บทที่ 61 พี่จิ่วป่วยไข้
โดย
Ink Stone_Romance
เหยียนฉงหมิงกลับจากศาลมาพบว่าบุตรสาวยังไม่ได้ถูกส่งตัวไป ก็คาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขาเดินไปยังเรือนของฮูหยินเหยียน บังเอิญว่าฮูหยินเหยียนก็กำลังรอเขาอยู่เช่นกัน คนทั้งสองต่างมีสีหน้าดีไม่ค่อยดี
หลังจากสามารถแต่งเข้าจวนแม่ทัพ ครอบครัวของฮูหยินเหยียนก็ถือว่ามีฐานะและชื่อเสียงเช่นกัน ยามที่สกุลเหยียนถูกคุมขังทั้งครอบครัวในคดีที่ถูกใส่ความ แม้ครอบครัวของฮูหยินเหยียนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ก็ไม่ได้เข้าไปพัวพันด้วย ในช่วงหลายปีนี้ รากฐานครอบครัวนางยังคงมั่นคง หากจะต่อสู้เพื่อบุตรสาว ฮูหยินเหยียนก็ยังค่อนข้างมั่นใจ
“นายท่าน นั่งลงก่อนเถิด ข้าให้คนเตรียมกับแกล้มกับเหล้าไว้แล้ว” ฮูหยินเหยียนกล่าวทักทายตามปกติ นางต้องการเจรจากับเหยียนฉงหมิงอย่างดีที่สุด
เหยียนฉงหมิงไม่มีอารมณ์เช่นนั้น จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “อวี้เอ๋อร์เล่า?”
ฮูหยินเหยียนกล่าว “อยู่ในห้องของข้า ทาสรับใช้ทำให้เสียเวลามาครึ่งวันตั้งแต่เช้า นางตกใจกลัวมาก ข้าจึงขอให้หมอสั่งยากล่อมประสาทให้ นางดื่มยาและหลับไปแล้ว”
“นางกลัวรึ?” เหยียนฉงหมิงแทบหัวเราะภรรยา อาจหาญกระทั่งจะใช้ดาบฆ่าคน จะถูกสาวใช้ที่มีวรยุทธ์คนเดียวทำตกใจกลัวได้?
ฮูหยินเหยียนเอ่ยถาม “ข้าอยากถามนายท่าน อวี้เอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อที่ข้าอุ้มท้องมาสิบเดือน ทั้งยังเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่าน นางทำเรื่องผิดที่ไม่อาจให้อภัยอันใด จนท่านต้องการส่งนางไปที่อารามชีหรือ?”
“วาจาเหล่านี้ นางเป็นคนบอกเจ้ารึ?” เหยียนฉงหมิงขมวดคิ้ว
ฮูหยินเหยียนกล่าว “อวี้เอ๋อร์ไม่ได้บอกอันใดกับข้า นางสับสนเสียยิ่งกว่าข้า ข้าอยากถามท่านที่เป็นบิดาว่าจิตใจแข็งดังหินผาเพียงใด? สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน นางกระทำผิด แต่นางกำลังฝันร้าย ท่านจะมิต้องการนางเพราะเหตุผลนี้ไม่ได้”
เหยียนฉงหมิงเอ่ย “เมื่อใดที่ข้าบอกว่าข้ามิต้องการนาง?”
ฮูหยินเหยียนเอ่ยด้วยความผิดหวัง “ท่านจะส่งให้นางไปอาศัยอยู่ที่อารามชี เช่นนี้หรือที่ท่านไม่ต้องการทอดทิ้งนาง?”
“ข้า…” คำพูดของเหยียนฉงหมิงหยุดชะงัก
ภาพเหยียนฉงหมิงที่ไม่อาจกล่าวสิ่งใดหักล้างอยู่ในสายตาของฮูหยินเหยียน ราวกับว่ายอมรับผิด ฮูหยินเหยียนกล่าวอย่างเจ็บปวด “สองสามปีที่ผ่านมา เกิดสิ่งใดขึ้นกับนางบ้าง นางต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด ข้ากับท่านไม่รู้ ถามนาง นางก็ไม่บอก แต่ถึงนางไม่ได้บอก ท่านจะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ? นางเป็นเพียงดรุณีผู้หนึ่งที่จู่ๆ ก็ถูกบุรุษย่ำยี กระทั่งตั้งครรภ์ นางให้กำเนิดบุตรและเลี้ยงดูพวกเขาเพียงลำพังด้วยความยากลำบาก ความทรมานเหล่านี้ นายท่านเข้าใจมันหรือไม่? โชคดีที่บุรุษผู้นั้นมีฐานะ ต้องขอบคุณอวี้เอ๋อร์ สกุลเหยียนของเราจึงฟื้นกลับมารุ่งเรืองอีกครา ท่านอย่าลืมว่าที่ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นทุกวันนี้ อวี้เอ๋อร์ต้องแลกมาด้วยสิ่งใด!”
