บทที่ 56 สตรีในคืนนั้น (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“ข้ามาหาท่านเพราะมีเรื่องสำคัญ” เหยียนหรูอวี้มองสวี่ส้าวที่อยู่ท่ามกลางผ่าไป่ดำ “ข้าสงสัยว่าคุณชายเยี่ยนกำลังสงสัยในตัวข้า”
สวี่ส้าวคิ้วขมวดมุ่น เอ่ยไปตามจิตใต้สำนึก “เจ้าทำอันใดลงไป?”
“ข้า…” เหยียนหรูอวี้หยุดวาจา และหันไปมองรอบป่าไผ่อันสงัดเงียบ “ข้าต้องทำอันใดด้วยหรือ? กระดาษมิอาจห่อไฟ[1] ความจริงนี้ ท่านน่าจะทราบดีกว่าข้ามิใช่รึ?”
สวี่ส้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สวี่โจวถูกเก็บกวาดไร้ร่องรอย เขาหาได้พบสิ่งใด ไฉนเจ้าจึงคิดว่าเขาสงสัยในตัวเจ้า?”
เหยียนหรูอวี้ทอดถอนใจ “ข้าก็บอกไม่ได้ ช่วงนี้ข้าแค่รู้สึกไม่สบายใจและกังวลก็เท่านั้น”
“เจ้าลืมกินยาอีกแล้วหรือ?” สวี่ส้าวขมวดคิ้วมองนาง
ดวงตาของเหยียนหรูอวี้เย็นชา “ข้าไม่ได้ป่วย!”
สวี่ส้าวผ่อนคลายน้ำเสียงลง “เจ้าสูญเสียเลือดไปมาก จำต้องดูแลอย่างระมัดระวัง”
เหยียนหรูอวี้หันหน้าหนีเบาๆ ราวกับว่าไม่รับฟังคำแนะนำของเขา
“เยี่ยนจิ่วเฉาสงสัยอันใดเกี่ยวกับเจ้า? เรื่องที่มิใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของเด็กๆ หรือคิดว่าเจ้ากำลังปิดบังอดีตบางอย่าง?”
เหยียนหรูอวี้ส่ายศีรษะ “เขาไม่ได้บอกอันใดข้า ข้าเดาเอาเอง ช่วงนี้เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ท่านคิดว่าเขาจะไปตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นหรือไม่?”
สวี่ส้าวกล่าว “วันครบรอบวันตายของเยี่ยนอ๋องใกล้มาถึงแล้ว เขาเพียงแค่ไปกวาดหลุมศพเยี่ยนอ๋องที่สุสานราชวงศ์เท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย”
เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปจากเมืองหลวงเพราะเรื่องการกวาดหลุมศพจริงๆ
“สุสานราชวงศ์กับก้งเฉิงอยู่ทิศเดียวกัน” เหยียนหรูอวี้มองสวี่ส้าว “ท่านไม่กังวลว่าเขาจะใช้อำพรางการไปยังก้งเฉิงหรอกหรือ? สวี่โจวถูกท่านเก็บกวาดเรียบร้อย แต่ก้งเฉิงเล่า? บ้านหลังนั้นเล่า?”
สวี่ส้าวตอบ “ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าเคยไปยังก้งเฉิง และไม่มีผู้ใดจะสามารถเชื่อมโยงก้งเฉิงกับเรื่องทั้งหมดนี้ได้”
เหยียนหรูอวี้ยังใคร่จะเอ่ยบางสิ่งอีก ทว่าสวี่ส้าวยกมือขึ้นปราม “เอาละ เรื่องนี้พอแค่นี้ เจ้าวางใจและทำตัวเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายน้อยให้ดี เรื่องอื่น ข้าจะคิดแทนเจ้าเอง”
เมื่อเหยียนหรูอวี้กลับไปยังจวน นางไม่ทานมื้อค่ำ แต่กลับนั่งอยู่ในห้องตำราและยกพู่กันขึ้นมาวาดภาพเสมือน
ไฉ่ฉินยืนฝนหมึกอยู่ข้างนางเงียบๆ
เหยียนหรูอวี้วาดภาพออกมาหลายภาพในคราวเดียว และเป็นภาพเดียวกันเกือบทั้งหมด ในวันธรรมดาไฉ่ฉินไม่ใช่คนช่างจ้อ ทว่ายามนี้นางกลับอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “คุณหนู เหตุใดจึงไม่มีใบหน้าหรือเจ้าคะ?”
