ปลายฤดูวสันต์ ณ จวนใต้เท้าเหยาซึ่งเป็นจวนพักอาศัยของเหยาหย่วนจือ ผู้เป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง เวลานี้บุปผาในจวนกำลังผลิบาน ต้นไม้ใหญ่และเงาไม้ไหวไปมาเกิดเป็นภาพร่ายรำกัน กลิ่นหอมบุปผาพัดโชยมาตามกระแสลม เป็นบรรยากาศที่ร่มรื่นยิ่งนัก
คุณหนูรองนามว่าเหยาเยี่ยนอวี่และน้องสาวของนางนามว่าเหยาเชวี่ยหวา ทั้งสองเดินตามติดกันออกไปจากเรือนหนิงรุ่ย ซึ่งเป็นเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง และเดินอ้อมสวนหลังเรือนแล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนจิ้งรุ่ยที่เป็นเรือนนั่งเล่นของมารดาเอกหวางฮูหยิน
“พี่สาว ได้ยินมาว่าอาการของพี่ใหญ่ของพวกเรานับวันก็ยิ่งแย่ลงไปทุกที” เหยาเชวี่ยหวากุมมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นเปรยเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่เป็นคนมีวาสนา อาการของนางต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
เหยาเชวี่ยหวาหันหลังกลับไปมองพวกสาวใช้และผัวจื่อ ที่กำลังเดินตามหลังอยู่ แล้วไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในเรือนของท่านย่า นางก็ได้ยินอย่างชัดเจน คนที่มาจากเมืองหลวงได้ส่งสารมาว่า พี่สาวที่เป็นบุตรีคนโตของมารดาเอกของพวกนางป่วยจนอาการทรุดหนักเกินเยียวยา เกรงว่าคงจะมีลมหายใจไม่พ้นฤดูร้อนนี้
พี่ใหญ่ที่เหยาเชวี่ยหวาเอ่ยถึงคือบุตรีภรรยาหลวงแห่งจวนเหยา เหยาเฟิ่งเกอ
สามปีก่อน เหยาเฟิ่งเกอได้สมรสกับบุตรชายคนที่สามของติ้งโหว โดยมีภรรยาหลวงเป็นผู้ให้กำเนิด ในเวลาเดียวกันบุตรีคนโตของติ้งโหว สตรีผู้มีนามว่าซูอวี้เหอก็ได้สมรสกับบุตรชายคนโตของใต้เท้าหวางแห่งจวนเจียงหนิงจือจ้าวซึ่งเป็นบุตรที่ภรรยาหลวงให้กำเนิด ซึ่งเป็นตระกูลเดิมของหวางฮูหยิน ฮูหยินของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง
การสมรสแบบสามเส้านี้เคยเป็นเรื่องมงคลที่น่าตื่นเต้น ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนติ้งโหวหรือองค์หญิงต้าจั่งเป็นเสด็จป้าของฮ่องเต้ที่ขึ้นครองราชย์ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ จวนติ้งโหวถือว่าเป็นพระญาติของราชวงศ์ จึงมีฐานะที่สูงศักดิ์กว่าผู้อื่น การสมรสแบบสามเส้านี้ไม่เพียงแต่ขยายอำนาจของติ้งโหว อีกทั้งยังสามารถทำให้รากฐานในราชสำนักของตระกูลหวางและตระกูลเหยามั่นคงกว่าเดิม
เวลานี้ครอบครัวบุตรคนโตและสะใภ้คนโตของจวนเจียงหนิงจือจ้าวได้มีทายาทซึ่งเป็นบุตรีให้กับตระกูลหวางแล้ว แต่พี่สาวที่เป็นบุตรีคนโตของเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเฟิ่งเกอยังไม่มีอะไรในจวน อีกทั้งเวลานี้นางก็ล้มป่วยเจียนใกล้ตาย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก มันอาจจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของข้าหลวงเหยาในราชสำนักได้ ดังนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นบุตรีคนรองจึงยึดติดกับหลักการ ‘พูดมากก็ยิ่งผิดมาก’ นางจึงคงความเงียบขรึมและไม่พูดสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องที่นางทะลุมิติข้ามภพมาเป็นความจริง และการที่นางอาศัยอยู่ในจวนนี้มากว่าสิบปีก็คือเรื่องจริง เพราะเหตุนี้ นางซึ่งเป็นหญิงสาวที่ข้ามภพมาก็คงจะรู้ดีว่า คนเราไม่สามารถขัดขืนกับบรรทัดฐานทางสังคมได้ ก่อนหน้านี้ นางก็ได้เห็นนิยายหลายเล่มล้วนบอกเล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวที่ทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณ และได้กลับมาเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของตัวเอง แต่พอนางมาเจอด้วยตัวเอง นางกลับรู้สึกจากใจจริงว่า ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปตามนี้ สุดท้ายก็คงทำได้เพียงรีบสิ้นใจ เพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดให้เร็วขึ้น
การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดมากนัก เพียงต้องการให้อยู่อย่างสันติสุขจนกระทั่งแก่เฒ่า เหยาเยี่ยนอวี่กำลังขบคิดภายในใจอย่างเงียบๆ และนางก็ได้เดินมาถึงที่หน้าประตูเรือนของหวางฮูหยิน
เวลานี้เป็นยามเซิน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลามื้อค่ำ แต่ก็ผ่านเวลานอนพักกลางวันมานานแล้ว
โดยปกติในเวลานี้ เรือนที่นี่จะค่อนข้างครึกครื้น ผัวจื่อมักเข้าออกเป็นประจำ เพื่อที่จะรายงานสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ไปจัดการ สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองก็จะมานั่งอยู่ตรงหน้าท่านแม่ในเวลานี้ บางครั้งก็มารายงานงานที่ได้รับมอบหมาย บางครั้งก็มานั่งคุยเล่นกันที่นี่
แต่วันนี้ ในเรือนนี้กลับเงียบสนิท บรรดาสาวใช้นั่งอยู่ใต้ชายคาระเบียงอย่างเงียบๆ บ้างก็ยุ่งกับงานเย็บปักถักร้อยของตน บ้างก็นั่งนิ่งเพื่อที่จะรอฟังคำสั่งจากด้านใน
หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่เข้ามาตรงหน้าประตูใหญ่ทางเข้าเรือน สาวใช้แต่ละคนก็เหยียดกายลุกขึ้น แล้วค้อมตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้น “น้อมทำความเคารพคุณหนูรองและคุณหนูสามเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ยุ่งอยู่หรือไม่” เหยาเยี่ยนอวี่ถามขึ้นเสียงเบา
สาวใช้ที่รู้งานที่สุดของหวางฮูหยินนามเจินจูจึงตอบกลับเสียงค่อย “นายท่านกำลังคุยกับฮูหยินอยู่เจ้าค่ะ คุณหนูโปรดรอสักประเดี๋ยว ให้บ่าวเข้าไปแจ้งข้างในก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่คิดในใจ ไหนๆ ตนก็มาเยือนถึงที่นี่แล้ว จะให้กลับไปโดยที่ไม่พูดอะไรก็กระไรอยู่ ด้วยเหตุนี้ นางจึงพยักหน้า
เจินจูจึงเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ ไม่นานนางก็ออกมาแล้วน้อมคำนับเหยาเยี่ยนอวี่และน้องสาว “ฮูหยินบอกให้คุณหนูทั้งสองท่านเข้าไปได้เจ้าค่ะ” ในขณะที่พูด นางก็ยกมือขึ้นพร้อมเปิดม่านไม้ไผ่ออก เหยาเยี่ยนอวี่อมยิ้มพลางกุมมือเหยาเชวี่ยหวาเข้าไปด้านในเรือน
เรือนที่นี่ไม่ใช่ห้องโถงหลัก เป็นห้องโถงด้านข้างของหวางฮูหยิน ปกติมีไว้นั่งเล่นเท่านั้น พอเข้าไปจะมีเก้าอี้นวมทรงเตี้ยที่วางอยู่ทางทิศเหนือ และทางทิศใต้มีโต๊ะเตี้ยวางอยู่ ทั้งสองข้างมีเบาะรองที่นั่งห่อหุ้มด้วยผ้าสีน้ำเงินเคล้าดำ และปักลายบุปผา อีกทั้งมีหมอนรองศีรษะ และหมอนหนุนหลัง ด้านซ้ายและด้านขวาต่างมีเก้าอี้เกือกม้าวางอยู่ข้างละคู่ ฟูกที่นั่งสีน้ำเงินเคล้าดำปักลายบุปผาวางอยู่บนเก้าอี้ ตรงกลางมีโต๊ะกี๋ไม้วางอยู่ บนโต๊ะมีกระถางไม้ประดับอันสวยงาม ของใช้ในเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้จันทน์ที่เลอค่า
ใต้เท้าเหยาหย่วนจือนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก หวางฮูหยินนั่งอยู่ข้างขวา ทั้งสองต่างยกถ้วยน้ำชาขึ้น โดยที่ไม่เอ่ยคำใด
“น้อมคารวะท่านพ่อและท่านแม่เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่และเหยาเชวี่ยหวาคำนับพร้อมๆ กัน
“นั่งเถอะ” เหยาหย่วนจือไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับจิบชาต่อด้วยความตั้งใจ
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่และน้องสาวกล่าวขอบคุณ จากนั้นพวกนางก็นั่งลงบนเก้าอี้สองตัวที่อยู่ด้านขวา
หวางฮูหยินวางถ้วยน้ำชาในมือลงข้างๆ จากนั้นก็มองเหยาเยี่ยนอวี่พลางถามขึ้น “พวกเจ้ามาจากที่ใด”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบตอบกลับ “มาจากเรือนของท่านย่าเจ้าค่ะ”
หวางฮูหยินไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก จากนั้นเหยาหย่วนจือจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่นั่งอย่างสง่างาม สีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นก็มีสาวใช้ยกถ้วยน้ำชาสองถ้วยเข้ามาวางลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ระหว่างเหยาเยี่ยนอวี่และน้องสาว จากนั้นก็ถอยออกไปข้างนอกโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เหยาเยี่ยนอวี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้น นางเพียงดมกลิ่นชา ทว่าไม่ได้ดื่ม ทั้งสี่คนที่อยู่ในเรือนต่างก็อยู่ในความเงียบสงบ ไม่มีใครเอ่ยพูดสิ่งใดออกมา
