เหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าประตูไป หู่พั่ววางถ้วยชาในมือลง แล้วเหยียดกายลุกขึ้นน้อมคำนับให้เหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเยี่ยนอวี่ผงกหัวพอเป็นพิธี จากนั้นก็พูดขึ้น “เจ้ารีบนั่งเถอะ เดินทางมาไกลเช่นนี้ คงจะลำบากน่าดู”
“บ่าวไม่ลำบากเจ้าค่ะ แค่เฝ้าคิดถึงฮูหยินน้อยสามและคุณหนูรองมากเกินไปเท่านั้น ตอนนี้ในจวนเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวาย ใบหน้าของฮูหยินและคุณชายสามต่างก็ยากที่จะเผยรอยยิ้มออกมา และตอนนี้ฮูหยินน้อยสามยังตั้งครรภ์ด้วย เฮ้อ!” ขณะที่หู่พั่วกล่าว ก็ถอนหายใจลึกยาวอย่างอดไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เหยาเฟิ่งเกอจึงพูดขึ้น “ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ที่นี่ยังสะดวกสบายกว่าที่จวนเสียอีก แล้วตอนนี้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
หู่พั่วกล่าวขึ้นอย่างเร่งรีบ “ต้องขอบคุณมืออันอัศจรรย์ของคุณหนูรองที่ช่วยชีวิตฮูหยินท่านซื่อจื่อเอาไว้ หมอหลวงบอกว่าแค่นางพักฟื้นตัวดีๆ อีกไม่นานก็คงจะหายดีแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า…ครั้งนี้ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส แค่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว วันข้างหน้านางคงไม่อาจตั้งครรภ์อีกต่อไป”
เหยาเยี่ยนอวี่ฟังคำพูดนี้ ในใจก็สะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที พอนึกถึงเฟิงฮูหยินน้อยมีเพียงบุตรีคนเดียวเท่านั้น หากวันข้างหน้าไม่อาจตั้งครรภ์มีบุตรอีก ชีวิตนี้เกรงว่าคงจะพบเจอแต่ความลำบาก เหยาเฟิ่งเกอเหมือนสามารถคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ได้แต่เนิ่นๆ จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ช่างมีชีวิตที่อาภัพยิ่งนัก!”
หู่พั่วพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ขมขื่น “ฮูหยินไม่ได้แย้มยิ้มมาหลายวันแล้วเจ้าค่ะ สีหน้าของท่านซื่อจื่อก็เย็นชากว่าเดิม แม้กระทั่งคุณชายสามยังถอนหายใจอย่างเศร้ารันทดทุกวัน”
เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ไปสักพัก แล้วเอ่ยถาม “แล้วตระกูลเฟิงว่าอย่างไรบ้าง”
“ฮูหยินตระกูลเฟิงมาเยือนด้วยตนเอง และความหมายของนางคืออยากจะปิดบังฮูหยินท่านซื่อจื่อเรื่องที่นางไม่สามารถตั้งครรภ์อีกต่อไปไว้เสียก่อน หลังจากที่รอให้นางพักฟื้นร่างกายให้ดีขึ้นจึงค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้เจ้าค่ะ สาวใช้ขั้นหนึ่งเฉินซินเองก็บอกแค่ว่าสถานที่ที่ฮูหยินท่านซื่อจื่อลื่นล้มถูกบ่าวไพร่สาดน้ำให้พื้นเปียก อีกทั้งบนพื้นอิฐสีเขียวมีน้ำแข็งก่อเป็นชั้นบางๆ ต้องมีคนถือโอกาสแอบปฏิบัติแผนการร้ายตอนกลางคืนแน่นอน เป้าหมายของคนผู้นั้นก็คือทารกเพศชายในครรภ์ของฮูหยินท่านซื่อจื่อ ตอนนี้ฮูหยินตระกูลเฟิงให้ฮูหยินของเราสืบหาบ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ใกล้ฮูหยินท่านซื่อจื่อ ฮูหยินเองก็ได้สั่งการให้ฮูหยินน้อยรองไปสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “เรื่องเช่นนี้ สืบหาความจริงแล้วจะทำอะไรได้ อย่างไรทารกในครรภ์ก็จากไปแล้ว อีกทั้งพี่สะใภ้ใหญ่เองก็เกือบจะสิ้นใจ ต่อให้สืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ทารกที่เสียไปจะสามารถฟื้นคืนชีพได้หรือ”
หู่พั่วถอนหายใจ “ใครว่าไม่ใช่ล่ะเจ้าคะ ฮูหยินตระกูลเฟิงก็แค่หาข้ออ้างที่อยากจะระบายความรู้สึกโกรธที่อัดอั้นในใจออกมาก็เท่านั้น”
เหยาเฟิ่งเกอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จา จึงกล่าวขึ้น “บางครั้งก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขที่บ้านได้ ไม่ใช่ว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างมั่นคงก็จะสามารถทำได้เลย วันนี้เจ้าก็รับฟังให้มากและครุ่นคิดให้รอบคอบ จะได้กลายเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ วันข้างหน้าหากออกเรือนแล้ว จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้มากๆ”
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังยิ้มอย่างขมขื่น และกำลังครุ่นคิดในใจว่า พี่ใหญ่กำลังจะให้ข้าร่ำเรียนประสบการณ์ชีวิตตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้น่ะหรือ
