เหยาหย่วนจือมองสีหน้าของบุตรีก็สามารถเดาออกว่านางคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงยิ้ม “เจ้าก็อย่าคิดมากเลย ตอนนี้นางถือว่าเป็นแม่นางที่เลื่องชื่อไปแล้ว แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังทรงกล่าวถึงนางกับข้า ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนอวี่ พวกเราไม่ควรประมาท”
เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกตะลึงในใจ จึงเบิ่งตาโตทันที “ฮ่องเต้?” ยังกล่าวถึงเหยาเยี่ยนอวี่?
เหยาหย่วนจือยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงขอสูตรปรุงยาให้เหยาเฟิ่งเกอฟัง เหยาเฟิ่งเกอฟังจบจึงนิ่งงันไปสักพัก แล้วค่อยถอนหายใจ “น้องรองช่างมีวาสนาดั่งที่คาดไว้จริงๆ”
เหยาหย่วนจือจึงพูดขึ้นต่อ “ข้าให้นางอยู่ต่อที่เมืองหลวง เหตุผลประการแรกก็เพื่อดูแลเจ้า ประการที่สอง ตอนนี้ถ้านางกลับไปกับข้า เกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัย ฮ่องเต้ต้องการสูตรปรุงยา ทว่าก็ยังไม่มีส่วนผสมของยา ยาสูตรนั้น ข้าก็ดูมาแล้ว เป็นยาลึกลับยากที่จะเข้าใจ หากเยี่ยนอวี่กลับเจียงหนานกับข้า วันข้างหน้าก็คงต้องเกิดปัญหาไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หากว่านางอยู่ในเมืองหลวง เจ้าจำต้องลำบากเสียหน่อย!”
เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้าซ้ำๆ ขณะที่นางฟังคำแนะนำของบิดา นางสามารถเข้าใจสิ่งที่บิดาของนางกล่าว ทักษะทางการแพทย์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของน้องสาวนางเป็นดาบสองคม ในฐานะตระกูลเหยานางต้องคอยนำทางให้น้องสาว ขอให้ดาบเล่มนี้เพิ่มพรและโชคลาภให้กับตระกูลเหยา ห้ามให้คมดาบนี้มาทำร้ายรากฐานของตระกูลเหยาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจโดยเด็ดขาด
เหยาหย่วนจือยังไม่ทันพูดคุยอะไรกับเหยาเฟิ่งเกอมากนัก เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินซูอวี้เสียงจากไปแล้ว นางจึงตามมาทีหลัง
ซานหูที่อยู่ตรงประตูน้อมคำนับให้เหยาเยี่ยนอวี่ ขณะเดียวกันเหยาเฟิ่งเกอและเหยาหย่วนจือก็เปลี่ยนเรื่องคุย
เที่ยงวันนี้ เหยาหย่วนจือ บุตรีสองคน และบุตรชายรองนั่งกินอาหารด้วยกัน ทั้งบิดา บุตรชายและบุตรีต่างก็พูดคุยกันไม่หยุด บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข
ตอนบ่าย ซูอวี้เสียงกลับมารับเหยาเฟิ่งเกอกลับจวน เหยาเยี่ยนอวี่ก็หาข้ออ้างว่าจะไปช่วยบิดาเก็บข้าวของ เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงเขาอีกครั้ง
ตอนกินมื้อค่ำ เหยาหย่วนจือเอาเทียบเชิญออกมาหนึ่งฉบับแล้วพูดกับเหยาเยี่ยนอวี่ “เจิ้นกั๋วกงได้ยินว่าพ่อจะกลับใต้แล้ว จึงได้จัดงานเลี้ยงส่งพ่อ ในจดหมายฉบับนี้ก็มีชื่อของเจ้า เขาเชิญชวนเจ้าไปร่วมงานด้วย”
