตักพลางเอ่ยเสียงเย็นชา “นางกำลังเลียนแบบข้ารึ?”
ในยามนั้น เพราะสวี่เสียนเฟยถูกคนเหยียบย่ำ จึงได้พบกับจุดเปลี่ยนของชีวิต ทุกอย่างเป็นเพราะนางเข้าตาจนจึงต้องยอมเสี่ยงปลูกผักในวังหลังตามอย่างไทเฮา หลังจากนั้น ก็มีคนมากมายคิดจะทำตาม ทว่าเรื่องเช่นนี้ มีได้เพียงครั้งเดียว เมื่อฮ่องเต้ทรงเห็นการกระทำเช่นนี้มากเข้า ก็ไม่ได้รู้สึกสนพระทัยอีก
ครั้นเมื่อลี่เฟยหมดความโปรดปราน นางจึงพยายามทำขนมอวี๋เฉียน ทว่าแทนที่จะสร้างความประทับใจให้กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้กลับยิ่งรู้สึกรังเกียจ
สวี่เสียนเฟยทราบดีว่าคำกล่าวหาของนางไม่อาจใช้ได้ และอวี๋หวั่นก็ไม่เคยลิ้มรสอาหารของไทเฮามาก่อน จะมีเจตนาเลียนแบบรสชาติของไทเฮาได้อย่างไร ไม่มีอย่างอื่นนอกจากประสงค์ของสวรรค์
“เมื่อรู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถทำให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยได้มากถึงเพียงนี้ ข้าก็…”
วาจาหลังจากนั้น สวี่เสียนเฟยไม่ได้เอ่ยต่อ
เมื่อเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ ครั้นจะเอ่ยสิ่งใดอีกก็สายเกินไปเสียแล้ว
ตกกลางคืน อวี๋หวั่นกับชั่งกวนเยี่ยนก็เดินทางออกจากวังหลวงไปพร้อมกัน นายท่านฉินที่รู้จักความเหมาะสมจึงไม่เข้าไปรบกวนพวกนาง และเดินอยู่ด้านหลังกับพ่อครัวอีกสองคน หลังจากคนทั้งสองขึ้นรถม้า เขาและพ่อครัวจึงค่อยขึ้นรถม้าของตนเองกลับหอจุ้ยเซียน
รถม้าของซั่งกวนเยี่ยนหรูหรางามประณีตพอๆ กับอาภรณ์ที่นางสวมใส่ อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเธอไม่ได้นั่งรถม้า ทว่าเป็นพาหนะของเหล่าเทพเซียน
ภายในรถม้าค่อนข้างเงียบ
“เรื่องวันนี้ ต้องขอบคุณพระชายาแล้ว” อวี๋หวั่นกล่าวขอบคุณนาง แม้ว่าชั่งกวนเยี่ยนจะแต่งงานใหม่กับสกุลเซียวไปแล้ว ทว่าเธอได้ยินว่าลุงวั่นเรียกนางเช่นนั้น เธอจึงเรียกตาม
ชั่งกวนเยี่ยนมิได้ยินดียินร้ายกับคำเรียกนั้น ชั่งกวนเยี่ยนจำได้ดีว่าดรุณีผู้นี้เคยฉีกหน้านาง นางให้สตรีผู้นี้พาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์สกุลเซียว ทว่านางกลับฟังเด็กๆ และพาพวกเขาไปยังจวนคุณชายแทน
นางผูกพยาบาทยิ่งนัก!
ซั่งกวนเยี่ยนฮึดฮัด ไร้ซึ่งความรักและเมตตาต่อเธอ ต่างจากตอนอยู่ต่อหน้าสวี่เสียนเฟย พร้อมกับกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าหาได้ทำเพื่อเจ้า!”
อวี๋หวั่นกล่าวเบาๆ “ไม่ว่าอย่างไร พระชายาก็ต้องทำให้สวี่เสียนเฟยขุ่นเคือง เพราะข้า…”
ซั่งกวนเยี่ยนกล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ข้ายังต้องทำให้นางขุ่นเคืองอีกหรือ?”
ใช่ เธอลืมไปได้อย่างไรว่าชื่อเสียงของซั่งกวนเยี่ยนในเมืองหลวงเลวร้ายยิ่งกว่าเยี่ยนจิ่วเฉา สตรีทั่วเมืองหลวงต่างเกลียดชังซั่งกวนเยี่ยน แม้ว่าซั่งกวนเยี่ยนจะไม่ทำอะไร ก็เป็นเหมือนหนามยอกอกของสตรีเหล่านั้นอยู่แล้ว สวี่เสียนเฟยก็ยังไม่เว้น
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าส่วนใหญ่มาจากความริษยา
ริษยาชาติกำเนิดของชั่งกวนเยี่ยน ริษยารูปลักษณ์ของชั่งกวนเยี่ยน และที่ริษยาไปกว่านั้น ก็คือการแต่งงานของชั่งกวนเยี่ยน นางเป็นเครื่องเก็บเกี่ยวเหล่าเทพบุตรในยุคโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนอ๋องหรือเซียวเจิ้งถิง ต่างก็รักนางสุดหัวใจ นี่คือสิ่งที่สตรีทั่วหล้าต่างเกลียดนางมากที่สุดแล้วกระมัง
ซั่งกวนเยี่ยนมองอวี๋หวั่นที่กำลังลังเลจะเอ่ยบางสิ่งบางอย่าง “เอาละ ไม่ต้องมาประจบสอพลอข้าแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการจะช่วยเจ้า! เจ้าไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเอง!”
อวี๋หวั่น “อ้อ”
อ้อ? ท่าทีเช่นนี้มันอะไรกัน!
ซั่งกวนเยี่ยนขมวดคิ้วหันมามองเธอ ที่ผ่านมานางปฏิบัติตัวอย่างดี พอนางทำท่าทางน่ากลัวเช่นนี้ กลับดูน่ารักราวกับเด็กผู้หญิง “เหตุใดเจ้าไม่ถามข้า ว่าข้าไปช่วยเจ้าทำไม?”
“แล้วเพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นกล่าวอ่อนโยน
ซั่งกวนเยี่ยนรู้สึกเหมือนชกไปบนนุ่น นางยิ่งรู้สึกรำคาญ ทั้งที่นางดุเช่นนี้ สตรีผู้นี้ควรจะกลัว กระสับกระส่าย และวิตกกังวลไม่ใช่หรือ?!
“พระชายา?” อวี๋หวั่นจ้องซั่งกวนเยี่ยนตาแป๋ว
ซั่งกวนเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อสายตาของเธอ จึงรีบหันหน้าไปมองความมืดด้านนอกหน้าต่าง พลางเอ่ยว่า “เจ้าเด็กนั่นขอร้องอ้อนวอนให้ข้ามาดูแลเจ้า”
เป็นเวลาหลายปีที่นางไม่ได้ดูแลลูกชายของนาง จู่ๆ ก็มาหานางถึงหน้าประตู และบอกว่าตนกำลังจะออกจากเมือง มีคนโง่ตัวน้อยที่เขาไม่อาจวางใจ กลัวจะถูกใครรังแก จึงขอให้มารดาอย่างตนมาช่วยดูแล
นางรู้สึกปวดร้าวระบมใจ และไม่อาจเพิกเฉยได้ ผ่านมานานหลายปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่บุตรชายมา ‘ขอร้อง’ นาง
อวี๋หวั่นตระหนักได้ว่าเด็กที่นางเอ่ยถึงก็คือเยี่ยนจิ่วเฉา หัวใจของเธอก็พลันรู้สึกราวกับถูกลูบด้วยอะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
“ทว่า…ข้าส่งข่าวให้พระชายาไม่ทัน พระชายาทราบได้อย่างไรว่าข้าถูกสวี่เสียนเฟยกักตัวไว้? พระชายาไปที่หอจุ้ยเซียนเพื่อทานเต้าหู้เหม็นมาหรือ?”
ดวงตาของซั่งกวนเยี่ยนเป็นประกาย นางยืดตัวขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร! ของเช่นนั้นไม่อาจนำขึ้นโต๊ะอาหาร พระชายาเช่นข้าจะวิ่งไปไกลถึงที่นั่นเพื่อกินมันรึ? ข้า…ข้ามีสายอยู่ในวังหลวง!”
อวี๋หวั่น “โอ้ ทว่าวันนี้ข้าได้ยินมาว่า ท่านกินเต้าหู้เหม็นเยอะที่สุดนะเจ้าคะ”
ซั่งกวนเยี่ยนวางท่าใหญ่โต “ข้าต้องทำให้ฝ่าบาทเห็น! เพราะเป็นของเหม็นๆ จึงส่งมาให้ข้า ข้าไม่ได้ต้องการเลยสักนิด!”
