องค์หญิงใหญ่หนิงหวาอ่านใบสั่งยาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นไปให้หมัวมัวคนสนิทของตน “สั่งให้คนไปหายาสมุนไพรตามใบสั่งยานี้เถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ลอบครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อวานที่หันหมิงชั่นบอกกับตนว่านางต้องการกำจัดรอยแผลเป็น แต่กลัวว่าจะเป็นเพียงคำพูดหลังจากมึนเมาของนางทว่าอาจจะไม่เอาจริงเอาจัง ดังนั้นตนจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ไม่ได้เอ่ยถึงมันอีก หลังจากนั่งไปสักพักก็เหยียดกายลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวคำอำลา “ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่เมื่อวานทรงต้อนรับหม่อมฉันเป็นอย่างดี เยี่ยนอวี่รบกวนทางจวนเป็นเวลาหนึ่งวันแล้ว จึงเป็นเวลาอันสมควรในการกลับไปแล้วเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาใคร่อยากเกลี้ยกล่อมให้นางอยู่ต่อ “ไหนๆ ก็พักอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันค่อยกลับไปก็คงไม่เป็นไรกระมัง”
เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมตัวน้อมคำนับ “เหตุเพราะเรือนกระจกในบ้านนาของหม่อมฉันปลูกพืชสมุนไพรที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศในเขตตอนเหนือ เพราะเป็นการทดลองปลูก ดังนั้นจึงต้องไปดูแลทุกต้นเป็นพิเศษ เมื่อวานก็พักอยู่ในจวนองค์หญิงใหญ่มาหนึ่งวันแล้ว ตอนนี้พอนึกถึงพืชพวกนั้นก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที เลยอยากจะรีบกลับไปดูแล จะได้ไม่เปล่าประโยชน์ในการเพาะเลี้ยงพืชพันธุ์พวกนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาคลี่ยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างแปลกคนเหลือเกิน ข้าก็รู้สึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าพืชสมุนไพรประเภทใดกันแน่ที่สามารถฉุดวิญญาณของเจ้าไปเยี่ยงนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ พลางทูลกลับ “เป็นพืชสมุนไพรซานชีที่ขนย้ายมาจากเขตตอนใต้ และยังมีพืชอีกหลากหลายชนิดที่มีสรรพคุณที่ช่วยห้ามเลือดเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาอุทานขึ้น “ซานชีเป็นพืชที่เลอค่า มันไม่เพียงแต่ล้ำค่าเพราะเป็นพืชโสมชนิดหนึ่ง และยังเป็นพืชที่เหมาะแก่การเพาะปลูกในเขตร้อนชื้น เฉกเช่นเขตตอนใต้ของแคว้น พื้นที่ที่พวกเราอาศัยอยู่นี้ ไม่เหมาะแก่การปลูกพืชล้ำค่าชนิดนี้แม้แต่น้อย ทว่าคนส่วนมากที่สร้างเรือนกระจกขึ้นมา ก็เพื่อที่จะเพาะปลูกพืชพันธุ์ที่แปลกประหลาด แต่เจ้ากลับเอาพืชสมุนไพรเหล่านี้มาเพาะปลูก เจ้าช่างเป็นคนที่คลั่งไคล้สมุนไพรจริงๆ!”
ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็หัวเราะตาม และบังเอิญตอนนี้หันซังเย่ว์เข้ามาทำความเคารพองค์หญิงใหญ่พอดี พอได้ยินเสียงหัวเราะของพวกนาง เขาจึงพึมพำขึ้น “ตำหนักเสด็จแม่ช่างครึกครื้นยิ่งนัก!”