ในภาพนั้นเป็นด้านหลังเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำ ห้อมล้อมด้วยควันของไอน้ำ ใบหน้าของสตรีผู้นี้เห็นเพียงครึ่งหนึ่ง ทว่าไร้ซึ่งเค้าโครงและองคาพยพทั้งห้า มีเพียงเส้นผมดำขลับบนศีรษะที่ตกลงมาปกคลุมถึงกลางแผ่นหลังงดงาม
และด้านล่างขวาของแผ่นหลังงดงามนั้น ใกล้กับรอยยักหล่ม[2] มีปานเขียวเล็กๆ ครึ่งหนึ่งปรากฏอยู่ และอีกครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้เส้นผม
“นี่ใช่คุณหนูรึไม่?” ไฉ่ฉินกล่าวถามอย่างซื่อตรง
เหยียนหรูอวี้หัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง “ไม่ใช่ข้า”
ไฉ่ฉินอุทานด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดได้เล่า?” นางมองไปยังใบหน้าที่ว่างเปล่าอีกครั้ง “เหตุใดจึงไม่วาดใบหน้าเจ้าคะ?”
เหยียนหรูอวี้ตอบเพียงแค่คำถามที่สองของนาง “เพราะนั่นไม่ใช่ใบหน้าของนาง”
เต็มไปด้วยผื่นแดง ดำราวกับโคลน นางเคยคิดว่าหญิงผู้นั้นเกิดมาเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง นางได้เห็นความงดงามของสตรีผู้นั้นขณะอาบน้ำโดยบังเอิญ แม้ว่าเห็นเพียงแผ่นหลัง ก็สวยจนทำให้แทบหยุดหายใจ
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าผิวพรรณของคนผู้หนึ่งจะผุดผ่องเป็นยองใยได้ถึงเพียงนี้ เนียนละเอียดราวกับเครื่องเคลือบขาวหรือกระทั่งหยกเนื้อดี สตรีสวยหยาดเยิ้มเช่นนี้ เหตุใดจึงได้มีหน้าตาอัปลักษณ์น่ารังเกียจ?
ไฉ่ฉินไม่เข้าใจสิ่งที่เหยียนหรูอวี้เอ่ย นางอยากเอ่ยถาม ทว่าก็เกรงจะรบกวนเจ้านายของตน
เหยียนหรูอวี้วาดเส้นสุดท้ายจบ ก็วางพู่กันลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่านางจะเป็นอย่างไร เสียดายที่ไม่นานก็ถูกคนรับตัวไป หลังจากนั้น นางก็คลอดบุตรออกมา แล้วก็…”
หลังจากนั้นเกิดอันใดขึ้น? ไฉ่ฉินหูผึ่ง
เหยียนหรูอวี้ไม่ได้เล่าไปไกลกว่านี้อีก นางลูบแผ่นหลังงามในภาพวาด และเอ่ยว่า “เตรียมรถม้า ข้าจะไปเยี่ยมคุณชายน้อยที่จวนคุณชาย”
ไฉ่ฉินกล่าวว่า “คุณหนู คุณชายน้อยถูกส่งไปยังจวนสกุลเซียวแล้ว ท่านลืมแล้วหรือ?”
มือของเหยียนหรูอวี้หยุดชะงักและเอ่ยอย่างงุนงง “ใช่แล้ว ข้าลืมไป”
…
“คุณชาย ผู้ที่อยู่ในภาพวาดนั้นเป็นใคร? ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของคุณชายน้อยรึไม่? หน้าตาเป็นเช่นไร? เหตุใดจึงไม่เอาให้ข้าดู?”
