“อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เหยาหย่วนจือพยักหน้าและไม่ได้ถามไถ่อะไรเพิ่มเติมอีก เดิมทีกลัวแค่ว่าหากฮ่องเต้ทรงถาม ตนเองควรจะตอบอย่างไรให้ถูกต้อง หากแม้กระทั่งสมุนไพรในสูตรปรุงยาก็ยังไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง แล้วถ้าเกิดตอบผิดขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องเล็ก
วันนี้พอได้ยินเยี่ยนอวี่อธิบายอย่างละเอียด จึงรู้สึกวางใจขึ้นมามาก ต่อให้ตนเองไม่รู้เรื่อง ผู้ที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็ต้องมีคนรู้เรื่องอยู่แล้ว แค่สูตรปรุงยาที่มีไม่ใช่ของปลอม ตนแค่มีหน้าที่ถวายให้กับผู้ที่อยู่เบื้องบนก็พอ สำหรับเรื่องที่ฮ่องเต้จะทรงนำสูตรปรุงยาไปตามหาหรือรวบรวมสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบของสูตรยานี้ นั่นคงไม่ต้องให้ตนคอยเป็นห่วง
หลายปีมานี้ เหยาหย่วนจือมัวแต่ยุ่งกับงานในราชสำนัก จิตใจของเขาจึงจดจ่ออยู่กับอนาคตของเขาเอง จึงไม่ได้ครุ่นคิดถึงกิจการทางการค้าพวกนั้นอีกต่อไป ทว่าเหยาเหยียนอี้ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาได้ยินสองพ่อลูกสนทนากัน ทันใดจึงมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา ฉะนั้นจึงมองเหยาเยี่ยนอวี่พลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
เหยาหย่วนจือเพิ่งจะเก็บสูตรปรุงยา ทันใดนั้น ข้างนอกก็มีคนเข้ามาส่งสาร “เรียนนายท่าน มีจดหมายส่งมาจากจวนติ้งโหว บอกว่าท่านโหวได้จัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับนายท่าน เชิญนายท่านไปร่วมงานด้วยขอรับ”
นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันเมื่อวาน จวนติ้งโหวกับจวนข้าหลวงนั้นเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันอย่างเป็นทางการ พอเหยาหย่วนจือเข้าเมือง ซูกวงฉงติ้งโหวต้องเป็นฝ่ายเชิญชวนด้วยตนเองตามหลักเหตุผลอยู่แล้ว
เหยาหย่วนจือพยักหน้า “ได้ ไปบอกผู้ที่มาแจ้งเรื่อง ข้าจะออกไปหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว”
เหยาเหยียนอี้พูดขึ้น “ท่านพ่อ ลูกยังต้องทบทวนตำราในจวน ขอไม่ติดตามท่านไปนะขอรับ”
“ก็ดี เจ้าตั้งใจอ่านทบทวนตำราของเจ้าให้ดี การสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์ที่จะถึง อย่างไรเจ้าก็ต้องสอบบรรจุให้ได้”
“ขอรับ ลูกจะตั้งใจสุดความสามารถขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเหยาหย่วนจือจะเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงลุกขึ้นพลางกล่าวอำลา จากนั้นก็เดินกลับเรือนที่พักของตน
เหยาหย่วนจือกลับรั้งนางไว้ “เจ้าก็ไปเยี่ยมเยียนพี่ใหญ่ของเจ้าหน่อยเถอะ สุขภาพร่างกายของนางไม่ดี เจ้าที่เป็นน้องสาวก็ต้องคอยลำบากหน่อย”
ต่อให้เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากไปมากเพียงใด เวลานี้คงทำได้เพียงน้อมคำนับตอบตกลง
ซูกวงฉงติ้งโหวจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหยาหย่วนจือที่จวนติ้งโหว เดิมทีได้มอบหมายให้ซูอวี้ผิงและซูอวี้เสียงคอยนั่งเป็นเพื่อนพูดคุยกับเหยาหย่วนจือ ทว่าก่อนที่เหยาหย่วนจือจะมาถึง อวิ๋นคุน หันซังเย่ว์และเว่ยจาง บุรุษทั้งสามคนนี้มาเยี่ยมเยียนโดยบังเอิญ ชายหนุ่มรูปหล่อและมากความสามารถมาเยือนถึงที่ เพียงแค่พวกเขาได้ข่าวว่าซูซื่อจื่อไม่ค่อยสบาย พวกเขาจึงนัดหมายกันมาเยี่ยมเยียน และบังเอิญมาเยือนพร้อมกับใต้เท้าเหยา
ในความเป็นจริง บนโลกใบนี้ยังมีอะไรที่บังเอิญกว่านั้นอีกหรือไม่ แท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงแผนที่หันซังเกอได้วางไว้ให้กับเว่ยจางตั้งแต่เนิ่นๆ เท่านั้น
เพราะไม่กี่วันก่อน หลังจากที่หันหมิงชั่นกลับจากบ้านนาน้อยวัวจวู หันซังเกอที่เป็นพี่ชายคนโตเห็นว่ารอยแผลเป็นบนใบหน้าของน้องสาวหายไปจริงๆ ทิ้งไว้แต่รอยสีขาวจางๆ เท่านั้น ภายในใจจึงรู้สึกดีใจ หลังจากที่ได้พูดคุยกับบิดามารดาและน้องชาย จึงได้เอ่ยชมทักษะทางการแพทย์ของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่หยุด เฟิงเซ่าอิ่งที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ นางย่อมไม่มีความสุขเป็นธรรมดา นางจึงคิดหาหนทางถอยเพื่อจะได้ก้าวต่อไป
ตกดึก หันซังเกอกลับเรือนไปก็เห็นเฟิงเซ่าอิ่งพลิกอ่านปฏิทินโหราศาสตร์ใต้แสงเทียน เพราะเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “มีการใหญ่อะไรต้องจัดเตรียมหรือ”
เฟิงเซ่าอิ่งวางปฏิทินโหราศาสตร์ลง จากนั้นก็ดึงสามีไปนั่งข้างๆ แล้วถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านซื่อจื่อรู้สึกว่าคุณหนูเหยาเป็นเช่นไร”
หันซังเกอต้องตอบว่าดีอยู่แล้ว เฟิงเซ่าอิ่งเลยคลี่ยิ้ม “ในเมื่อท่านซื่อจื่อก็โปรดปรานนาง น้องจะขอให้องค์หญิงใหญ่ไปสู่ขอนางกับใต้เท้าเหยา เพื่อสมรสนางเข้ามาเป็นฮูหยินรองของท่านซื่อจื่อดีหรือไม่”
หันซังเกอนิ่งงันแล้วถามพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น “ฮูหยินพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่พวกเราแต่งงานเป็นสามีภรรยากันมาสามปีกว่า และยังมีความรักที่ลึกซึ้งต่อกัน ไม่มีทางมีมือที่สามอยู่แล้ว เพียงแค่อยากให้ฮูหยินนึกถึงเกียรติของคุณหนูเหยา หากคำพูดเยี่ยงนี้ถูกป่าวประกาศออกมา จะให้คุณหนูเหยาวางตัวอย่างไร”
เฟิงเซ่าอิ่งแค่เอ่ยคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าหันซังเกอเท่านั้น นางจึงฝืนยิ้มออกมา “คำพูดนี้มีอะไรร้ายแรงเล่า ตามสถานะของคุณหนูเหยา หากได้กลายเป็นฮูหยินรองของท่านซื่อจื่อ ก็ไม่ถือว่าเป็นการเสียเกียรติของนางกระมัง”
หันซังเกอจ้องหน้าเฟิงเซ่าอิ่งไปสักพัก แล้วคลี่ยิ้มขึ้นทันที
เฟิงเซ่าอิ่งถูกรอยยิ้มของหันซังเกอทำให้รู้สึกประหม่า จากนั้นก็ยกมือลูบใบหน้าของตน แล้วถามขึ้น “ท่านพี่ยิ้มอันใดเจ้าคะ”
หันซังเกอยกมือจับติ่งหูของภรรยา แล้วหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าแค่หัวเราะคนบางคนที่กำลังหึง และหึงขั้นรุนแรง ทว่าแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เฟิงเซ่าอิ่งรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก แล้วพึมพำขึ้น “น้องก็แค่หวังดีกับท่านพี่ ท่านพี่กลับหัวเราะเยาะน้อง”
“ไม่ได้หัวเราะเยาะ แค่หัวเราะเพราะดีใจจากใจจริงต่างหาก” หันซังเกอจับมือเฟิงเซ่าอิ่งไว้ แล้วลูบเบาๆ “วันข้างหน้าอย่าเอ่ยคำพูดโง่ๆ เยี่ยงนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินรอง ไม่ว่าจะเป็นอนุภรรยา ข้าไม่ต้องการทั้งนั้น ข้ามีเจ้าก็เพียงพอแล้ว”
“ท่านซื่อจื่อ…” เฟิงเซ่าอิ่งลุ่มหลงในคำพูดที่แสดงถึงความรักของเขาจนวิงเวียนศีรษะ ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวทันที
“ดูเจ้าสิ แค่นี้ก็ร้องไห้แล้วรึ” หันซังเกอยิ้มพลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาตรงแก้มของนาง “ข้าติดตามท่านพ่อไปออกรบ แล้วปล่อยให้เจ้าเฝ้าเรือนอ้างว้างตามลำพัง แค่นั้นภายในใจของข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว วันนี้ข้ากลับมา ก็เพื่อที่จะดูแลและใส่ใจเจ้าเป็นอย่างดี”
“แต่ว่า…คุณหนูเหยาเสียชื่อเสียง เพราะทำการรักษาแผลให้กับท่านพี่ แล้วยังถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ ฮูหยินน้อยสามแห่งจวนติ้งโหวก็มาร้องทุกข์กับน้อง น้องเองก็รู้สึกว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ก็มาจากพวกเรา พวกเราควรที่จะจัดการปัญหานี้ให้กับคุณหนูเหยา” เฟิงเซ่าอิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก็เริ่มหมองเศร้าอีกครั้ง
หันซังเกอจับมือของภรรยาไว้ แล้วพูดขึ้น “พวกเขาต้องได้รับการแก้ปัญหาจากพวกเรา ทว่าวิธีการกลับไม่ใช่ดั่งที่เจ้าคิด ท่านแม่ก็ตอบตกลงว่าจะเป็นแม่สื่อให้กับคุณหนูเหยาและเว่ยจาง ถึงแม้ตอนนี้สถานการณ์ดำเนินไปอย่างผิดคาดเล็กน้อย ทว่า…ก็ย่อมมีทางแก้ไข”
เฟิงเซ่าอิ่งได้ยินเช่นนี้ ภายในใจจึงรู้สึกร่าเริงขึ้นมาทันที ทว่ากลับถามด้วยความกังวลใจ “ผิดคาดอย่างไร แม่ทัพเว่ยไม่ยินยอมหรือ แท้จริงแล้ว วันนั้นตอนที่คุณหนูเหยารักษาท่านพี่จนหมดสติไป แม่ทัพเว่ยยังเป็นคนอุ้มนางกลับเซียงฝัง”
หันซังเกอคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ใช่ว่าเว่ยจางไม่ยินยอม กลับเป็นคุณหนูเหยาที่ไม่ยินยอม”
เฟิงเซ่าอิ่งจึงพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง พวกท่านจะสะดวกถามนางได้อย่างไร ต่อให้นางยินยอม ปากก็คงไม่มีทางพูดอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นนางจะถูกมองว่าเป็นสตรีเยี่ยงไร เรื่องนี้จำต้องไปหารือกับบิดาของนางถึงจะถูก”
“ข้าก็เห็นว่าเป็นเช่นนี้” หันซังเกอคลี่ยิ้ม “เหยาหย่วนจือใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว ถึงเวลาพวกเราก็หาโอกาสไปพบปะกับเขา”
เฟิงเซ่าอิ่งพยักหน้า “อืม เรื่องนี้ต้องครุ่นคิดอย่างละเอียด ได้ยินมาว่าเหยาหย่วนจือผู้นั้นเป็นผู้ที่ชาญฉลาดยิ่งนัก”
“ฮูหยินวางใจเถอะ เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่นอน” หันซังเกอรู้สึกว่าการไปสู่ขออย่างกะทันหันคงจะไม่เหมาะสม จึงคิดใคร่ครวญว่าควรสรรหาวิธีใดในการพบปะกับเหยาหย่วนจืออย่างเหมาะสมดี ก่อนอื่นก็ควรที่จะพิจารณาน้ำเสียงของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองท่านนี้ว่ามีข้อคิดเห็นอย่างไร
ในวันถัดไป อวิ๋นคุนก็มาพูดถึงซูอวี้ผิงว่า จิตใจของเขาหมองเศร้าเหตุเพราะฮูหยินของเขาแท้งบุตรทำให้มีสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ผิดปกติและป่วยหนักมาหลายวัน พวกเขาที่เป็นญาติมิตรกันอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นสหายรบที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน จึงสมควรที่จะไปปลอบโยนและให้กำลังใจเขา เรื่องที่เกิดขึ้นเผอิญตรงกับความคิดภายในใจของหันซังเกอพอดี ดังนั้นเขาจึงสั่งคนตามเว่ยจางมาที่จวน
หลังจากเว่ยจางได้ยินว่าเขาต้องไปจวนติ้งโหว จึงไม่ได้มีท่าทีที่อยากจะคัดค้านใดๆ จากนั้นก็ได้ตอบตกลง หันซังเกอเองได้แอบถามเขาอีกครั้ง “เจ้ายังคงหมายปองคุณหนูเหยาอยู่หรือไม่”
เว่ยจางหัวเราะเสียงเรียบ “เห็นข้าเป็นคนที่ไม่เอาแน่เอานอนเช่นนั้นเลยหรือ”
“เช่นนั้นก็ดี” หันซังเกอตบไหล่ของเว่ยจางแล้วคลี่ยิ้ม “ได้ข่าวว่าวันพรุ่งนี้จวนติ้งโหวจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหยาหย่วนจือ พวกเราก็ถือโอกาสไปร่วมเพลิดเพลิน เจ้าว่าดีหรือไม่”
เว่ยจางรู้ตั้งนานแล้วว่าเหยาหย่วนจือจะเข้าเมืองมารายงานราชการที่ได้รับมอบหมาย แม้กระทั่งเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงตรัสกับเหยาหย่วนจือ เขายังรู้ทุกอย่างอย่างกระจ่างแจ้ง ตอนนี้เขาก็กำลังครุ่นคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไรไปพบปะกับข้าหลวงปกครองสองเมืองท่านนี้อย่างไร ในตอนนี้เขากับหันซังเกอได้มีความคิดที่พ้องกันโดยบังเอิญ ฉะนั้นเขาจึงกำหมัดแล้วชกหันซังเกอเบาๆ แล้วหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