บทที่ 55 ค้นพบความจริง (1)
โดย
Ink Stone_Romance
คฤหาสน์ใหญ่สกุลสวี่
อาการบาดเจ็บของสวี่เฉิงเซวียนหายเป็นปกติ ในช่วงที่พักฟื้น เขานอนจนตัวหมัดแทบขึ้น และในที่สุดก็กลับมาเดินได้อีกครั้ง เขาจึงไปที่เรือนของบิดาในทันที
“ท่านพ่อของข้าเล่า?” สวี่เฉิงเซวียนไม่เห็นสวี่ส้าวอยู่ในห้อง
ชายที่ทำความสะอาดห้องกล่าวว่า “ตอบคุณชายสวี่ นายท่านไปห้องตำราแล้วขอรับ”
“ห้องตำรารึ” สวี่เฉิงเซวียนหันตัวออกจากประตู และเร่งไปที่ยังห้องตำรา
ทว่ากลับพบเพียงอากาศ ห้องตำราว่างเปล่า ไม่รู้ว่าสวี่ส้าวไปที่ใด
สวี่เฉิงเซวียนย่างเท้าเข้าไปในห้องตำราของสวี่ส้าว
ห้องตำรานี้ ถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญของบ้านสกุลสวี่ คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกได้ตามใจ แต่ใครให้สวี่เฉิงเซวียนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาเล่า? เขาเป็นที่รักของฮูหยินใหญ่และสวี่เสียนเฟย
สวี่เฉิงเซวียนนอนบนเตียงมาเป็นเวลานานแล้ว จึงไม่ชอบนั่ง เขาเดินไปรอบๆ ห้องตำรา พลันเหลือบไปเห็นกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งที่ถูกทับไว้ใต้ม้วนกระดาษบนโต๊ะทำงาน
“นี่มันอะไร?” เขาหยิบมันขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าเข้ามาทำอันใดในห้องตำราของข้า?”
ทันใดนั้น เสียงต่ำของสวี่ส้าวก็ดังขึ้นจากด้านหลัง สวี่เฉิงเซวียนสะดุ้งตกใจ หันกลับไปอย่างงวยงง
สวี่ส้าวเดินมาข้างหน้าเขา พลันหยิบกระดาษจดหมายในมือเขามาพับและวางกลับลงไปบนโต๊ะ
เมื่อเห็นว่าบิดาดูไม่สบอารมณ์ สวี่เฉิงเซวียนจึงรีบแก้ตัวนิ้วพันกันยุ่ง “ข้าสาบานได้ ข้าไม่เห็นอันใดทั้งนั้น!”
สวี่ส้าวมองเขาด้วยสายตาหนักแน่นจริงจัง “ไม่พักฟื้นอยู่ในห้อง วิ่งออกมาทำอันใด?”
สวี่เฉิงเซวียนยกมุมปาก “พักฟื้น พักฟื้น ให้ข้าพักฟื้นอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ข้าหายดีแล้ว!”
สวี่ส้าวหาได้สนใจ เขาเดินไปที่โต๊ะและวางกระดาษจดหมายที่พับแล้วไว้ในลิ้นชัก
สวี่เฉิงเซวียนเพ่งมองด้วยสีหน้านิ่งเฉย และเอ่ยอย่างปกติ “ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของข้าหายเป็นปกติแล้ว ข้าขอออกไปได้หรือไม่? ข้ามิได้ไปที่หอเทียนเซียงมานานแล้ว ข้าอยากไปเดินเล่น”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น สวี่ส้าวก็เอ่ยใส่หน้าเขา “เจ้ายังมีหน้าจะออกไปข้างนอกอีกรึ? เจ้ารู้ไหมว่าหอเทียนเซียงสูญเสียไปมากเพียงใดเพราะเจ้า?”
สวี่เฉิงเซวียนเถียงไม่ออก ที่หอเทียนเซียงต้องโชคร้าย เพราะเขาปกป้องพ่อครัวหยาง เขายอมรับว่ามันเป็นความผิดของเขา เขาไม่คิดว่าผู้ที่หนุนหลังคนสกุลอวี๋จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ถึงกระทั่งมีความสัมพันธ์กับจวนคุณชาย หากเขารู้แต่แรก ก็คงจะผลักพ่อครัวหยางออกไปให้สกุลอวี๋จัดการแล้ว
ทว่าเขาก็ไม่คิดว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเขา
อย่างน้อยการพ่ายแพ้ต่อหอจุ้ยเซียนในการแข่งขันปรุงอาหารระดับเทพก็ไม่ใช่ปัญหาของเขา
เขาพึมพำ “ข้าบอกแล้วว่าไม่ควรมาที่เมืองหลวง อยู่ที่สวี่โจวก็มีความสุขมากอยู่แล้ว แต่แล้วท่านก็มาที่นี่และก่อตั้งหอเทียนเซียง ข้าคิดว่าหอเทียนเซียงก็ทำเงินได้ไม่เท่าไร ยังไม่สู้เปิดเส้นทางเดินเรืออีกสายที่สวี่โจวด้วยซ้ำ!”