อิ่งลิ่วบ่นอย่างไม่พอใจ
พวกเขากลับถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ส่วนนายท่านเจิ้ง คุณชายได้ส่งหน่วยกล้าตายสองสามคนไปช่วยบุตรชายของนายท่านเจิ้งแล้ว ในเมื่อเต็มใจจัดการ กล่าวได้ชัดเจนว่าการเดินทางมาในครั้งนี้มีความหมาย ดังนั้นเขาจึงเดาว่าภาพในหนังสือม้วนนั้นต้องเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายน้อยเป็นแน่!
เพียงแต่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดคุณชายจึงไม่ให้พวกเขาดู หรือว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของคุณชายน้อยจะอัปลักษณ์เกินกว่าจะให้ผู้อื่นเห็น?
แน่นอนว่าไม่ใช่อัปลักษณ์เกินกว่าจะให้ผู้อื่นเห็น ทว่ามิอาจเปิดเผยให้ผู้อื่นเห็นได้…
เยี่ยนจิ่วเฉาหลับตาลง กดข่มเพลิงโทสะที่กำลังแผดเผากาย “ไม่มีใบหน้าในภาพวาด”
ทว่ามีอย่างอื่น
เยี่ยนจิ่วเฉาให้อิ่งลิ่วเตรียมอุปกรณ์การเขียน เขายกพู่กันขึ้น วาดปานครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งที่ถูกบดบังด้วยเส้นผมลงบนกระดาษ เขารู้สึกว่าปานนั้นช่างดูคุ้นเคย ราวกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันต่างมุงดู
อิ่งลิ่วจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกคุ้นเคย ทว่าก็นึกไม่ออก
อิ่งสือซันพลันเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณชาย นี่มัน…เหตุใดจึงดูคล้ายกับสัญลักษณ์ประจำเผ่าที่อยู่บนร่างกายของปี้หนูได้ถึงเพียงนี้?”
หลังจากเขาเอ่ยเช่นนี้ ดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉาก็สั่นไหวเล็กน้อย เขาวาดภาพปานเขียวที่อยู่บนร่างกายของปี้หนู จากนั้นใช้มือปิดไว้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งที่เปิดให้เห็นเหมือนดั่งในภาพวาดทุกประการ
ปี้หนูคือผู้ที่มาจากเผ่าปีศาจหนานเจียง นี่คือเครื่องหมายของเผ่าปีศาจหนานเจียง
หากภาพวาดนี้เป็นเรื่องจริง สตรีที่ใช้เวลาทั้งคืนร่วมกับเขา เป็นบุตรีผู้หนึ่งของเผ่าปีศาจหนานเจียงหรือ?
สาเหตุที่เผ่าปีศาจหนานเจียงถูกชาวจงหยวนเรียกว่าเผ่าปีศาจหนานเจียง เพราะพวกเขามีรูปแบบการใช้ชีวิตด้วยวิถีเหนือธรรมชาติ ในยุทธจักรมองพวกเขาว่าพิสดารลึกลับ ทว่าแท้จริงแล้วไม่เคยมีผู้ใดเคยพบเห็นพวกเขา รู้เพียงว่าเดิมเคยเป็นชนเผ่าเล็กๆ ของหนานเจียง เชี่ยวชาญกู่ซู่[3] เพราะกู่ซู่มีฤทธิ์ร้ายแรงมากเกินไป จนสร้างความหวาดกลัวให้กับทางการหนานเจียงและยุทธจักร เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น พวกเขาจึงต้องหลบซ่อนตัว
ที่หนานเจียงยังไม่เคยพบคนของเผ่าปีศาจหนานเจียง คงมิต้องเอ่ยถึงจงหยวน หากสตรีในคืนนั้นเป็นคนเผ่าปีศาจหนานเจียงจริง เช่นนั้นนางจะมาที่จงหยวนได้อย่างไร? และมาทำอันใดที่จงหยวน?