“…เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นหยิบโถเต้าหู้เหม็นออกมาจากห่อผ้าของเธอ แล้วก็ใส่มันกลับลงไปดังเดิมเงียบๆ
ซั่งกวนเยี่ยนกัดผ้าเช็ดหน้าด้วยความข่มขื่น “…”
ฮือ~

วังหลวงไม่อาจปิดข่าว เหตุการณ์สะเทือนไปทั่วหล้าเช่นนี้ เกือบในทันทีที่พวกอวี๋หวั่นออกจากวังหลวง เรื่องที่พ่อครัวเทพของหอจุ้ยเซียนทำอาหารให้ฮ่องเต้เสวยจนน้ำพระเนตรไหลก็แพร่สะพัดออกไปถึงที่ประทับขององค์ชายรอง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพ่อของข้า?” เยี่ยนไหวจิ่งวางพู่กันลงและมองไปที่ขันทีที่ตนกำลังถามหาคำตอบ
ขันทีกล่าวว่า “ตอบองค์ชายรอง ฝ่าบาททรงหลั่งน้ำพระเนตร ฝ่าบาทเอ่ยว่า รสชาติเหมือนกับอาหารที่พระมารดาทำขณะยังมีพระชนม์ชีพอยู่”
เยี่ยนไหวจิ่งมีพระอัยยิกาถึงสองพระองค์ คนแรกคือเซิ่งเต๋อไทเฮา เป็นพระมารดาของฮ่องเต้และเยี่ยนอ๋อง อีกคนคือเซิ่งฉือไทเฮา จี้ฮองเฮา[3]ของฮ่องเต้องค์ก่อน
ในตอนนั้นเซิ่งเต๋อไทเฮาถูกปลดและต้องไปอยู่ตำหนักเย็น แม้ว่านางจะได้ออกมาหลังจากนั้น ทว่าฮ่องเต้องค์ก่อนก็ได้แต่งตั้งจี้ฮองเฮาไปแล้ว จี้ฮองเฮาไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรง จึงไม่มีเหตุผลให้ปลดจี้ฮองเฮาหรือเปลี่ยนตำแหน่งของนางอีก
เซิ่งเต๋อไทเฮาถูกปลดเป็นสนมเต๋อเฟย จนกระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ และพระโอรสองค์โตขึ้นครองราชย์ จึงแต่งตั้งให้นางและจี้ฮองเฮาเป็นไทเฮาทั้งคู่
เซิ่งเต๋อไทเฮาสิ้นพระชนม์ไปก่อน จากนั้นสามปีต่อมาก็เป็นคราวของเซิ่งฉือไทเฮา ไม่น่าแปลกใจที่สวี่เสียนเฟยไม่เชื่อข้ออ้างของเยี่ยนไหวจิ่ง ที่ไม่ยอมอภิเษกเพราะไว้ทุกข์ให้กับเซิ่งฉือไทเฮาเป็นเวลาสามปี
เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับไทเฮา สิ่งที่เขาจำได้มากที่สุดคือนางมักจะกอดเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี เขาหกล้มร้องไห้ ไทเฮาก็มิได้สนพระทัย ทว่าเพียงเยี่ยนจิ่วเฉาทำฮึดฮัดนิดหน่อย ไทเฮาก็ทรงกังวลใจจนต้องตำหนิคนในวัง
…………………………….
[1] ป๋อเล่อ 伯乐  คำเรียกคนคัดสรรม้าศึกในสมัยโบราณ มาจากสุภาษิต 伯乐相马 ที่มีความหมายว่า รู้จักและสามารถค้นหา สืบเสาะ พิเคราะห์แยกแยะ คนเก่ง คนดี คนมีความสามารถ
[2] กุยหลิงกาว 龟苓膏 ในอดีตเป็นอาหารว่างสำหรับฮ่องเต้ หน้าตาคล้ายกับเฉาก๊วย ทำจากสมุนไพรจีน
[3] จี้ฮองเฮา หมายถึง ฮองเฮาที่มารับตำแหน่งต่อ ศักดิ์อาจไม่ได้สูงเท่าฮองเฮาองค์แรก

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset