หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 55.2 ค้นพบความจริง (2)

บทที่ 55 ค้นพบความจริง (2)
โดย
Ink Stone_Romance

 

ชายวัยกลางคนผู้นี้มีแซ่เจิ้ง เคยเป็นพ่อค้ารายย่อย ทำธุรกิจเล็กๆ มีรายได้ไม่มากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอดอยาก บุตรชายของเขาได้ก่อคดีเมื่อต้นปี ถูกทางการจับเนรเทศไปเป็นกุลีอยู่ในเหมือง
เหมืองมีการป้องกันแน่นหนา มีจุดตรวจมากมาย การพาชายฉกรรจ์ออกมา เป็นเรื่องยากที่จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น
แต่อิ่งลิ่วบอกกับนายท่านเจิ้งว่าเขามีเพื่อนที่เชี่ยวชาญวิชาตัวเบา ขอเพียงนายท่านเจิ้งยินดีที่จะสารภาพความจริง ก็จะช่วยเขาพาบุตรชายออกมา
“คุณชายหวัง!” นายท่านเจิ้งราวกับได้เห็นผู้ชี้ทางสว่าง เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับจับมือของอิ่งลิ่ว จากนั้นเขาก็ได้เห็นคุณชายสูงศักดิ์ที่อยู่ข้างๆ อิ่งลิ่ว
อยู่มากระทั่งอายุเพียงนี้ พบปะผู้คนนับไม่ถ้วน เขาไม่เคยเห็นคุณชายรูปงามดั่งหยกเช่นนี้มาก่อน ทว่า…ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย และมีใบหน้าซีดเผือด
“คุณชายของข้า สกุล…ก็สกุล…” อิ่งลิ่วสมองพร่ามัว คิดชื่อสกุลอื่นไม่ออก จึงคิดจะใช้สกุลเดียวกับเขา และกำลังจะเอ่ยว่า ‘ก็สกุลหวัง’ เยี่ยนจิ่วเฉากลับเอ่ยเบาๆ ว่า “สกุลอวี๋”
อิ่งสือซันพ่นลมออกจากปาก
“คุณชายอวี๋ เชิญเข้ามาเร็วเถิด!” นายท่านเจิ้งทำท่าทางเชื้อเชิญ พลางมองไปที่อิ่งสือซันที่อยู่ด้านข้าง “ผู้นี้คือ…”
“พี่ชายของเสี่ยวหวัง” อิ่งสือซันกล่าวอย่างเอาเปรียบ
“ลำดับที่แปด” อิ่งลิ่วไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า
นายท่านเจิ้งผงะ หวัง…แปด[1]?