“เจ้า…” เหยียนฉงหมิงกำหมัดแน่น มองนางด้วยสายตาเยือกเย็น “ข้าจะไม่เสวนากับเจ้า!”
กล่าวจบ เขาก็หันตัวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
อย่างไรเขาก็ต้องส่งบุตรสาวไป กระทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ หากเรื่องแพร่งพรายออกไปก็เพียงพอที่จะทำให้สกุลเหยียนไม่อาจฟื้นคืนได้อีก!
เมื่อเขาออกจากเรือนของฮูหยินเหยียน ก็พบกับเหยียนหรูอวี้ที่ได้ยินมาว่ากำลังหลับตรงทางเดินเสียได้
เหยียนหรูอวี้ได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของนางกลับเรียบร้อย และไม่เพียงเท่านั้น นางยังแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยสีสันสดใสมากกว่าเมื่อก่อน นี่เป็นการเปิดฉากท้าทายเหยียนฉงหมิงอย่างเปิดเผย
เหยียนฉงหมิงขมวดคิ้วและเอ่ยถามว่า “เจ้าจะทำอันใด?”
“คำพูดนี้ ข้าควรจะถามท่านพ่อมากกว่า”
“ตัวเจ้ากระทำอันใดลงไป ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ! อย่าคิดจะดึงสกุลเหยียนทั้งหมดลงน้ำ!”
ถึงตอนนี้ สองพ่อลูกต่างไม่ไว้หน้ากัน
เหยียนหรูอวี้รู้สึกหนาวสะท้าน นางบีบนิ้วพลางเอ่ย “แม่หลินเล่า?”
“หาใช่กงการของเจ้า” เหยียนฉงหมิงเอ่ยโดยไม่ต้องคิด
เล็บของเหยียนหรูอวี้แทบจะจิกลงไปในเนื้อ ความเฉยชาปรากฏบนใบหน้าของนาง “ท่านพ่อทราบเรื่องทั้งหมดแล้วหรือ? เช่นนั้นท่านพ่อตัดสินใจจะทำอย่างไร? ละทิ้งข้า รอให้คุณชายเยี่ยนกลับมา ท่านจะพาข้าไปอยู่ต่อหน้าเขาแล้วก้มหน้ายอมรับความผิดรึ?”
ดวงตาเหยียนฉงหมิงสั่นไหว
เขารู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้มีความเสี่ยงมาก แต่การเริ่มยอมรับความผิดของตนก่อนทำให้คนรู้สึกดีกว่าเสมอ หากรอให้คุณชายเยี่ยนค้นพบความจริงเสียก่อน ผลที่ตามมาคงจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
เหยียนหรูอวี้คลี่ยิ้มเย็นชา “ท่านพ่อคิดว่าการปัดความรับผิดชอบมาให้ข้าเพียงคนเดียวจะสามารถช่วยสกุลเหยียนทั้งหมดได้หรือ? ท่านพ่อไม่คิดหรือว่าคดีความอยุติธรรมของสกุลเหยียนถูกกลับคำพิพากษาเพราะเหตุใด? หากมิใช่เพราะสถานะของข้าในยามนี้ ฮ่องเต้จะทรงอภัยโทษ ‘ความผิด’ ให้สกุลเหยียนหรือ? นอกจากนั้น เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้อยู่แล้ว แม้จะหลีกหนีจากการแก้แค้นของคุณชายเยี่ยนพ้น แต่จะหลีกหนีจากความโกรธแค้นของฮ่องเต้ได้หรือ?”
วาจานั้นแทงใจดำจนเหยียนฉงหมิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เช่นนั้นบอกสิว่าเจ้าจะทำเช่นไร! กระดาษไม่อาจห่อไฟ ไม่ช้าก็เร็ว…”
“ไม่ช้าก็เร็ว” เหยียนหรูอวี้ขัด “ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง จะไม่ปล่อยให้สกุลเหยียนตกที่นั่งลำบาก ท่านพ่อจะได้เป็นท่านโหวของท่านต่อไปได้ พุ่งทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง!”
“เจ้า…เจ้าไม่ได้โกหกพ่อ? เจ้าจัดการได้แน่หรือ?” เห็นได้ชัดว่าเหยียนฉงหมิงทำให้ความมั่นใจและแผนที่เหยียนหรูอวี้วาดไว้สั่นคลอน
เหยียนหรูอวี้กล่าวอย่างเฉยเมย “จะเป็นท่านโหวที่ผู้คนนับพันเคารพนับถือ หรือวิญญาณอาฆาตภายใต้เครื่องประหาร ท่านพ่อเลือกเองเถิด”
กล่าวจบ เหยียนหรูอวี้ก็เดินไปข้างหน้า
ยามเดินผ่านไหล่เหยียนฉงหมิง เท้านางพลันหยุดชะงัก “แล้วก็ ส่งตัวแม่หลินกลับมา”
…
หลังเกิดเรื่องราวเหล่านี้ เหยียนหรูอวี้ก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางด้านเยี่ยนจิ่วเฉามากขึ้น แต่เดิมนางหวังว่าสกุลเหยียนจะปกป้องคุ้มครองนางบ้าง แต่ยามนี้นางแจ่มแจ้งแล้ว ว่าเมื่อใดที่นางหมดประโยชน์ บิดาของนางไม่ลังเลและพร้อมจะทอดทิ้งนางได้ทุกเมื่อ
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็พลันลูบท้องแบนราบของตน จะเกิดอะไรขึ้น หากตอนนั้นเด็กทั้งสองคนรอดชีวิต? ชะตาชีวิตของนางจะแตกต่างจากวันนี้หรือไม่?
เหยียนหรูอวี้นัดสวี่ส้าวไปพบที่ป่าไผ่ดำอีกครั้ง
สวี่ส้าวกล่าวอย่างหมดความอดทน “ครานี้เป็นเรื่องใดอีก?”
เหยียนหรูอวี้เอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ทางด้านคุณชายเยี่ยน ท่านวางแผนอย่างไรกันแน่? ท่านไปตรวจสอบหรือยัง?”
สวี่ส้าวมองไปในความมืดมิดไร้ขอบเขตพลางกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าจะดูแลเอง ต่อไปอย่าได้นัดหมายข้าด้วยเรื่องเช่นนี้อีก”
ประกายเย็นชาฉายชัดในดวงตาของเหยียนหรูอวี้
…
หลังออกจากป่าไผ่ดำ สวี่ส้าวก็กลับไปที่คฤหาสน์สกุลสวี่และตามคนสนิทมา “เจ้าจำสตรีในตอนนั้นได้อยู่หรือไม่?”
“นายท่านหมายถึง…มารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายน้อยหรือ?” คนสนิทถาม
สวี่ส้าวพยักหน้า
คนสนิทสงสัย “เหตุใดจู่ๆ นายท่านจึงถามถึงนาง?”
สวี่ส้าวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกรงว่าเรื่องราวใกล้จะถูกเปิดเผยแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ใครค้นพบการมีอยู่ของนาง…ตอนนี้เจ้ายังตามตัวนางได้อยู่หรือไม่?”
คนสนิทเอ่ยอย่างครุ่นคิด “มีเบาะแสไม่มากนัก ข้ารู้เพียงว่านางมีคู่หมั้นในวัยเด็กชื่อจ้าวเหิง เขาเป็นบัณฑิตซิ่วไฉที่เก่งกาจ ฟังจากสำเนียงแล้วน่าจะอยู่ใกล้กับเมืองหลวง…หากพบบัณฑิตซิ่วไฉที่ชื่อจ้าวเหิง ก็คงจะพบตัวนางเช่นกัน”
สวี่ส้าวขมวดคิ้ว “หากจะโทษ ก็ต้องโทษที่ตอนนั้นข้าใจอ่อน…เอาละ เจ้าไปตามหาก่อนเถิด”
“หากพบแล้ว…”
“ก็ฆ่านางซะ!”