เหยาเยี่ยนอวี่คิดว่างานเลี้ยงที่เจิ้นกั๋วกงกล่าวว่าจะเลี้ยงส่ง พูดง่ายๆ ก็คืองานเลี้ยงขอบคุณ แท้จริงแล้วเรื่องที่ตนรักษาหันซังเกอ จวนเจิ้นกั๋วกงและจวนองค์หญิงใหญ่ก็ได้แสดงการขอบคุณมาหลายครั้งแล้ว พอมีการขอบคุณครั้งนี้เกิดขึ้นอีก นางก็รู้สึกว่าพวกเขาขอบคุณมากเกินไปแล้ว นางเดาออกว่าเดิมทีบิดาก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว แต่นางไม่ได้อยากไป ด้วยเหตุนี้จึงตอบกลับว่า “หลายวันก่อนลูกเกือบจะหล่นลงมาจากรถม้า ตอนนี้พอนึกถึงว่าต้องขึ้นรถม้า ภายในใจยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่”
เหยาหย่วนจือถอนหายใจ “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็พักผ่อนอยู่ที่จวนเถอะ ข้าจะพาพี่รองไปเอง เจ้าดูแลงานบ้านงานเรือนให้ดี หากมีคนมาเยี่ยมเยียน เจ้าก็ต้อนรับอย่างระมัดระวังตัวก็พอแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ย่อตัวน้อมคำนับ หลังจากที่ส่งบิดาและพี่ชายออกจากประตู จึงสั่งให้เฝิงโหย่วฉุนปิดประตูใหญ่
คงไม่ต้องเอาจวนเจิ้นกั๋วกงไปเทียบเทียมกับจวนอื่น ที่นี่คือสถานที่ที่คนร่ำรวยที่สุดและสูงศักดิ์ในเมืองอวิ๋นอาศัยอยู่
เหยาหย่วนจือพาบุตรชายเหยาเหยียนอี้มาร่วมงาน แน่นอนว่าต้องคิดแผนอะไรบางอย่างเพื่อบุตรชาย ชีวิตต่อจากนี้ของเหยาเหยียนอี้ยังต้องอาศัยอยู่ในเมืองหลวงจนกว่าจะจบสิ้นการคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์ การที่ได้รู้จักกับท่านซื่อจื่อและคุณชายรองในจวนเจิ้นกั๋วกงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม
ทีแรก เหยาหย่วนจือนึกว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ก็เพื่อขอบคุณที่บุตรีตนเองได้รักษาหันซื่อจื่อให้หายดีเท่านั้น ทว่าพองานเลี้ยงเริ่มอย่างเป็นทางการ จึงสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น
งานเลี้ยงจัดอยู่ตรงนอกห้องอักษรของจวนเจิ้นกั๋วกง เจิ้นกั๋วกงหันเวยนั่งลงตรงที่นั่งหลัก ข้างๆ ไม่เพียงแต่มีหันซื่อจื่อและคุณชายรองแห่งตระกูลหันเท่านั้น แต่ยังมีแม่ทัพติ้งหย่วนเว่ยจางที่ช่วยเหยาเยี่ยนอวี่ในวันนั้น
ท่านเจิ้นกั๋วกงคือเขยของราชวงศ์ และเป็นแม่ทัพเก่าแก่ในสนามรบ แน่นอนว่าคำพูดคำจาต้องไม่อ้อมค้อม หลังจากที่ดื่มสุราและกินอาหารเลิศรสเสร็จ ท่านกั๋วกงก็เอ่ยถามเหยาหย่วนจือโดยตรง “ใต้เท้าเหยา เรื่องงานสมรสของบุตรีคนรองของเจ้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
เหยาหย่วนจือนิ่งงันไป พลันพูดขึ้น “ลำบากท่านกั๋วกงที่ยังคงนึกถึงแล้ว บุตรีคนรองของกระหม่อม ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมายพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” เจิ้นกั๋งกงยิ้มพร้อมกับมองเว่ยจาง จากนั้นก็ถามเหยาหย่วนจือ “ใต้เท้าเหยาเห็นว่าแม่ทัพติ้งหย่วนของพวกเราเป็นเช่นไรบ้าง”
“เอ๋อ?” เหยาหย่วนจือเกือบจะสำลักชาในปากออกมา นี่…นี่กำลังสู่ขออยู่ใช่หรือไม่ ตรงไปตรงมาเกินไปหรือไม่
สีหน้าของเว่ยจางกลับไม่แปรเปลี่ยน แล้วยังคงสีหน้าที่นิ่งเฉยพร้อมกับนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วปล่อยให้เหยาหย่วนจือและเหยาเหยียนอี้จับจ้องตนเองอย่างไม่ละสายตาไปทางอื่นอยู่อย่างนั้น
เหยาหย่วนจือเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่ดำรงตำแหน่งในวงการข้าราชการมาหลายปี จึงสามารถปรับอารมณ์ให้กลับมาเหมือนเดิมได้ในชั่วพริบตา หลังจากที่เอาถ้วยชาในมือลง ก็หัวเราะเสียงดัง พร้อมพูดขึ้น “ท่านกั๋วกงไม่ได้หยอกล้อกระหม่อมอยู่ใช่หรือไม่ แม่ทัพติ้งหย่วนเป็นแม่ทัพที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน และรบในสนามรบอยู่บ่อยครั้งก็ได้รับชัยชนะกลับมาทุกครั้ง เขามีอนาคตที่ไร้ขีดสิ้นสุด บุตรีของกระหม่อมจะเหมาะสมได้อย่างไร”
“ใต้เท้าเหยา! เจ้าถ่อมตนเกินไปแล้ว” เจิ้นกั๋วกงหัวเราะเหอะๆ ออกมา จากนั้นก็ชูจอกเหล้าขึ้น “ที่จริงก็ไม่อยากปิดบังเจ้า แท้จริงแล้ว ความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดของข้าแต่เพียงผู้เดียว นี่เป็นความปรารถนาขององค์หญิงใหญ่เช่นกัน องค์หญิงใหญ่มองคุณหนูรองเหยาเหมือนบุตรีของตนเอง จึงรักใคร่และเอ็นดูนางยิ่งนัก ดังนั้นเลยอยากจะหาคู่ครองที่ดีให้นาง ทำไมรึ หรือว่าใต้เท้าเหยาไม่เต็มใจ หรือเจ้ามีเขยที่เลือกไว้แล้ว”
“อา ไม่ๆ…” เหยาหย่วนจือพลันยกจอกเหล้าขึ้นแล้วยกไปชนกับจอกเหล้าของเจิ้นกั๋วกง พลางพูด “ยังไม่มีใครที่เลือกไว้ หลายวันมานี้ กระหม่อมเข้าเมืองหลวง ก็มัวยุ่งกับงานทางราชการทุกวัน จะมีเวลาไปคิดถึงเรื่องของบุตรีได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ดี” เจิ้นกั๋วกงยิ้ม “พวกเรามาชนเหล้าจอกนี้กันเถอะ เรื่องนี้ก็ถือว่าให้เป็นไปตามนี้”
“…” เหยาหย่วนจือกัดฟัน ภายในใจกำลังคิดว่า ต่อให้เป็นองค์หญิงใหญ่ก็ไม่ควรบีบบังคับผู้อื่นแบบนี้หรือไม่ ไม่มีพวกเกิงเถี่ย การทำนายดวงชะตาแปดอักษรร่วมกันยังไม่มีเลย หากดวงชะตาแปดอักษรไม่เข้ากัน งานสมรสนี้จะถูกกำหนดได้อย่างไร
“ท่านกั๋วกงพ่ะย่ะค่ะ” เหยาเหยียนอี้รับรู้ได้ว่าบิดาของตนกำลังรู้สึกลำบากใจ จึงยกจอกเหล้าพร้อมกับแย้มยิ้มดุจบุปผา “ความเมตตาที่ท่านกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่ทรงมอบให้ บิดาของกระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่า…ท่านย่าของกระหม่อมรักใคร่น้องรองคนนี้เป็นอย่างมาก งานสมรสของนาง…อย่างไรบิดาคงต้องกลับไปคุยกับท่านย่าก่อนจะตอบตกลงพ่ะย่ะค่ะ”
พอเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เว่ยจางที่นั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้สายตาเย็นชากวาดมองใบหน้าของเหยาเหยียนอี้ ทันใดนั้นก็กลับมาทำสีหน้าปกติ หันเวยจึงหัวเราะขึ้น “เป็นไปตามนั้น ตัวข้าเองก็ไม่ได้อยากบีบบังคับใต้เท้าเหยา มา พวกเราดื่มสุรากันเถอะ”
เหยาหย่วนจือยิ้มพลางยกจอกเหล้าชนกับหันเวย และดื่มหมดหนึ่งจอกภายในอึกเดียว จากนั้นก็พลิกข้อมือคว่ำจอกลง เพื่อแสดงให้เจิ้นกั๋งกงเห็นว่าตนดื่มเหล้าจนหมดจอกแล้ว
“ดี!” หันเวยโบกมือสั่งการนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ด้วยความดีใจ “รินเหล้า!”