นายท่านเจิ้งเชิญพวกเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าไปพักในบ้าน หน่วยกล้าตายที่เยี่ยนจิ่วเฉาพามาซ่อนตัวอยู่ในความมืด ยามจำเป็นจึงจะช่วยบุตรชายของนายท่านเจิ้งออกมา ทว่าก่อนหน้านั้น นายท่านเจิ้งจำต้องเล่ารายละเอียดในปีนั้นโดยไม่มีสิ่งใดปกปิด
“ข้าได้บอกเรื่องบ้านกับคุณชายเสี่ยวหวังแล้ว และได้วาดภาพในความทรงจำให้กับคุณชายเสี่ยวหวังแล้วเช่นกัน พวกท่านรีบช่วยบุตรชายข้าออกมาเถิด!” นายท่านเจิ้งกล่าว
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ไม่ต้องรีบ เจ้าลองนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นดูอีกครั้ง ยังมีสิ่งใดที่หลงลืมไปหรือไม่?”
นายท่านเจิ้งเอ่ยในใจ เจ้าไม่รีบ แต่ข้ารีบ ลูกของข้าเป็นกุลีอยู่ในเหมือง เขาอาจถูกทารุณจนตายได้ทุกเมื่อ!
นายท่านเจิ้งอยากจะโกรธ แต่เขาก็ดูออกว่าคนเหล่านี้ไม่ง่ายที่จะยั่วยุ โดยเฉพาะคุณชายที่ล้มป่วยคนนี้ ดูเหมือนป่วยออดๆ แอดๆ ทว่ากลับให้ความรู้สึกอันตรายและน่ากลัวยิ่งกว่าคนร่างใหญ่กำยำนั่นเสียอีก
“เช่นนั้นเริ่มจากเมื่อสี่ปีที่แล้ว ข้าได้พบกับสตรีผู้นั้นเป็นครั้งแรก…นางมาซื้อบ้าน บ้านของครอบครัวข้าเพิ่งขายพอดี มีคนกลางช่วยเจรจา ได้ตกลงธุรกิจกันเสร็จเรียบร้อย และขณะนั้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมา”
เยี่ยนจิ่วเฉากางภาพวาดเสมือนของสวี่ส้าว “เจ้าช่วยยืนยันอีกครั้ง ใช่คนผู้นี้หรือไม่?”
“ใช่ เป็นเขา” นายท่านเจิ้งกล่าว “เหมือนกว่าภาพที่ข้าวาดไว้มาก ข้าพบกับคนทั้งสองตอนที่ซื้อขายบ้านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทว่ารูปร่างหน้าตาของสตรีผู้นั้นช่างงดงามจับตา ข้าประทับใจมิรู้ลืม ทำให้ข้าจดจำคนทั้งสองได้”
แม้เป็นเพียงการพบปะกัน ทว่านายท่านเจิ้งก็มองออกว่าบุรุษผู้นั้นปกป้องดูแลนางเป็นอย่างดี หลังจากขายบ้านไป นายท่านเจิ้งก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ แต่ยังมีร้านขายข้าวอยู่ใกล้กับบ้านหลังเก่า
เขาไปที่ร้านขายข้าวเป็นครั้งคราว บางครั้งเขาก็ได้ยินความเคลื่อนไหวในบ้านหลังเก่า
ไม่กี่เดือนต่อมา เสียงร้องของทารกก็ดังมาจากบ้านหลังเก่า นายท่านเจิ้งคิดว่าสตรีผู้นั้นคงคลอดแล้วเป็นแน่ เสียงร้องไห้ดังต่อเนื่องเป็นเวลาห้าหรือหกเดือน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินอีกเลย ขณะที่นายท่านเจิ้งคิดว่าพวกเขาย้ายออกไปแล้ว ก็บังเอิญเจอกับสตรีผู้นั้นจับท้องเดินออกมา
หญิงผู้นั้นสวมผ้าปิดหน้า แต่เขาก็ยังจำนางได้
สตรีผู้นั้นไม่สังเกตเห็นเขา และเดินผ่านร้านขายข้าวของเขาไปพร้อมกับสาวรับใช้คนหนึ่ง
“เด็กคนนั้นคงจะตายตั้งแต่เยาว์วัย” นายท่านเจิ้งกล่าวอย่างเวทนา
ทว่าไม่กี่วันต่อมาเสียงร้องไห้ของทารกก็ดังออกมาจากบ้านหลังเก่าอีกครา นายท่านเจิ้งรู้สึกงงงวยยิ่งนัก เขาผู้เป็นบิดาของบุตรหกคน ค่อนข้างคุ้นชินกับท้องของหญิงตั้งครรภ์ ในความคิดของเขา ท้องของนางน่าจะยังไม่เกินเจ็ดเดือน กลับคลอดแล้วหรือ?
“คลอดก่อนกำหนดรึ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
นายท่านเจิ้งพยักหน้า “ข้าเดาว่าเป็นเช่นนั้น เสียงร้องของเด็กก็อ่อนมากเช่นกัน หลังจากฝนตกหนัก ข้าก็ไม่ได้ยินเสียงร้องอีกเลย อาจจะได้รับลมหนาวและไม่มีชีวิตรอด ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็มด้วยซ้ำ ช่างน่าเสียดาย”
ดังนั้นจึงได้คำอธิบายเกี่ยวกับโถเถ้ากระดูกทั้งสองแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองสามครั้ง “ข้อมูลเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้าเท่าไร หากเจ้าต้องการช่วยลูกชายของเจ้า เจ้าต้องให้ข้อมูลที่มีค่ามากกว่านี้”
“หา?” นายท่านเจิ้งสะดุ้ง
อิ่งสือซันกล่าว “เจ้าไม่ได้ยินที่คุณชายของข้าพูดรึ?”
“ข้าขอถามสักหน่อย คุณชายอวี๋มีความสัมพันธ์อันใดกับฮูหยินท่านนั้นหรือไม่?” นายท่านเจิ้งถาม
อิ่งสือซันกล่าวอย่างเย็นชา “หาใช่ธุระของเจ้า เจ้าเพียงแค่ตอบคุณชายก็พอ เหมืองไม่ใช่ที่สำหรับให้คนอยู่ ผู้ที่ถูกเนรเทศไปที่นั่นล้วนเป็นนักโทษประหาร แม้ถูกตีจนตายก็ไม่ถูกจดจำ หากช้าไปอีกหนึ่งวันบุตรของเจ้าก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น ถึงตอนนั้น อย่ารอแค่ให้เราไปช่วยเก็บศพแล้วกัน”