ผ่านไปสักพัก หวางฮูหยินเปรยขึ้น คล้ายว่ากำลังพึมพำกับตัวเอง “พี่ใหญ่ของพวกเจ้าป่วย…เกรงว่าอาการคงไม่ดีขึ้นแน่”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกหม่นหมองใจ จึงปลอบโยน “ท่านแม่อย่าได้กังวลใจไปเลย พี่ใหญ่เป็นคนมีวาสนา ในจวนโหวมีหมอหลวงคอยดูแล อาการของพี่ใหญ่ต้องดีขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
หวางฮูหยินมองเหยาเยี่ยนอวี่อย่างจนปัญญา นางถอนหายใจแล้วกล่าวพูดขึ้น “เจ้าช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ”
ทันใดนั้นเอง เหยาหย่วนจือก็หันไปถามหวางฮูหยิน “ปีนี้เยี่ยนเจี่ยเอ๋อร์อายุสิบหกแล้วใช่หรือไม่”
หวางฮูหยินหยุดชะงักไป แล้วมองสีหน้าของเหยาหย่วนจือเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ รอให้ผ่านเดือนห้าซึ่งเป็นเดือนเกิดไปก่อน ก็ครบสิบหกแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม” เหยาหย่วนจือไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็กลับไปครุ่นคิดอะไรบางอย่างเหมือนเดิม
เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่รู้ เรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของตน เวลานี้ ท่านพ่อที่ฉลาดหลักแหลมของนางกำลังครุ่นคิดเรื่องของนาง และได้ตัดสินใจโดยฉับพลันไปแล้ว
หวางฮูหยินผายมือให้เหยาเยี่ยนอวี่และน้องสาว “พวกเจ้าทั้งสองกลับไปก่อนเถอะ ได้เวลาอาหารค่ำค่อยมา”
“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่และเหยาเชวี่ยหวาวางถ้วยน้ำชาลง จากนั้นก็ค้อมตัว “ลูกขอตัวลาเจ้าค่ะ”
ม่านไม้ไผ่ดังขึ้นเสียงเบา สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเปิดม่านออก เหยาเยี่ยนอวี่พาเหยาเชวี่ยหวาเดินก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าวจนถึงประตู จากนั้นก็หันหลังเดินออกประตูไป แล้วพาสาวใช้และผัวจื่อของตนกลับไปด้วย
หลังจากที่กลับถึงจวนของตน เหยาเยี่ยนอวี่วางพัดในมือลง นางเอนตัวลงพิงบนเก้าอี้กุ้ยเฟย จากนั้นก็หยิบเอาตำราขึ้นมาอ่านเล่น
ไม่นาน ชุ่ยเวยที่เป็นสาวใช้คนสนิทของนางก็เดินเข้ามาในเรือนอย่างเงียบๆ จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้สองคนที่อยู่ในเรือนออกไป แล้วคุกเข่าลงข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่พลางพูดขึ้นด้วยเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่บ่าวได้ยินหมัวมัว ในเรือนฮูหยินบอกว่านายท่านจะส่งตัวคุณหนูไปเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
เปลือกตาของเหยาเยี่ยนอวี่กระตุกขึ้นมาในทันที จากนั้นนางเอ่ยถามเสียงค่อย “ข้าเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว จะให้ข้าไปเมืองหลวงทำสิ่งใดเล่า”
ชุ่ยเวยกดเสียงให้ต่ำลง “ครั้งนี้ อาการของคุณหนูใหญ่คงจะไม่ดีขึ้นแล้ว แต่ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวดองกับจวนโหวกลับไม่สามารถตัดขาดกันได้…”
“ไม่ใช่ว่ายังมีพี่สะใภ้ใหญ่หรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้ว ต่อให้พี่ใหญ่สิ้นใจไปแล้ว พี่สะใภ้ของครอบครัวท่านน้ายังคงเป็นคุณหนูลูกผู้ลากมากดีในจวนติ้งโหว ถึงจะเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันอย่างห่างๆ แต่ก็ถือว่าเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหวางและตระกูลเหยาต่างก็อยู่ในเจียงหนาน พี่คนโตก็ได้สมรสกับหลานสาวของท่านแม่ ตระกูลเหยาและตระกูลหวางเกี่ยวดองกันเยี่ยงนี้ ความสัมพันธ์ที่เป็นทองแผ่นเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางแตกแยกกันอยู่ดี
Related