หลังจากนั้น หู่พั่วก็พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนติ้งโหว ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าเรื่องการแก่งแย่งชิงดีกัน ส่วนมากจึงเป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้น เหยาเยี่ยนอวี่ไม่มีใจที่อยากจะรับฟังอย่างยิ่ง ยังดีที่ซูอิ่งมาหานาง แล้วบอกว่าคุณหนูของนางรู้สึกคันตรงบาดแผล เหยาเยี่ยนอวี่จึงใช้ข้ออ้างนี้รีบลุกขึ้น หลังจากที่พูดคุยกับเหยาเฟิ่งเกอเพียงสองสามคำก็ออกจากเรือนไป
เมื่อหันหมิงชั่นเห็นว่านางมาแล้ว จึงแย้มยิ้มด้วยเสียงเบา “เจ้าฟังจนเบื่อแล้วใช่หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจ แล้วส่ายหัวอย่างจนใจ จากนั้นก็จงใจคลี่ยิ้มอย่างเสแสร้งทำเป็นทรมานออกมา
หันหมิงชั่นที่พิงอยู่บนตั่งไม้อุ่นพร้อมกับตบที่นั่งข้างกายตนเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น “มาพูดคุยกันที่นี่สิ”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงเดินเข้าไป จากนั้นก็นั่งลงข้างกายหันหมิงชั่น แล้วเอียงตัวไปพิงนางทันที พร้อมทั้งหลับตาทำสมาธิ
“เหนื่อยแล้วหรือ” หันหมิงชั่นยื่นมือไปดึงผ้าห่มผืนหนึ่งพลางคลุมลงบนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ จริงๆ แล้วในเรือนกำลังเผาไฟในเตาผิงอยู่ จึงไม่ได้รู้สึกเหน็บหนาวแม้แต่น้อย
เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำเสียงเบา “เหนื่อยใจ”
“ไม่ต้องคิดมาก” หันหมิงชั่นพูดด้วยเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าทุกจวนจะมีเรื่องที่ซับซ้อนเหมือนจวนติ้งโหว”
“อืม ข้ามองออก จวนองค์หญิงใหญ่จัดว่าดีทีเดียว” เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนร่างของหันหมิงชั่นด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นก็พูดจาไปตามน้ำ
“จริงหรือ เจ้าก็รู้สึกเช่นนี้ด้วยหรือ” หันหมิงชั่นคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
“สิ่งที่สำคัญคือองค์หญิงใหญ่เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม” เหยาเยี่ยนอวี่เปรยด้วยเสียงต่ำ
“เยี่ยนอวี่” หันหมิงชั่นขยับเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าชื่นชอบคนเช่นไร แล้วเจ้าจะออกเรือนกับคนเยี่ยงไรกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่หันข้างมองสีหน้าที่จริงจังของหันหมิงชั่น และไม่ได้ตอบกลับอย่างเร่งรีบ ทว่ากลับครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วกล่าวว่า “คนที่ข้าชื่นชอบ อย่างแรกคือเป็นคนเที่ยงธรรมกล้าหาญและมีความรับผิดชอบ ไม่สำคัญว่าจะมีเงินมากน้อยหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเงินนั้นต้องได้มาอย่างถูกต้อง เขาต้องเป็นคนดี อืม…ก็คือมีความกล้าหาญ อ่อนโยน เขาต้องชอบข้า สามารถยอมรับข้อบกพร่องและข้อด้อยทั้งหมดของข้า และเต็มใจที่จะทำตามใจข้า ถ้าหากว่าเขาไม่ชอบข้า ข้าก็ไม่คิดว่าตนเองจะยังคงชอบเขาได้ตลอดไป”
“นั่นก็แค่ ทั้งสองผูกใจรักมั่นเป็นหนึ่งเดียว” หันหมิงชั่นยิ้มพลางจิ้มหน้าผากของเหยาเยี่ยนอวี่ “เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เหตุใดเจ้าต้องเปลืองน้ำลาย แล้วพูดจาอ้อมค้อมให้มากความได้ถึงปานนี้ด้วยเล่า”
“อ๊ะ! ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมาก” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นนิ้วชี้ออกมา แล้วกำชับขึ้น “หากเขาสู่ขอข้า ชีวิตนี้นอกจากข้าตายจากไปก่อน ก็ห้ามแตะต้องหญิงอื่นอีก ไม่เช่นนั้น ข้าก็จะไม่แต่งงานกับเขา”
“นี่ก็หมายความว่าเขาไม่สามารถแต่งอนุภรรยาได้อย่างนั้นหรือ” หันหมิงชั่นถามด้วยความตกตะลึง
“มีเมียบ่าวก็ไม่ได้” เหยาเยี่ยนอวี่ขยับนิ้วมือไปมา แล้วพูดเพิ่มเติมด้วยความจริงจัง “เที่ยวหอคณิกาก็ไม่ได้”
“พู่ว…” คุณหนูรองตระกูลหันจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพุ่ง จากนั้นก็ยกมือจับบาดแผลของตน นางอดกลั้นอารมณ์ที่อยากหัวเราะจนหน้าแดง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะผลักเหยาเยี่ยนอวี่ออก พร้อมกับบ่นด้วยรอยยิ้ม “เอาเถอะ…เอาเถอะ ยัยตัวแสบคิดออกมาได้! พูดจาเหลวไหลไร้สาระจริงๆ !”