…
ตกกลางคืน บนถนนทางการที่เงียบสงบ รถม้าหรูหรากำลังเคลื่อนอย่างช้าๆ สารถีผู้บังคับม้าคืออิ่งสือซัน เขากับอิ่งลิ่วนั่งอยู่ด้านนอกรถม้า มีเสียงไอเบาๆ ลอยออกมาจากด้านในเป็นครั้งคราว ทั้งสองต่างขมวดคิ้วมุ่น
คุณชายไร้ซึ่งโรคภัยมาตลอดฤดูหนาว และพวกเขาก็คิดว่าร่างกายของคุณชายดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน จะทราบได้อย่างไรว่าทันทีที่พวกเขาออกจากเมืองหลวงก็ต้องเผชิญกับลมหนาว ประกอบกับดินฟ้าอากาศในสถานที่ใหม่ที่พวกเขาไม่คุ้นชิน อาการจึงไม่ค่อยดีขึ้น
“เหตุใดเจ้ายังพาคุณชายมาด้วย?” อิ่งลิ่วบ่น
“เหตุใดมาโทษข้าเล่า?” อิ่งสือซันได้รับความไม่เป็นธรรม เรื่องที่คุณชายตัดสินใจ เขายับยั้งได้หรือ?
“เจ้าตีเขาให้สลบไม่ได้รึ?” อิ่งลิ่วพึมพำ
“เจ้าก็ลองตีดูสิ” อิ่งสือซันเหล่ตามอง
ทั้งสองโต้เถียงกันเบาๆ ทันใดนั้นเสียงของเยี่ยนจิ่วเฉาที่แหบแห้งจากการไอก็ดังมาจากในรถม้า “อีกนานแค่ไหนจะถึงโรงเตี๊ยม?”
อิ่งลิ่วมองไปข้างหน้าและเอ่ยว่า “เกรงว่าคืนนี้พวกเราจะไม่อาจไปพักที่โรงเตี๊ยมได้ อีกสิบหลี่ข้างหน้ามีสถานีส่งสาร เหตุใดเราไม่พักที่สถานีส่งสารก่อนสักหน่อยละขอรับ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืมเบาๆ เป็นเชิงเห็นด้วย
แม้ภายในรถม้าจะรองด้วยฟูกหนา ทว่าตลอดเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อ พวกเขาที่เป็นองครักษ์มืดยังรู้สึกอึดอัดไม่สบาย นับประสาอะไรกับคุณชายที่กำลังป่วย อิ่งสือซันจึงรีบขับรถม้าไปยังสถานีส่งสาร
พวกเขาผ่านจี้โจวและเข้าสู่ทงโจว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเขตแดนของเมืองเล็กๆ ในทงโจว ห่างจากใจกลางเมืองเพียงไม่กี่สิบหลี่
“คุณชาย” อิ่งลิ่วกระโดดลงจากรถม้าและเปิดม่านให้เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกผืนหนาเดินลงมา
สถานีส่งสารมีขนาดไม่ใหญ่ ห้องพักต่างมีผู้คนเข้าพักเต็มแล้ว มีเพียงห้องด้านข้างโถงใหญ่ที่จัดไว้สำหรับครอบครัวข้าราชการเท่านั้นยังว่างอยู่
อิ่งลิ่วหยิบเหรียญตราข้าหลวงระดับจังหวัดตงโจวที่เขาเตรียมไว้แล้ว นำมาจองห้องปีกนี้
อิ่งสือซันเคลื่อนรถม้าไปที่คอกม้าและหาคนมาให้อาหาร
พวกเขาพาหน่วยกล้าตายมาด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนสังเกตเห็น หน่วยกล้าตายจึงไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่กระจายไปอยู่รอบๆ ในระยะสิบหลี่
“คุณชาย ที่นี่ไม่มีอาหารดีๆ ทานนี่สักหน่อยเถิด” อิ่งลิ่วนำอาหารที่ซื้อจากสถานีขึ้นมา มีมันเทศต้มหนึ่งจาน ปลาเค็มนึ่งหนึ่งตัว และหมูสามชั้นผัดถั่วฝักยาวหนึ่งชาม
แค่มองก็ทำให้รู้สึกไม่อยากกิน
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบขนมชาอู่หลงที่นายท่านเจิ้งให้ออกมาจากกล่องสองชิ้นเพื่อสนองความหิว แม้เขาจะไม่ได้รสชาติ แต่เขาก็อยากกินสิ่งที่ดูดี
…………………………………………………….