นางกำนัลจึงเดินหน้ามารินเหล้า เจิ้นกั๋วกงหันเวยถามเหยาหย่วนจืออีกครั้ง “ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ประเภทไหนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกเขยที่ดีในสายตาของใต้เท้าเหยา”
เหยาหย่วนจือนิ่งงันไปอีกครั้ง ภายในใจกำลังคิดว่า เจิ้นกั๋งกงไม่รู้จักจบเรื่องนี้เลยหรือไร
พอเห็นเหยาหย่วนจือไม่พูดไม่จา หันเวยจึงยิ้ม “ข้าเกิดมาในตระกูลนักรบ จึงไม่สามารถเทียบเทียมกับตระกูลมากการศึกษาอย่างตระกูลใต้เท้าเหยาที่สามารถพูดจาอ่อนโยนและอ้อมค้อมได้ ตระกูลข้า มักจะคิดสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้นออกมา เว่ยจางอยู่ข้างกายข้ามาหลายปี ก็ถือว่าเป็นเด็กที่เติบโตภายใต้การดูแลของข้า และคอยติดตามข้าไปออกรบ จึงไม่ได้แตกต่างอะไรกับบุตรชายของข้า ข้าจึงเห็นว่าเขาก็เป็นเหมือนหลานชายคนหนึ่งของข้า วันนี้การที่ข้ามาสู่ขอบุตรีกับใต้เท้าเหยาโดยตรงเยี่ยงนี้ อาจจะกะทันหันเกินไปหน่อย ทว่า ข้าก็ยังหวังว่าใต้เท้าเหยาจะคิดใคร่ครวญดีๆ”
“ท่านกั๋วกงทรงเป็นห่วงงานสมรสบุตรีของกระหม่อม กระหม่อมรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง” เหยาหย่วนจือไม่สามารถปฏิเสธไปตามตรง ฉะนั้นจึงตัดสินใจใช้วิธีการพูดนี้ “เพียงแต่ว่ากระหม่อมไม่ได้สั่งสอนนางมาอย่างดี จึงเลี้ยงให้นางมีนิสัยที่เอาแต่ใจ เมื่อหลายวันก่อนนางเพิ่งทำตัวเหมือนเด็กมาบอกกระหม่อมว่า ในอนาคตนางจะแต่งงานกับใคร จะต้องเลือกด้วยตัวเอง…เหอะๆ…ดูสิ นางพูดอะไรออกมา! แค่ว่าบุตรีคนนี้ได้รับความรักใคร่จากมารดาของกระหม่อมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร นางก็แค่ไปประจบประแจงท่านย่าของนาง ไม่มีอะไรที่ท่านย่าของนางจะไม่ตามใจนาง ดังนั้น เพื่อที่จะไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องเสียใจ เรื่องนี้กระหม่อมยังต้องไปถามความในใจของบุตรีก่อนว่านางคิดอย่างไร”