ชายฝั่งทะเลสวี่โจวมีธุรกิจทางทะเลอยู่ไม่น้อย การค้าในแต่ละรอบล้วนมีเม็ดเงินมหาศาล
สวี่ส้าวมองบุตรชายอย่างเย็นชา “ยามนี้เจ้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องครอบครัวแล้วหรือ? หากไม่มีอันใดทำ ก็กลับไปเรียนหนังสือที่เรือนเจ้า อย่าออกไปสร้างปัญหาให้มาก!”
“ข้าอยากพบท่านพี่” สวี่เฉิงเซวียนดื้อรั้นหัวชนฝา
“ยังจะเอ่ยอีกรึ?” สวี่ส้าวใช้วาจาคุกคาม
สวี่เฉิงเซวียนพยายามระงับความกลัวและยืดเอวขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าอยากเจอท่านพี่ชายของข้า!”
“เจ้า!” สวี่ส้าวเงื้อมือหมายจะตบ
“ฮูหยินใหญ่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
เสียงน้อมทักทายดังมาจากด้านนอกห้องตำรา
สวี่ส้าวจึงลดมือลง
สวี่เฉิงเซวียนรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ฮูหยินใหญ่สวี่เดินเข้ามาในห้องตำราพร้อมไม้เท้า “เซวียนเอ๋อร์!”
สวี่เฉิงเซวียนรีบซุกตัวเข้าในอ้อมแขนของฮูหยินใหญ่สวี่ และใช้วาจาออดอ้อน “ท่านย่า ข้าอยากไปหาท่านพี่ของข้า”
“แผลเจ้าหายดีแล้วรึ? ไม่มาคารวะย่าเลยนะ” ฮูหยินใหญ่สวี่โกรธเคือง
สวี่เฉิงเซวียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าจะไปคารวะท่านอยู่แล้ว ข้าแค่มาคุยกับท่านพ่อสักหน่อย ให้ข้าออกไปเถิด ข้าไม่ได้ไปบ้านท่านพี่มานานแล้ว!”
“เอาละ เอาละ เจ้าไปได้ เจ้าไปได้!” ฮูหยินใหญ่สวี่รักหลานชายของนางสุดหัวใจ เพียงแค่หน้าผากร้อน ก็ยอมตกลงทันที
ไม่ง่ายที่สวี่ส้าวจะโต้แย้ง เขาเฝ้าดูฮูหยินใหญ่สวี่พาสวี่เฉิงเซวียนออกไปด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
สวี่เฉิงเซวียนไปนั่งที่เรือนของฮูหยินใหญ่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเพื่อไปยังตำหนักองค์ชาย องค์ชายที่ถึงวัยผู้ใหญ่มักจะย้ายออกจากวังหลวง มีเพียงรัชทายาทเท่านั้นที่สามารถอยู่วังตำหนักตะวันออกได้ ใครๆ ต่างก็อิจฉาชีวิตนอกวังหลวง ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ออกจากวัง ทว่าเมื่อได้อยู่นอกวังจริงๆ ทุกคนต่างกระหายที่จะกลับวังหลวง เพราะเมื่อย้ายกลับไปได้ก็หมายความว่าพวกเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป และจะได้สืบทอดการปกครองในไม่ช้า
“รัชทายาทต้องเป็นของท่านพี่ของข้าเป็นแน่!”
สวี่เฉิงเซวียนกล่าวด้วยความมั่นใจ สองเท้ากระโดดลงจากรถม้า และเดินเข้าไปในตำหนัก
ในช่วงที่สวี่เฉิงเซวียนถูกกักบริเวณอยู่ในบ้าน เขาไม่ค่อยทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองนัก ได้ยินเพียง องค์ชายรองรับผิดชอบคดีความหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นคดีความของผู้ใด
“ท่านพี่!” สวี่เฉิงเซวียนเห็นเยี่ยนไหวจิ่งที่กำลังแข่งหมากล้อมกับจวินฉางอันในศาลา สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นอึมครึม “เหตุใดจึงวางหมากกับเขาเล่า? ทักษะของเขาย่ำแย่ยิ่งนัก!”
จวินฉางอันยิ้มจางๆ วางหมากสีดำในมือลง และลุกขึ้นมอบที่นั่งของตนให้สวี่เฉิงเซวียน
สวี่เฉิงเซวียนก็นั่งลงด้วยความเปรมปรี
“ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วรึ?” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
“หายดีแล้ว หายดีแล้ว! ขอบคุณท่านพี่ที่จำได้!” คุณชายน้อยสวี่ผู้ชั่วโฉดโหดเหี้ยม ต่อหน้าเยี่ยนไหวจิ่งกลับเป็นเพียงคุณชายแสนเชื่อง
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าท่านลุงของข้าล้มป่วย ข้ากำลังคุยว่าจะไปเยี่ยมเขาเมื่อไรอยู่พอดี” เดิมทีในช่วงบ่าย เขาได้เชิญสวี่ส้าวมาดื่มชา ทว่าสวี่ส้าวกลับส่งคนมาบอกว่ารู้สึกไม่สบายกะทันหัน และจะแวะมาเยี่ยมใหม่
สวี่เฉิงเซวียนไม่ทราบเรื่องนี้จึงเอ่ยอย่างงุนงง “ท่านพ่อของข้าไม่สบายรึ? ท่านได้ยินจากผู้ใด? เมื่อครู่ก็ยังดูสบายดี ช่วงบ่ายเขายังต้องไปตามนัดอีก!”