หันหมิงชั่น เหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิง พวกนางทั้งสามคนพลันเหยียดกายลุกขึ้น และรอจนกว่าหันซังเย่ว์เดินเข้ามาตรงประตูเพื่อทำความเคารพกับองค์หญิงใหญ่ และกล่าวทักทายหันซังเกอ หลังจากนั้น หันหมิงชั่นก็กล่าวคำทักทายพี่รอง ซูอวี้เหิงก็ขานเรียกตามหันหมิงชั่นว่าพี่รอง ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่ขานเรียกหันซังเย่ว์ว่า ‘คุณชายรอง’ หันซังเย่ว์พลันยกมือขึ้น “คุณหนูเหยาไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร เชิญนั่งเถอะ”
พวกนางสามคนรอให้หันซังเย่ว์นั่งลงตรงด้านหลังแล้วค่อยนั่งลง หลังจากที่พูดคุยเล่นกันเพียงสองสามคำ เหยาเยี่ยนอวี่จึงกล่าวคำอำลาอีกครั้ง
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทอดถอนใจขึ้น “คุณหนูเหยารีบกลับบ้านเช่นนี้ เปิ่นกงก็ไม่อยากจะดึงรั้งไว้อีก” ขณะที่กล่าวขึ้น ก็สั่งการเฟิงเซ่าอิ่ง “เจ้าไปสั่งให้คนเตรียมรถม้า จากนั้นก็ขนเสื้อผ้าที่ข้าจะส่งมอบให้คุณหนูเหยาไปไว้ในรถม้า หลังจากที่คุณหนูเหยากินอาหารเที่ยงเสร็จ ก็ให้ชิงจือส่งคุณหนูเหยากลับไป”
เฟิงเซ่าอิ่งขานรับแล้วไปมอบหมายงานทันที ทางฝั่งองค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็เสวนากับบุตรของตน คุณหนูซูและคุณหนูเหยากันอย่างเพลิดเพลิน
ระหว่างที่สนทนากัน หันหมิงชั่นก็พูดถึงเรื่องที่นางอยากจะตามคุณหนูเหยาไปบ้านสวน และพูดถึงเรื่องที่นางอยากจะกำจัดรอยแผลเป็นบนใบหน้าของตนเอง เพราะเหตุนี้องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงอดกังวลใจไม่ได้ นางเลยเอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่ “สามารถผ่าตัดลบรอยได้จริงหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ทูลกลับ “เช่นนั้นเพคะ ผงวิเศษกับขี้ผึ้งสามารถเห็นผลได้ก็ต่อเมื่อเป็นแผลที่เพิ่งจะเกิดใหม่เท่านั้น ทว่าไม่อาจใช้ได้ผลกับรอยแผลเป็นเก่าเพคะ ถ้าหากองค์หญิงใหญ่ไม่ไว้วางใจ ก็สามารถไปที่สำนักหมอหลวงให้ผู้ชำนาญด้านการผ่าตัดมาทำการแทนได้เพคะ เยี่ยนอวี่แค่เอายาสองตัวนี้ไปช่วยในการรักษาครั้งนี้ก็พอเพคะ”
หันหมิงชั่นรีบกล่าวขึ้น “ลูกไม่ต้องการให้หมอไม่มีฝีมือพวกนั้นมารักษาเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาถอนหายใจพลางเปรยขึ้น “นี่ก็ถือว่าเป็นปมในใจของเปิ่นกงมาหลายปีเช่นกัน ครั้งนี้ก็คงต้องรบกวนคุณหนูเหยาอีกครั้ง! คุณหนูเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลหันและเปิ่นกงจริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันก้มตัวน้อมคำนับลง “องค์หญิงใหญ่กล่าวเกินจริงแล้วเพคะ”
เมื่อได้เวลามื้อเที่ยง สองพี่น้องหันซังเกอไม่ได้ออกจากตำหนัก ทว่าไปร่วมกินอาหารเที่ยงพร้อมกับองค์หญิงใหญ่ด้วย แต่แทนที่จะอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิง ทั้งสองพี่น้องไปนั่งโต๊ะอาหารที่อยู่ด้านล่างโต๊ะอาหารที่องค์หญิงใหญ่ทรงประทับอยู่