“คุณชาย ข้าจำข่าวลือเกี่ยวกับเผ่าปีศาจหนานเจียงในยุทธจักรได้” อิ่งลิ่วเอ่ยอย่างกะทันหัน
“ข่าวลืออันใด?” อิ่งสือซันถาม
“ข้ามิได้พูดกับเจ้า!” อิ่งลิ่วจ้องอิ่งสือซัน จากนั้นก็หันไปมองเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาย้ำคำกล่าวของอิ่งสือซันอีกครั้ง “ข่าวลืออันใด?”
อิ่งลิ่วตอบ “แท้จริงมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเผ่าปีศาจหนานเจียงในยุทธจักร ทว่าที่เกี่ยวกับสตรีมีเพียงเรื่องเดียว เมื่อสิบแปดปีก่อน ราชาเผ่าปีศาจหนานเจียงแต่งงาน ทว่าในวันแต่งงาน เจ้าสาวกลับหนีไป”
อิ่งสือซันเอ่ยสบประมาท “นางสามารถแต่งงานได้เมื่อสิบแปดปีก่อน ข้าเกรงว่าอายุนางคงไม่น้อยแล้ว เจ้าหมายความว่า เมื่อสามปีก่อนคุณชายนอนกับหญิงวัยกลางคนมากเสน่ห์เช่นนั้นรึ?”
อิ่งลิ่วจ้องมองเขา “เจ้ายังมีสมองอยู่รึไม่? ข้าจะหมายความเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“แล้วเจ้าหมายความเช่นไร?” อิ่งสือซันถามกลับ
อิ่งลิ่วตอบ “เจ้าไม่เคยคิดมาก่อนหรือว่าบางทีนางอาจหนีไปที่จงหยวน? นางอยู่ในจงหยวนนานหลายปีเช่นนี้ นางจะไม่ได้แต่งงานรึ? หากนางให้กำเนิดบุตรสาว นั่นก็มิใช่ลูกครึ่งคนเผ่าปีศาจหนานเจียงรึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะสองสามครั้ง เผยให้เห็นใบหน้าครุ่นคิดพิจารณา
…
“ฮูหยิน!” สาวใช้กระทืบเท้า พยายามห้ามปรามซั่งกวนเยี่ยนเป็นรอบที่สิบ “พวกเราอย่าไปกันเลยนะเจ้าคะ หมู่บ้านโทรมๆ เช่นนั้น มีอันใดให้น่าไปเจ้าคะ? ท่านเป็นถึงนายหญิงใหญ่แห่งจวนสกุลเซียว ให้ใครรู้ว่าท่านไปหมู่บ้านเช่นนั้น ขายหน้าตายเลยเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนเยี่ยนกระแอมเบาๆ “นี่ข้ามิได้ทำเพื่อความสุขของเขารึ? ข้าทำผิดไป ก็ควรเอาอกเอาใจเขา เขาชอบกินเต้าหู้เหม็น ข้าก็จะไปซื้อมันด้วยตัวเอง เช่นนี้ เขาก็คงจะหายโกรธข้าแล้ว”
อย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองอยากกินเต้าหู้เหม็น!
สาวใช้เอ่ยพลางกอดอก “ฮูหยินทำผิด! ท่านก็ไม่ควรยัดผู้ใดเข้าไปในห้องของนายท่านจริงๆ โชคดีที่นายท่านมิได้แตะต้องนาง แล้วหากได้แตะต้องเล่า? หากถือกำเนิดบุตรภรรยาน้อยออกมาจริงๆ ฮูหยินจะมีความสุขหรือ?”
ซั่งกวนเยี่ยนทอดถอนใจ “ก็มิใช่เพราะข้าอยากให้มีผู้สืบสกุลเซียวหรือ? ทรัพย์สมบัติมากมายเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องมีใครบางคนสืบทอดมิใช่รึ?”