“ข้าๆๆ…ข้าจะนึก ข้าจะนึกให้ออกเดี๋ยวนี้!” เหงื่อเย็นของนายท่านเจิ้งผุดทะลัก เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปรอบๆ ห้องอย่างประหม่า เขาไม่ได้พบกับหญิงผู้นั้นมากนัก ทั้งหมดก็พบเพียงสองครั้ง ที่เหลือก็คาดเดาจากสิ่งที่ได้ยิน ยามนี้ ให้เขานึกถึงสิ่งที่มีมากกว่านี้ เขาจะไปนึกได้จากที่ใดเล่า?!
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวเตือน “ตัวอย่างเช่นบุคคลที่อยู่ข้างกายนาง นางพาใครมากับนางบ้าง หรือนางเชิญใครบางคนมา?”
“ข้านึกออกแล้ว! จริงๆ ก็มีอยู่อย่างหนึ่ง!” นายท่านเจิ้งมีความคิดแวบเข้ามาในหัว เขาเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “แต่ข้าไม่ได้เห็นด้วยตาของข้าเอง ข้าได้ยินมาจากลูกสะใภ้ของร้านขายข้าว มีสตรีท้องใหญ่ต่างถิ่นผู้หนึ่งหายไปที่ประตูหลังบ้านของนาง คนรับใช้ของนางหามหญิงผู้นั้นเข้าไป หลังจากนั้นแม่นางผู้นั้นก็อาศัยอยู่ในบ้านของนาง นี่เล่า นับหรือไม่?”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
“ไม่นานหลังจากที่ลูกคนที่สองของนางจากไป” นายท่านเจิ้งกล่าว
อิ่งลิ่วถามเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยเสียงต่ำ “คุณชาย หญิงตั้งครรภ์ผู้นั้นอาจจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของคุณชายน้อยหรือไม่?”
นิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาบีบแน่น “คนต่างถิ่นผู้นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร?”
นายท่านเจิ้งกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเห็น ทว่าข้าได้ยินมาจากภรรยาของเพื่อน นางบอกว่า คนต่างถิ่นผู้นั้นดูตกอับยิ่งนัก ราวกับขอทานที่เดินผ่านมา ฮูหยินท่านนั้นจิตใจดียิ่งนัก แม้แต่ยาจกก็รับไว้ดูแล”
จิตใจดี? เกรงว่าจะมีแผนการเสียมากกว่า! เมื่อนึกถึงคุณชายน้อยในครรภ์มารดาที่ต้องผ่านชีวิตขอทานตกระกำลำบาก ก็ทำให้อิ่งลิ่วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“เจ้าไม่เคยเห็นว่าหน้าตานางเป็นเช่นไร จะมิใช่เพียงคำพูดเลื่อนลอยหรอกรึ?” อิ่งสือซันกลอกตา
นายท่านเจิ้งเกาหัว
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอีกครั้ง “คนต่างถิ่นผู้นั้นอยู่นานเพียงใด?”
“ข้าไม่แน่ใจ” ร้านขายข้าวตั้งอยู่ที่ประตูหลังของบ้านหลังเก่า แต่ส่วนใหญ่คนในบ้านก็มักใช้ประตูหน้าบ้าน
“ยามนี้ ผู้ใดอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าของเจ้า?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถาม
“ไม่มีผู้ใดอยู่ เมื่อสองปีก่อน หลังจากที่ฮูหยินท่านนั้นย้ายออกไป บ้านก็ว่างมาโดยตลอด” นายท่านเจิ้งกล่าว
เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดชั่วคราว “ไปดูที่บ้านหลังเก่า”
คืนนั้น พวกเขาถูกพาไปยังบ้านหลังเก่าโดยมีนายท่านเจิ้งเป็นคนนำ ประตูบ้านหลังเก่าถูกลงกลอนไว้ อิ่งสือซันปลดกลอนทองเหลืองออกอย่างง่ายดาย นายท่านเจิ้งอกสั่นขวัญหาย เกรงว่าจะมีผู้ใดทราบและไปรายงานต่อทางการ
“เข้าไป!” อิ่งสือซันตวาด
นายท่านเจิ้งลดศีรษะลง เดินเข้าไปในบ้าน และชี้ไปที่ห้องแถวหนึ่ง “นี่คือโถงหลัก นี่คือห้องอุ่น นี่คือห้องตำรา และนั่นคือห้องครัว…”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสายตาให้อิ่งลิ่ว คนทั้งสองก็แยกกันไปค้นดูในบ้าน
“คุณชาย! มีช่องลับซ่อนอยู่ใต้เตียงในห้องนี้ นี่คือสิ่งที่พบในช่องลับขอรับ!” อิ่งลิ่วเดินมาพร้อมกับห่อกล่องสีเทาๆ ขนาดเล็ก
เยี่ยนจิ่วเฉา “เปิดออก”
อิ่งลิ่วยอบกายลง วางกล่องเล็กๆ บนพื้นและคลายเกลียวตัวกลอนทองเหลืองด้วยมือเปล่า กล่องนั้นมีเสื้อผ้าของผู้หญิงอยู่ เมื่อเห็นกองอาภรณ์ที่ขาดรุ่งริ่งก็มองออกว่าไม่ใช่อาภรณ์ที่เหยียนหรูอวี้สวมใส่อย่างแน่นอน
“เป็นของแม่นางผู้นั้น!” ดวงตาของอิ่งลิ่วเป็นประกาย พลิกเปิดอาภรณ์ ในชั้นล่างสุดมีหนังสือม้วนหนึ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบม้วนหนังสือขึ้นมา ดึงเชือกและค่อยๆ คลี่เปิดจนเผยให้เห็นภาพเสมือนของใครคนหนึ่ง
…………………………………………………….
[1] หวังแปด หรือ หวังปา 王八 เป็นอีกชื่อของเต่าหรือตะพาบน้ำ เมื่อเอามารวมกับคำว่า ตั้น 蛋 ที่แปลว่าไข่ กลายเป็น หวังปาตั้น จะหมายถึง โง่เง่าเต่าตุ่น

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset