เหยาเฟิ่งเกอเดินไปตรงหน้าของซูกวงฉงและเหยาหย่วนจือ จากนั้นย่อตัวลงต่ำเพื่อทำความเคารพ
ซูกวงฉงจึงพูดขึ้น “น้องเหยา วันนี้เวลาเร่งรีบเกินไป เดิมทีก็ควรเชิญเจ้าพักอยู่ที่นี่ กลางคืนพวกเจ้าสองพ่อลูกจะได้มีเวลาพูดคุยกัน”
เหยาหย่วนจือมองบุตรีที่ตอนแรกใกล้จะสิ้นใจ พอมาวันนี้สีหน้ากลับดูมีชีวิตชีวา จึงคลี่ยิ้มด้วยความดีใจ “ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด บุตรีคนนี้ของข้าถูกตามใจมากไปหน่อย ปกติจึงไม่ค่อยมีมารยาท ท่านโหวขอให้ฮูหยินสั่งสอนนางหน่อยก็พอ ท่านโหวและฮูหยินมีชื่อเสียงที่ดี แค่ข้าเหยาหย่วนจือได้มอบบุตรีให้กับคุณชายสาม ก็รู้สึกไว้วางใจอย่างมากแล้ว”
ซูกวงฉงรีบคลี่ยิ้ม “น้องเหยาพูดจาเกรงใจเกินไปแล้ว”
ต่อให้เหยาหย่วนจือมีอะไรจะพูด ทว่าก็ไม่อาจพูดต่อหน้าซูกวงฉง จึงแค่คลี่ยิ้ม แล้วกำชับไปสองสามคำกับเหยาเฟิ่งเกอ “จงอย่าลืมปฏิบัติตัวตามคุณธรรมของสตรี ปรนนิบัติรับใช้พ่อสามีดีๆ ต่อให้เจ้าตั้งครรภ์ก็ไม่ควรละเลย จำได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ลูกจดจำคำสอนของท่านพ่อไว้แล้วเจ้าค่ะ” เหยาเฟิ่งเกอโน้มตัวลง แล้วตอบกลับด้วยความเคารพ
“ดี เจ้าจำได้ก็ดี” เหยาหย่วนจือพูดไป ก็หันไปคารวะให้กับซูกวงฉง “ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา ท่านโหวส่งข้าที่นี่ก็พอ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
“น้องเหยาเชิญ วันหลังหากมีเวลาว่าง พวกเราค่อยมาสนทนากันอีก” ซูกวงฉงพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี
“ขอรับ ขอรับ” เหยาหย่วนจือคลี่ยิ้มพยางพยักหน้า จากนั้นก็หันไปกล่าวอำลาอวิ๋นคุน
อวิ๋นคุนแค่ตอบกลับอย่างพอเป็นพิธี เขาไม่ได้สนใจข้าหลวงเหยาปกครองสองเมืองอย่างเหยาหย่วนจือเลย ตอนนี้เขากำลังจดจ่อกับคุณหนูรองตระกูลเหยาที่อยู่ห่างจากเขาเพียงสิบกว่าก้าว
น้องสาวของเขาหมายปองเว่ยจาง ทั้งอวิ๋นคุน เฉิงอ๋องและภรรยาของเขาต่างก็ไม่เห็นด้วย อวิ๋นเหยามีฐานะเป็นจวิ้นจู่ที่สูงศักดิ์ เรื่องงานสมรสห้ามปล่อยปะละเลยเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ถึงแม้นิสัยใจคอของเว่ยจางจะดูไม่เลว ฐานะและตำแหน่งของเขาก็ไม่ใช่ปัญหา ทว่าอย่างไรเขาก็ต้องออกรบสังหารศัตรูอยู่ดี
อวิ๋นคุนเคยเข้ารับตำแหน่งอยู่ในค่ายทหาร จึงทราบดีว่าในสนามรบนั้นอันตรายเพียงใด ตอนแรกอาจจะยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและดูมีชีวิตชีวา ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียว ร่างอาจจะถูกฝังเคียงคู่กับม้าคู่ใจก็ได้ ถึงแม้จวิ้นจู่ของราชวงศ์ต้าอวิ๋นจะสมรสอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าเฉิงอ๋องและภรรยา และอวิ๋นคุนก็ไม่หวังว่าอวิ๋นเหยาจะมีเส้นทางชีวิตเช่นนั้น
เดิมทีเหยาหย่วนจือก็เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่แล้ว แล้วยังมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์อีก ดังนั้นจึงไม่ได้ขี่ม้ามา แต่นั่งรถม้ามาแทน เวลานี้ก็กลัวว่าเขาจะดื่มสุรามึนเมาจนเดินไม่นิ่ง จึงสั่งให้บ่าวที่ติดตามมาเตรียมรถม้าคันหนึ่งไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่มองบิดาขึ้นรถม้าจากที่ไกลๆ และนางก็หันหลังเดินไปที่รถม้าของตนเอง ชุ่ยเวยรีบเดินขึ้นไปเลิกม่านรถม้า จากนั้นก็เอาแท่นไม้เตี้ยมาวางตรงหน้ารถม้าด้วยท่าทีที่เคารพ
อวิ๋นคุนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงขยับนิ้วมือขึ้น และไม่รู้ว่าเขาไปแอบจับก้อนหินขาวโพลนขนาดเล็กไว้ในมือตั้งแต่เมื่อใด พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จับมือของชุ่ยเวยแล้วกำลังเหยียบแท่นไม้ขึ้นไปโดยเท้าข้างหนึ่งกำลังก้าวขึ้นไปบนรถม้า อวิ๋นคุนจึงหันไปมองเว่ยจางที่อยู่ข้างๆ ที่กำลังจับจ้องคุณหนูเหยาอยู่ จากนั้นจึงกระตุกมุมปากคลี่ยิ้มอันร้ายกาจออกมา ทันใดนั้น นิ้วมือจึงดีดออก