“หนึ่ง สอง สาม ฮูหยินมองไม่เห็นหรอกหรือ?” สาวใช้ชี้ไปยังเด็กน้อยจ้ำม่ำที่นั่งเรียงแถวอยู่ด้านหน้า
เหล่าเด็กน้อยไม่เข้าใจว่าพวกเขาเอ่ยสิ่งใด ทว่าขอเพียงพวกเขาไปพบหวั่นหวั่นได้ ก็มีความสุขเหลือล้นแล้ว สาวใช้เอ่ยอันใดพวกเขาล้วนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
สาวใช้เลิกคิ้วและเอ่ยว่า “ดู ดู ดู คุณชายน้อยเชื่อฟังกว่าฮูหยินเสียอีก!”
ใช่ๆๆ พวกเขาเชื่อฟังยิ่งนัก
เด็กน้อยทั้งสามเบิกตาโตใสแจ๋ว นั่งตัวตรง วางมือน้อยๆ อย่างเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อฟังสุดๆ!
สาวใช้ยังคงพูดกรอกหูฮูหยิน “อย่าดูถูกบุตรภรรยาน้อยเลย ท่านแต่งงานกับสกุลเซียว ทรัพย์สินของสกุลเซียว ก็ต้องเป็นของท่าน หลังจากร้อยปีของท่าน[4] ก็จะตกเป็นของคุณชาย หลังจากร้อยปีของคุณชาย ก็จะตกเป็นของคุณชายน้อย สรุปแล้ว แม้เพียงน้อยนิดก็จะตกถึงมือของคนนอกมิได้เชียว!”
ซั่งกวนเยี่ยนฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ทันใดนั้น เสียวเป่าก็เอามือกุมท้อง แล้วร้องอื้อๆ ออกมา
เพื่อบอกว่าตนกำลังปวดหนัก
ซั่งกวนเยี่ยนให้สารถีรถม้าหยุดรถ สาวใช้พาเสียวเป่าไปปลดทุกข์ด้านหน้า ส่วนต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็มองดู แล้วก็กุมท้องรู้สึกอยากปลดทุกข์ด้วย เด็กน้อยทั้งสามมักจะเป็นเช่นนี้ หิวก็หิวพร้อมกัน กินก็กินพร้อมกัน ถ่ายก็ยังถ่ายพร้อมกันอีก
ไม่มีห้องน้ำ เด็กน้อยทั้งสามต้องนั่งยองๆ ปลดทุกข์อยู่ข้างถนน
เสียวเป่าถ่ายไม่ออก
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าก็ถ่ายไม่ออก
พวกเขาทั้งสามนั่งยองๆ ก้นขาว เล่นหญ้าหางหมาที่ขึ้นอยู่ตรงหน้าพวกเขา
แม้ที่นี่จะเป็นปากทางแยก กลับรกร้างไร้เงาผู้คน ไม่มีรถม้าวิ่งผ่านมาสักคัน สาวใช้คาดไม่ถึงว่าจะมีรถม้าคันหนึ่งควบมาจากถนนเส้นเล็กๆ ด้านข้าง แม้ไม่ชนพวกเขา ทว่ากลับวิ่งผ่านหลุมโคลนจนสาดกระเซ็นถูกเด็กน้อยทั้งสามเต็มหน้า
สาวใช้เห็นดังนั้นก็บันดาลโทสะ ตะโกนใส่รถม้า “เจ้าเป็นใครกล้าดีอย่างไร? ขับไม่ดูตาม้าตาเรือเลยรึ? ข้างทางมีเด็กอยู่ไม่เห็นหรือไร?”
รถม้าคันนั้นหยุดลง
สาวใช้ตะโกน “ทำให้คุณชายน้อยเป็นเช่นนี้! เจ้าต้องชดใช้!”
………………………………………………….
[1] กระดาษมิอาจห่อไฟ 纸包不住火 เปรียบเทียบว่าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้
[2] รอยยักหล่ม คือ รอยบุ๋มความลักยิ้มเหนือสะโพกด้านหลัง
[3] กู่ซู่ 蛊术 เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับหนอนแมลงพิษต่างๆ
[4] หลังจากร้อยปี สื่อถึงตายแล้ว
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 56.1 สตรีในคืนนั้น (1)
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…