“ดังนั้น พี่ชายเลยอยากจะหารือเรื่องนี้กับเจ้า” เหยาเหยียนอี้พูดขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้นต่อ “พี่รองเชิญพูดเจ้าค่ะ แค่เรื่องที่เยี่ยนอวี่ทำได้ ก็จะทำเพื่อพี่รองอย่างสุดความสามารถ”
“ข้าคิดว่า หลังจากที่เอาสูตรปรุงยานี้ไปถวายให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็คงรับสั่งให้สำนักหมอหลวงไปซื้อยาสมุนไพรเหล่านั้นมา ทว่าคนเหล่านั้นในสำนักหมอหลวงไม่รู้จักยาสองชนิดนี้ ก็ต้องมาถามเจ้าถึงที่แน่นอน การจัดหาวัสดุยาเป็นปัญหาร้ายแรง จะให้ราคาถูกกว่าคนอื่นไม่ได้”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้พี่รองคนนี้ของนางกำลังจะเอาสูตรยานี้ของตนไปทำเงิน ดังนั้นจึงแย้มยิ้มขึ้น “เรื่องนี้ง่ายยิ่งนัก ข้าแค่วาดลักษณะของหญ้าห้ามเลือดและดักแด้ดินออกมา แล้วเขียนจุดเด่นและรายละเอียดของพวกมันให้พี่รอง พี่รองก็แค่เอามันไปให้ผู้ที่น่าเชื่อถือจัดการก็พอแล้ว”
“ยัยเด็กโง่ ใต้หล้านี้ นอกจากญาติของตนเองแล้วจะมีใครที่น่าเชื่อถืออีก?” เหยาเหยียนอี้ยิ้มบางๆ “เจ้ามีความจริงใจเช่นนี้ ไม่กลัวหรือไรว่าภาพที่เจ้าวาดออกมาจะไปตกอยู่ในมือของผู้อื่น?”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป และไม่สามารถคาดเดาว่าเหยาเหยียนอี้กำลังหมายความว่าอะไรทันทีทันใด ตามหลักความเป็นจริงแล้ว เขาควรจะดีใจที่ตนได้รับข้อมูลเป็นคนแรกหรือเปล่า!
“น้องสาวยังเด็ก และยังเป็นบุตรีที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจ จึงไม่เข้าใจการงานทั่ว ไป ก็ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว วันนี้พี่มาหาน้อง ก็แค่ต้องการให้พวกเราสองพี่น้องร่วมมือกัน แล้วต่างคนต่างหาเงินเก็บส่วนตัวของตนเอง น้องสาวเข้าใจหรือยัง”
เหยาเยี่ยนอวี่เปรยขึ้นในใจ พี่ชายคนนี้ถือว่าไม่เลว! อยากจะหาเงินเก็บส่วนตัวแล้วยังคิดถึงตนเองอีก? ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างเก้อเขิน แล้วพยักหน้า “เยี่ยนอวี่เข้าใจสิ่งที่พี่ชายพูดทั้งหมดแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” เหยาเหยียนอี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นี่ก็ดึกมากแล้ว วันนี้เจ้ายังเจอเรื่องที่ทำให้ตื่นตกใจอีก รีบพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันหากได้รับข่าวสารอะไรเพิ่มเติม ข้าจะมาหาเจ้าเอง” ขณะที่พูด เขาก็เหยียดกายลุกขึ้น
“พี่ชายค่อยๆ เดินกลับนะเจ้าคะ” เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้นส่งเขา
“อืม เจ้าส่งแค่นี้ก็พอ” เหยาเหยียนอี้จัดแขนเสื้อของตน แล้วค่อยๆ เดินออกไป
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดบางอย่างสักพัก สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบอะไร จึงสั่งให้ชุ่ยเวยมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตน แล้วก็ขึ้นเตียงนอนหลับอย่างสงบสุข
สองวันผ่านไป เหยาหย่วนจือถูกฮ่องเต้รับสั่งให้เข้าพบอีกครั้ง
หลังจากกลับมาก็ได้ผลสรุปว่า ฮ่องเต้ทรงตรัสว่าอยากจะให้ย้ายเหยาหย่วนจือกลับมารับตำแหน่งที่เมืองหลวง ทว่าที่ผ่านมาเจียงหนานและเจียงซีคือยุ้งฉางของแคว้น เหยาหย่วนจือรับตำแหน่งที่นั่นมาหลายปี และจวบจนถึงวันนี้ สถานการณ์ของที่นั่นก็เต็มไปด้วยความสงบสุข ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่มีตัวเลือกของข้าหลวงปกครองสองเมืองคนใหม่ที่ดีที่ทรงโปรดปราน ดังนั้นจึงให้เหยาหย่วนจือกลับไปรับตำแหน่งต่ออีกหนึ่งปี อีกทั้งฮ่องเต้ยังทรงรู้ว่าบุตรชายคนรองของเหยาหย่วนจือจะเข้าร่วมการคัดเลือกขุนนางในช่วงวสันต์นี้ด้วย จึงได้ให้คำมั่นสัญญาว่า แค่เหยาเหยียนอี้ได้ตำแหน่งในการสอบที่ดี ฮ่องเต้จะทรงพิจารณาว่าจะมอบหมายภารกิจที่เหมาะสมให้กับเขา