ก้อนหินขาวโพลนพุ่งไปตรงส้นเท้าของม้าสีนิลที่ลากรถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่ ม้าสีนิลจึงสะดุ้งตกใจทันที ทันใดนั้นมันเลยกระโดดและร้องขึ้น ทำให้รถม้าส่ายไปส่ายมาอย่างรุนแรง เหยาเยี่ยนอวี่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงไม่มีอะไรให้ยึดจับ นางร้องอุทานด้วยความตกใจ และหงายหลังลงมา
ชุ่ยเวยจึงขานเรียกด้วยความสะดุ้งตกใจ “คุณหนู!” แล้วนางกำลังจะเข้าไปรับเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่านางที่เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งแล้วจะรับคุณหนูที่ล้มลงมาจากรถม้าไหวได้อย่างไร
“ระวัง!” ขณะเดียวกันก็มีเสียงทุ้มต่ำร้องขึ้น เงาสีดำทะยานผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับประกายไฟ ร่างของเขาค้อมต่ำลงพลางนั่งยองๆ ลงบนพื้น จากนั้นก็ช้อนตัวเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ทันก่อนที่นางจะล้มลงบนพื้น
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ชุ่ยเวยเพิ่งจะล้มลงบนพื้นอย่างแรง เวลานี้นางพยายามลุกขึ้นอย่างอดกลั้นความเจ็บปวด จากนั้นเอ่ยถาม “คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง!” ในขณะเดียวกันนางก็รีบเดินเข้าไปหาเหยาเยี่ยนอวี่
“เยี่ยนอวี่!” เหยาเฟิ่งเกอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่หล่นจากรถม้ากับตา และรู้สึกตกใจจนหน้าซีดขาว หากไม่ใช่เพราะซูอวี้เสียงดึงรั้งนางไว้ทันเวลา นางก็คงจะวิ่งพุ่งเข้าไปช่วยแล้ว
“เยี่ยนอวี่!” เหยาหย่วนจือที่ขึ้นรถม้าก่อนจึงไม่เห็นฉากๆ นั้น ทว่าแค่ได้ยินเสียงม้าร้องพร้อมกับเสียงที่ขานเรียกอย่างตื่นตระหนกว่า “คุณหนูเหยา” “เยี่ยนอวี่” จึงรู้อย่างคร่าวๆ ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาจึงรีบลงจากรถม้าโดยทันที
คนมากมายกำลังวุ่นวายกับเรื่องที่มีคนล้มลงจากรถม้า เหยาเยี่ยนอวี่ที่รู้สึกตื่นตกใจจึงยังไม่ได้สติ และยังคงพิงอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนอย่างเหม่อลอย แม้กระทั่งภายในใจยังคิดว่าเหตุใดตนเองถึงไม่ถือโอกาสทะลุมิติอีกครั้ง
“คุณหนู! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!” ชุ่ยเวยเห็นเหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่กลางอ้อมกอดของแม่ทัพติ้งหย่วนและไม่พูดไม่จา นางเองถูกทำให้ตกใจจนเกือบร้องไห้ออกมา
“คุณหนูเหยา?” เว่ยจางที่คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่บนพื้นและกำลังกอดเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ ทีแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เหตุเพราะนางยังไม่ได้ล้มลงบนพื้น แล้วจะเกิดเรื่องอะไรได้อย่างไร ทว่าคนในอ้อมกอดสีหน้ากลับซีดเซียวและไม่พูดไม่จา แค่จ้องมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ไม่แม้แต่กะพริบตา เขาจึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
เว่ยจางเรียกเหยาเยี่ยนอวี่อีกครั้ง ทว่ากลับไม่เห็นเหยาเยี่ยนอวี่ตอบสนองใดๆ เขาจึงขยับศีรษะของนางให้พิงอยู่ตรงไหล่ของตน และมืออีกข้างก็ตบหน้าของนางเบาๆ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูเหยา? เจ้าเป็นอะไรไป”
เหยาเยี่ยนอวี่พยายามหลับตาลง แล้วถอนหายใจออกลากยาว จากนั้นก็ยกมือปัดมือข้างหนึ่งที่กำลังตบหน้าตนเอง หรือแม้กระทั่งพูดได้ว่ากำลังลูบใบหน้าของนางออก จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นไร”
เวลานี้เหยาหย่วนจือและเหยาเฟิ่งเกอก็เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว เหยาเฟิ่งเกอเห็นน้องสาวถูกเว่ยจางกอดไว้ จึงรู้สึกไม่เหมาะสม จากนั้นก็ขมวดคิ้วออกคำสั่งผัวจื่อที่อยู่ข้างๆ “รีบไปพยุงน้องรองข้าขึ้นรถม้า!”