ทั้งสองคนเสวนากันอย่างเพลิดเพลิน ซูอิ่งและชุ่ยเวยที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านในจึงเลิกม่านขึ้นเพื่อสังเกตมอง เห็นเจ้านายทั้งสองเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนตั่งไม้อุ่น จึงทำให้สาวใช้ทั้งสองสะดุ้งตกใจ จากนั้นต่างคนต่างวิ่งไปพยุงตัวนายหญิงของตน
ซูอิ่งเห็นผมที่มวยไว้ของหันหมิงชั่นยุ่งเหยิง จึงถอนหายใจอย่างอดทนไม่ไหว “บนดวงหน้าของคุณหนูยังมีบาดแผลอยู่ แล้วยังทำเช่นนี้อีก หากไปสะกิดโดนจนบาดเจ็บแล้วจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้รู้สึกเจ็บตั้งนานแล้ว!” หันหมิงชั่นคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็ยื่นมือไปลูบจับผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผาก ทำให้ซูอิ่งถึงกับตกตะลึง
คุณหนูรองหันเป็นผู้ที่รู้จักกาลเทศะ และไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวเช่นนี้ แต่ก่อนตอนที่หันหมิงเยี่ยยังไม่ได้ออกเรือน พวกนางสองพี่น้องก็มักจะหยอกเล่นกันนานๆ ครั้ง
หลังจากที่หันหมิงเยี่ยออกเรือน และได้ติดตามสามีของตนไปทำงานต่างพื้นที่ และหลังจากที่ไทเฮาทรงสวรรคต คุณหนูรองหันก็ไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้มาเป็นเวลาปีสองปีแล้ว ภาพลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในของนางก็ดูเป็นคุณหนูที่สุภาพเรียบร้อย อ่อนโยนและสง่างามมาโดยตลอด
วันนี้จู่ๆ ก็มาหยอกเล่นกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างไม่รักษาภาพลักษณ์ที่สง่าผ่าเผยของตน กลับทำให้ซูอิ่งรู้สึกไม่คุ้นเคย
สาวใช้ทั้งสองจึงพยุงคุณหนูทั้งสองคนขึ้น จากนั้นก็เอาหวีมาจัดทรงผมที่มวยให้ดูเรียบร้อยอีกครั้ง อีกทั้งยังจัดระเบียบเสื้อผ้าของทั้งสองให้เรียบร้อยจนเสร็จ จึงจะรู้สึกสบายใจขึ้นมา
หู่พั่วอยู่กินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วค่อยจากไป ทีแรกตอนนางมาเยือนก็ไม่ได้คิดจะค้างคืนอยู่แล้ว จึงไม่ได้พกของใช้ส่วนตัวติดตัวมาด้วย อีกทั้งเหยาเฟิ่งเกอไม่อยู่ในจวน อย่างไรเสียเรื่องวุ่นวายภายในเรือนฉีเสียงก็คงไม่อาจไม่รอให้นางกลับไปสะสาง
พอเห็นสถานการณ์โดยรวมของจวนติ้งโหว เหยาเฟิ่งเกอก็ยิ่งสามารถพักอาศัยอยู่ในบ้านนาน้อยวัวจวูได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกมา ถึงแม้บ้านนาเล็กๆ นี้นางจะเป็นคนซื้อเอง ทว่า เหยาเฟิ่งเกอได้คืนเครื่องประดับทั้งหมดที่นางนำไปจำนำ เหยาเยี่ยนอวี่ได้เงินมาจากโรงรับจำนำ แต่เงินตำลึงพวกนั้นนางกลับเอาไปซื้อบ้านนาจนหมด และไม่มีเงินตำลึงคืนเหยาเฟิ่งเกออีกต่อไป อีกอย่างต่อให้นางมีเงิน เหยาเฟิ่งเกอก็คงไม่มีทางรับไว้แน่นอน แม้กระทั่งบ้านสวนมู่เย่ว์และบ่าวใช้พวกนั้น เหยาเฟิ่งเกอยังยกให้นาง แล้วพี่สาวของนางจะรับเงินตำลึงเพียงไม่กี่พันตำลึงเงินไว้ได้อย่างไร