สองเมืองที่ข้าหลวงใหญ่ปกครองเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง และก็เป็นแผ่นดินที่ห่างไกลจากอำนาจการปกครองของฮ่องเต้ พอจากเมืองหลวงไปเขาก็ถืออำนาจสูงสุด หากถูกเรียกตัวกลับมารับตำแหน่งที่เมืองหลวง ขุนนางลำดับสองเฉกเช่นเขาในเมืองหลวงอวิ๋นหาได้ถมเถไป แม้กระทั่งเหล่าอ๋อง กง โหวและปั๋ว ยังไม่ได้ทำการใดที่สำคัญ แล้วจะถึงตาเขาเหยาหย่วนจือได้อย่างไร
อีกทั้งการอยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ เขาคงต้องอยู่ข้างกายของเสือทั้งวัน และเพียงคำๆ เดียวที่เขากล่าวก็อาจจะผิดใจฮ่องเต้ โทษฐานที่เบาที่สุดก็คงจะถูกปลดตำแหน่ง และโทษที่หนักที่สุดก็อาจจะถูกล้างผลาญทั้งตระกูล เหยาหย่วนจือจึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นพลันคุกเข่าแล้วขานคำว่าทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นๆ ปี พระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ กระหม่อมจะปฏิบัติงานอย่างจงรักภักดีและจะไม่หวังผลตอบแทนใดๆ พ่ะย่ะค่ะ
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินข่าวนี้จึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก ทีแรกนางนึกว่าครั้งนี้คงได้กลับเจียงหนานกับบิดาของตนแล้ว แม้ว่าเมืองอวิ๋นจะเจริญรุ่งเรืองมาก และก็มีพี่น้องที่แสนดีสองคนคือ หันหมิงชั่นและซูอวี้เหิง แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่ชอบเพราะความผิดพลาดต่างๆ มีมากเกินไป
ทว่านึกไม่ถึง พอเหยาหย่วนจือแค่เริ่มเอ่ยถึง ก็บอกให้นางอยู่ต่อที่นี่ “ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดถึงเจ้ามาก และเคยบอกว่าหากข้าได้กลับไปรับตำแหน่งที่เจียงหนานต่อ ก็ให้พาเจ้ากลับไปด้วย ทว่าพี่สาวของเจ้ายังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ในจวนโหวก็มีเรื่องของฮูหยินท่านซื่อจื่อเกิดขึ้น ทุกครั้งที่ข้าครุ่นคิดถึง ก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ โชคดีที่เจ้าล่วงรู้วิชาการแพทย์ เจ้าจึงต้องอยู่ที่นี่ เพื่อรอให้พี่สาวของเจ้าคลอดบุตรออกมาอย่างราบรื่น แล้วเรื่องนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่เถอะ อีกอย่าง พี่รองของเจ้าก็จะอยู่ต่อที่นี่ เพื่อที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์ในปีหน้า เขาจะได้อยู่ดูแลเจ้าไปด้วย”
เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงันทันที นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้
เหยาหย่วนจือมองนางครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยถาม “ทำไมหรือ เจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ” ต่อให้ไม่อยาก ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ก็ต้องเชื่อฟังและทำตามอยู่ดี หากไม่เชื่อฟังแล้วจะทำเช่นไร ในสายตาของบิดา บุตรีอนุภรรยาย่อมไม่ได้เป็นที่โปรดปรานเหมือนบุตรีภรรยาเอกอยู่แล้ว การรักษาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวดองเป็นญาติกับติ้งโหวให้มีความมั่นคง ถือเป็นข้อกำหนดพึงกระทำของข้าหลวงเหยา