“ไปตามนัด?” มือที่ถือตัวหมากของเยี่ยนไหวจิ่งชะงักลง
จวินฉางอันเหลือบมองสวี่เฉิงเซวียน
เยี่ยนไหวจิ่งปรับให้น้ำเสียงปกติ “เจ้าจำผิดแล้วกระมัง?”
สวี่เฉิงเซวียนตบหน้าอกของเขาพลางเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้! ข้าเห็นจดหมายของเขา! ยามโหย่ว เนินไผ่ดำ วัดซีกวนเก่า ข้าจำไม่ผิดแน่!”
สวี่เฉิงเซวียนนั่งในตำหนักองค์ชายอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากทานมื้อค่ำจึงได้กลับไป
หลังเขาจากไป จวินฉางอันก็เดินเข้ามา “ฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่านายท่านสวี่โป้ปด เขามีนัดกับท่านอยู่แล้ว กลับเลื่อนนัดกะทันหัน ต้องการให้ข้าไปตรวจสอบรึไม่?”
เยี่ยนไหวจิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “…ไม่จำเป็น เขาเป็นลุงของข้า หากข้าตรวจสอบเขา จะให้เสด็จแม่วางตัวอย่างไร? หาใช่เรื่องใหญ่ ข้าจะดื่มชาวันใดก็ได้”
………………….
สวี่ส้าวออกจากห้องไป
วัดซีกวนเก่าเป็นวัดร้างที่ตั้งอยู่บนยอดเขาไผ่ดำ เมื่อขึ้นถึงยอดเขาแล้วเดินต่อไปทางเหนือ ก็จะถึงป่าไผ่ดำเขียวชอุ่ม
สถานที่แห่งนี้ร้างมานาน
สวี่ส้าวจอดรถม้าไว้ที่เชิงเขาไผ่ดำ และเดินเท้าต่อไปยังป่าไผ่ดำ
กลางป่า ผู้นัดพบสวมหมวกคลุมและรออยู่นานแล้ว
สวี่ส้าวมองเงาหลังรูปร่างอันเจิดจ้าก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เจ้าบอกหรือว่าเราไม่ควรพบกันเป็นการส่วนตัว?”
เมื่อได้ยินเสียงของเขา สตรีผู้นั้นก็ค่อยๆ หันตัวกลับมา และเปิดผ้าคลุมหมวก เผยให้เห็นใบหน้าที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงในความงดงงาม หากไม่ใช่เหยียนหรูอวี้แล้วจะเป็นผู้ใดเล่า?
…
“คุณชาย! ที่นี่ละ!”
อิ่งลิ่วกระโดดลงจากรถม้า เปิดม่าน และพยุงเยี่ยนจิ่วเฉาลงมา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่สบายมาตลอดทาง ทานยาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวหนา ซึ่งใช้ในฤดูหนาวที่รุนแรง ใบหน้าที่ซีดเซียวในตอนกลางคืน ยามนี้ยิ่งซีดลงอีกจนน่าตกใจ
อิ่งสือซันจอดรถม้าไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เดินไปเคาะประตู
แอด–
ประตูเปิดออก เด็กรับใช้คนหนึ่งเดินออกมา สายตาของเขากวาดมองผู้คนไปมา และเมื่อเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาก็ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
จะมีคนหน้าตาดีเช่นนี้มาที่ก้งเฉิงสักกี่ครา…
อิ่งสือซันขยับตัวไปด้านข้าง บดบังสายตาของเขาด้วยร่างกำยำ “นายท่านของเจ้าอยู่รึไม่?”
เด็กรับใช้ถูกคลื่นรังสีที่แผ่ออกจากอิ่งสือซันทำให้หวาดกลัว เขาพยักหน้าอย่างเหม่อลอย “อยู่ อยู่ เจ้า…เจ้าคือผู้ใด? มาหานายของข้ามีเรื่องอันใด?”
อิ่งลิ่วตอบ “ไปบอกนายของเจ้าว่า คุณชายหวังมาถึงแล้ว เขาจะเข้าใจ”
คุณชายหวังเป็นนามแฝงของอิ่งลิ่ว
เด็กรับใช้ไม่กล้าเมินเฉย ปิดประตูและรีบปรี่ไปหานายของเขา เพียงไม่นาน ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนก็ออกมากล่าวทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม “คุณชายหวัง? คุณชายหวังจริงๆ หรือ?”
…………………………………………………….