หลี่หมัวมัวรีบพาผัวจื่อสองคนเดินเข้าไปพยุงคนให้ลุกขึ้น เว่ยจางกลับไม่สนใจ จากนั้นก็ช้อนตัวนางอุ้มพลางลุกขึ้น แล้วหันหลังเดินไปตรงหน้ารถม้า พร้อมเหลือบตามองคนขับรถม้าที่กำลังดึงบังเหียนม้าด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงเพียงแวบหนึ่ง แล้วอุ้มนางขึ้นไปวางไว้ในรถม้า พร้อมพยุงศีรษะของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเบามือ เพื่อให้นางพิงอยู่บนผนังรถม้า แล้วถามขึ้น “คุณหนูเหยา เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณท่านแม่ทัพเว่ยเป็นอย่างมาก”
เหยาเฟิ่งเกอเห็นเว่ยจางทำทีท่าที่ไม่เหมาะสม ภายในใจจึงไม่พอใจยิ่งนัก จากนั้นก็หันไปมองบิดา ใบหน้าของเหยาหย่วนจือดูมืดมนยิ่งนัก บุตรีของเขาถูกชายแปลกหน้าคนหนึ่งโอบกอดในที่สาธารณะ แล้ววันข้างหน้าเขาที่เป็นข้าหลวงเหยาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
พอเห็นสีหน้าของบิดา เหยาเฟิ่งเกอคาดเดาความในใจของบิดาออก ดังนั้นจึงหันไปตวาดใส่หลี่หมัวมัวอย่างโมโห “ยังจะชักช้าอยู่อีก?! รีบไปดูแลคุณหนูรองสิ!”
หลี่หมัวมัวไม่กล้าทำตัวชักช้าอีกต่อไป จึงรีบเดินเข้าไปเบียดอยู่ด้านหน้าของเว่ยจาง แล้วพยายามเผชิญกับสายตาที่เฉียบคมราวกับคมดาบของแม่ทัพเว่ย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างหน้าด้านๆ “ขอบคุณท่านแม่ทัพเป็นอย่างสูง ให้บ่าวดูแลคุณหนูของพวกบ่าวเถอะเจ้าค่ะ”
เว่ยจางถอยออกมาโดยไม่พูดไม่จา เพื่อหลีกทางให้หลี่หมัวมัว
ชุ่ยเวยวิ่งเข้ามาหาเหยาเยี่ยนอวี่ทั้งน้ำตา จากนั้นก็จับมือของเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ พร้อมกับเอ่ยถาม “บ่าวไม่ดีเองที่ไม่ดูแลคุณหนูให้ดี บ่าวสมควรตาย…คุณหนูรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง กระแทกโดนส่วนไหนบ้างเจ้าคะ”
ซูกวงฉงหันไปสั่งพ่อบ้านที่อยู่ข้างกาย “ไปเชิญหมอหลวงมาดูอาการคุณหนูเหยาเร็ว”
ต่อให้เหยาหย่วนจือจะรู้สึกโกรธเคืองมากเพียงใด แต่ก็ต้องเดินเข้าไปกล่าวขอบคุณเว่ยจาง “ขอบคุณท่านแม่ทัพเว่ยที่ยื่นมือมาช่วยชีวิตบุตรีของข้าไว้”
เว่ยจางคลี่ยิ้มบางๆ แล้วทำมือคารวะอย่างมีมารยาท “ใต้เท้าเหยาเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ออกแรงเหมือนยกมือข้างหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างคุณหนูเหยาเป็นผู้มีบุญคุณของพวกเรา ข้าไม่สามารถนิ่งดูดายแล้วปล่อยให้นางตกลงจากรถม้าได้”