อีกอย่าง เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้ดี หากเหยาเฟิ่งเกอเกิดอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้นมา เกรงว่านางคงยากที่จะหลุดพ้นจากชะตากรรมชีวิตที่ต้องตกเป็นจี้ซื่อของซูอวี้เสียง ดังนั้น การเชื่อฟังเป็นสิ่งที่ดี จะได้หลีกเลี่ยงการประสบความสูญเสียทั้งสองฝ่าย
หลังจากเหยาหย่วนจือจัดการทุกอย่างแล้ว เขาก็เตรียมตัวกลับเจียงหนาน อย่างไรเวลานี้เป็นช่วงเวลากลางเดือนสิบสอง เขายังต้องรีบกลับไปฉลองตรุษจีนกับฮูหยินผู้เฒ่า
เหยาเฟิ่งเกอจึงถือโอกาสไปเยือนที่จวน ถึงแม้นางจะตั้งครรภ์ได้ไม่กี่เดือน ทว่าบิดาจะกลับเจียงหนานแล้ว นางยังมีหลายเรื่องที่ไม่ได้แจ้งให้บิดาทราบ อีกทั้งสองพ่อลูกกว่าจะได้เจอกันทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ต่อให้กำลังตั้งครรภ์ก็จำต้องไป
ซูอวี้เสียงจึงไปพร้อมกับเหยาเฟิ่งเกอ หลังจากที่เข้าประตูก็ทำความเคารพพ่อตาก่อน หลังจากที่พูดคุยกันไปไม่กี่คำ และจิบชาไปหนึ่งถ้วย ก็บอกว่าหลังเที่ยงตนเองมีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการ ราวๆ ยามเซินจะมารับภรรยากลับไป เหยาหย่วนจือจึงไม่ได้รั้งเขาไว้ แค่สั่งให้เหยาเหยียนอี้ส่งเขาออกไป
ในเรือนจึงเหลือเพียงสองพ่อลูก เหยาเฟิ่งเกอเอาเกิงเถี่ยที่ตนเลือกสี่ห้าใบออกมา “ท่านพ่อ เยี่ยนอวี่อายุก็ไม่น้อยแล้ว ควรที่จะเลือกคู่ครองให้นางได้แล้ว นี่เป็นเกิงเถี่ยของเหล่าคุณชายจากตระกูลขุนนางที่ข้าคัดเลือกออกมาเมื่อช่วงก่อน ท่านพ่อลองดูว่ามีคนที่ท่านโปรดปรานหรือไม่”
เหยาหย่วนจือเอาเกิงเถี่ยที่อยู่บนโต๊ะสูงข้างๆ มาดูอย่างผิวเผิน แล้วคลี่ยิ้มอ่อนๆ “เรื่องงานสมรสของเยี่ยนอวี่ ข้าได้ตกลงกับนางว่าจะให้นางเลือกเอง”
“ท่านพ่อ?” เหยาเฟิ่งเกอยังนึกว่าตนฟังผิดไป หรือว่าบิดาจะพูดล้อเล่น ตั้งแต่โบราณมา เรื่องงานสมรสจะเป็นบิดามารดาเป็นฝ่ายตัดสินใจ มีที่ไหนล่ะที่จะให้บุตรีเป็นผู้เลือก?
เหยาหย่วนจือแย้มยิ้ม แล้วยืนยันว่าตนไม่ได้ล้อเล่น จึงพูดเสริมขึ้น “เยี่ยนอวี่มีอายุแค่สิบหกปีเท่านั้น เรื่องงานสมรสยังไม่ต้องรีบ”
“แต่ว่า ท่านพ่อ?” เหยาเฟิ่งเกอไม่เข้าใจจริงๆ “นี่ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ผ่านตรุษจีนไปเยี่ยนอวี่ก็มีอายุสิบเจ็ดปีแล้ว!” สตรีอายุสิบเจ็ด หากยังไม่ออกเรือน อย่างน้อยก็ต้องกำหนดงานสมรสไว้ก่อน! หากงานสมรสล้าช้าไป อาจจะถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังได้
ถึงแม้เหยาหย่วนจือจะสามารถวางแผนทุกอย่างได้อย่างชาญฉลาด ทว่าอย่างไรเขาก็คือบุรุษ อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ตกลงกับบุตรีไว้ แน่นอนว่าต้องไม่คิดจะคืนคำพูดอยู่แล้ว ทว่าเรื่องงานสมรสก็ต้องกำหนดอยู่ดี ฉะนั้นเขาจึงลูบเคราสั้นใต้คาง แล้วค่อยๆ พูดขึ้น “พวกเจ้าสองพี่น้องพูดคุยกันดีๆ หลังจากนี้ เจ้าก็ลองแอบถามนางว่าชื่นชมคนประเภทใด แค่นางพยักหน้าตกลง เจ้าก็กำหนดงานสมรสของนางแทนพ่อได้เลย”
“ท่านพ่อ! เรื่องนี้จะฟังความของเยี่ยนอวี่อยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร”
“แน่นอนว่าเรื่องการคัดเลือกบุรุษ ย่อมต้องให้คนในครอบครัวเป็นคนเลือกอยู่แล้ว” เหยาหย่วนจือเอาเกิงเถี่ยไม่กี่แผ่นนั้นขึ้น จากนั้นก็สะบัดกระดาษออก แล้วแย้มยิ้มพลางพูดขึ้น “เจ้าก็ทำเช่นนี้ ลองเลือกบุรุษที่เหมาะสมออกมา แล้วค่อยให้นางเลือกอีกที จะได้ไม่อยู่เหนือสิ่งที่เจ้าคาดการณ์ไว้”
เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้มอย่างขมขื่น ภายในใจกำลังคิดว่า บิดาของตนเอาอกเอาใจเยี่ยนอวี่ถึงขั้นนี้แล้วหรือ