ตระกูลราชนิกุลมีกฎระเบียบอยู่มากมาย การที่ห้ามพูดคุยเสวนากันยามกินอาหารและยามนอนพักผ่อนถือเป็นเรื่องที่เคร่งครัดพึงปฏิบัติกันมาโดยตลอด
การกินอาหารมื้อนี้จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เงียบกริบ เหยาเยี่ยนอวี่ถูกองค์หญิงใหญ่รับสั่งให้ไปนั่งตรงที่นั่งด้านบน ทำให้นางเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม ทั้งร่างของนางนั่งอย่างไม่เป็นสุข ต่อให้มีอาหารเลิศรสวางอยู่ตรงหน้ามากเพียงใด ก็ไม่สามารถกินอย่างเอร็ดอร่อยได้ ไม่ง่ายเลยที่จะคอยจนกว่าองค์หญิงใหญ่วางตะเกียบลง เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบวางตะเกียบลงตามแล้วดื่มชาล้างปากทันที
หลังจากกินอาหารเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวคำอำลาอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงเอ่ยถามเฟิงเซ่าอิ่ง “ของเตรียมเสร็จหรือยัง”
เฟิงเซ่าอิ่งรีบทูลกลับ “เสด็จแม่วางใจเถอะเพคะ ทุกอย่างได้จัดเตรียมเสร็จแล้ว แล้วยังมีของๆ น้องหญิงรองก็ได้ขนใส่ในรถม้าแล้วเพคะ เหล่าแม่นมและสาวใช้ก็พร้อมที่จะติดตามไปปรนนิบัติรับใช้แล้วเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงปรารถนาที่จะให้เหยาเยี่ยนอวี่อยู่ต่อที่จวนองค์หญิงใหญ่ เพื่อทำการรักษาบาดแผลของบุตรีตนเอง ทว่าสุดท้ายก็ไม่สามารถเอ่ยขึ้นมาได้
แม้ความจริงนางคือองค์หญิงใหญ่ ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ใช่หมอหญิงในสำนักหมอหลวง นางไม่สามารถเอาตำแหน่งที่ตนเป็นองค์หญิงใหญ่มาบีบบังคับผู้อื่น อีกอย่างความรู้สึกของนางได้บอกว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นสตรีที่แตกต่างจากบุตรีขุนนางทั่วไปจริงๆ
นิสัยและท่าทีในการไปมาหาสู่กับผู้อื่นถือว่าดีเยี่ยม หากมองจากภายนอกแล้ว นางยังไม่เคยคิดจะไปล่วงเกินเรื่องของผู้อื่น ทว่าในความเป็นจริงแล้วนางก็ถือว่าทระนงตัว หากใครไม่ทำเรื่องที่ล้ำเส้นนาง นางก็ถือเป็นผู้ที่คบหาง่าย ภายนอกดูอ่อนโยนและมีจิตไมตรีเหมือนเป็นบุตรีอนุภรรยาที่ไม่ได้มีนิสัยเสีย ทว่าหากใครที่ล้ำเส้นนาง นางก็ไม่มีทางยอมให้คนผู้นั้นรังแกอย่างแน่นอน
การที่มีนิสัยเช่นนี้ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของผู้อื่นหรอก ทว่ากลับเป็นเรื่องที่น่าแปลกพิลึกที่องค์หญิงใหญ่หนิงหวาไม่ได้รังเกียจนางแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกว่านิสัยเช่นนี้ของนางนั้นยากที่จะพบเจอ
ใต้หล้านี้ ไม่ได้ขาดแคลนผู้ที่ชอบประจบประแจงและแอบอิงอำนาจของผู้มีอิทธิพล การที่นางเป็นองค์หญิงใหญ่ คนที่ชอบสรรหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะประจบสอพลอนางก็เยอะแยะถมเถไป คนพวกนั้น ตอนอยู่ต่อหน้าก็แทบจะก้มกราบลงตรงแทบเท้า ทว่าลับหลังกลับจะเอาดาบมาทิ่มแทงคน องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงมีพระชนมายุห้าสิบพรรษาแล้ว มีเรื่องอะไรบ้างที่ยังไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับคนเหล่านั้น คนอย่างเหยาเยี่ยนอวี่กลับทำให้นางรู้สึกวางพระทัยเสียมากกว่า
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงรับสั่งให้บุตรชายคนรองหันซังเย่ว์ไปส่งเหยาเยี่ยนอวี่และบุตรีของนางออกจากเมืองหลวงแล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านนาน้อยวัวจวู หันซังเย่ว์เลือกทหารสิบกว่านาย จากนั้นขี่ม้านำขบวนส่งน้องสาวและเหยาเยี่ยนอวี่ออกจากจวนองค์หญิงใหญ่ เพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองหลวง
หลังจากที่เพิ่งออกจากหน้าประตูจวนองค์หญิงใหญ่ที่ตั้งอยู่บนถนนเจินหวา ก็เห็นบุรุษที่สวมใส่เสื้อคลุมหนังสีเขียวกำลังขี่ม้ามา จากนั้นก็โบกมือให้กับหันซังเย่ว์จากที่ไกลๆ
หันซังเย่ว์โบกมือสั่งให้คนขับรถม้าหยุดรถม้า เสี่ยวซือคนสนิทของหันซังเย่ว์มาจูงบังเหียนม้าแล้วรอให้บุรุษคนนั้นเข้ามาใกล้พลางถามไถ่ขึ้น “เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไรถึงได้มาขวางทางรถม้าของคุณชายรอง”
บุรุษที่มาเยือนจึงรีบโค้งตัวให้กับหันซังเย่ว์ จากนั้นก็อธิบายขึ้นด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ “บ่าวนามว่าอู่ฝูจากจวนติ้งโหว ขอน้อมคารวะคุณชายรองขอรับ บ่าวได้รับคำสั่งจากฮูหยินน้อยสามให้เชิญคุณหนูเหยากลับจวน ในจวนมีเรื่องเร่งด่วน ขอคุณชายรองได้โปรดอำนวยความสะดวกให้ด้วยขอรับ”
หันซังเย่ว์ขมวดคิ้วไถ่ถาม “มีเรื่องเร่งด่วนอะไร ถึงได้ตามคนมาถึงที่นี่”
อู่ฝูจึงหายใจกระหืดกระหอบอีกสองที จากนั้นก็ขยับปากพูดขึ้น “บ่าว…บ่าวก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน อย่างไรฮูหยินน้อยสามบอกว่าต้องเชิญคุณหนูเหยากลับไปให้ได้ ฮูหยินน้อยสามบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คอขาดบาดตาย บ่าวไม่กล้าถามให้มากความ คุณชายรองได้โปรดช่วยเหลือด้วยขอรับ”
หันซังเย่ว์รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย จวนติ้งโหวจะมีเรื่องอะไรที่คอขาดบาดตาย ถึงกับต้องตามตัวเหยาเยี่ยนอวี่ให้กลับไปด้วยเลยหรือ หรือว่าฮูหยินน้อยสามผู้นั้นเกิดป่วยเป็นโรคร้ายอีกแล้ว? สุดท้ายหันซังเย่ว์จึงกระโดดลงจากม้าแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้ารถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็ทวนคำพูดของอู่ฝูขึ้นอีกครั้ง แล้วกล่าวขึ้นต่อ “จะให้ข้าส่งคุณหนูเหยากลับจวนติ้งโหวหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่เลิกม่านรถม้าแล้วพูดกับหันซังเย่ว์ “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนคุณชายรองแล้ว”
หันหมิงชั่นอยู่ในรถม้าคันเดียวกันกับเหยาเยี่ยนอวี่ พอได้ยินเช่นนี้จึงพูดขึ้น “ข้าไปกับเจ้า”
หันซังเย่ว์หันกลับไปเหลือบตามองอู่ฝูที่กำลังมีท่าทางกระวนกระวาย เขาคงจะทำได้เพียงเท่านี้ ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้คนขับเปลี่ยนทิศทางและมุ่งหน้าไปยังจวนติ้งโหว