“อ้อ?” เจิ้นกั๋วกงได้ยินจึงหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ…ที่แท้บิดาทั่วทั้งแผ่นดินนี้ก็มีหัวอกเดียวกัน มักจะตามใจบุตรีไปเสียทุกอย่าง!”
เหยาหย่วนจือก็ถือโอกาสพายเรือตามน้ำ รีบยอมรับว่าตนเองรักใคร่และเอ็นดูบุตรีอย่างยิ่ง และอ้างไปว่าเขาเลี้ยงดูบุตรีให้กลายเป็นคนที่มีนิสัยเอาแต่ใจ
เจิ้นกั๋วกงหันไปมองเว่ยจางอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดพูดเรื่องนี้ พลางหาเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับราชสำนักมาเสวนากันต่อ ภายในใจของเหยาหย่วนจือลอบถอนหายใจ แล้วพูดคุยเล่นกับเจิ้นกั๋วกงอย่างเพลิดเพลิน ภายในใจกลับรู้สึกสงสัยว่า เหตุใดจู่ๆ เยี่ยนอวี่ถึงกล่าวกับตนว่า ต้องการอิสระในงานสมรสของตัวนางออกมาล่ะ เป็นไปได้ไหมว่าจะเกี่ยวข้องกับเว่ยจางผู้นี้ คนของจวนเจิ้นกั๋วกงเคยเอ่ยถึงคนผู้นี้กับนางไปแล้วหรืออย่างไร หรือว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ไม่ว่าภายในใจจะรู้สึกอย่างไร ใบหน้าของเหยาหย่วนจือยังคงความนิ่งสงบ เพราะว่าไม่สามารถตอบตกลงงานสมรสที่เจิ้นกั๋วกงได้เอ่ยออกมา ดังนั้นเหยาหย่วนจือทำได้เพียงดื่มสุราอย่างหนัก เพื่อให้ตนเมาสุรากลางงานเลี้ยง
เหยาเหยียนอี้เองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเท่าใด เจิ้นกั๋วกงชวนเหยาหย่วนจือดื่ม ส่วนหันซังเย่ว์ก็ชวนเหยาเหยียนอี้ดื่มเช่นกัน
ทว่าท่านซื่อจื่อหันซังเกอกับเว่ยจางนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย พวกเขาไม่ได้ดื่มสุรา และยิ่งไม่มีทีท่าจะพูดคุยกัน งานเลี้ยงนี้จึงดื่มสุรากันตั้งแต่ตอนเที่ยงวันจนถึงตอนกลางคืน พอเห็นว่าพระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนไปยังทิศตะวันตก เวลากลางคืนก็มาถึง สุดท้ายเหยาหย่วนจือก็นอนฟุบบนโต๊ะอย่างไม่มีสติ หันซังเกอจึงสั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “พยุงใต้เท้าเหยาไปนอนพักเรือนข้างเถอะ”
ยังดีที่เหยาเหยียนอี้ยังพอมีสติอยู่บ้าง จึงรีบพูดขึ้น “ไม่ขอรบกวนท่านซื่อจื่อ เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว สมควรเวลาที่พวกเราจะกล่าวคำอำลาแล้ว”
หันซังเกอพูดอย่างมีมารยาท “เหตุใดคุณชายเหยาต้องเกรงอกเกรงใจด้วย ใต้เท้าเหยาเมาจนหลับไปแล้ว จะทนการโยกเยกไปมาของรถม้าได้อย่างไร แค่พักอยู่ในจวนเพียงคืนเดียว แล้วเหตุใดถึงไม่ได้เล่า”
“ขอบคุณท่านซื่อจื่อเป็นอย่างยิ่ง” เหยาเหยียนอี้พยายามยืนให้ตนเองไม่ล้มลง จากนั้นก็ทำมือคารวะให้หันซังเกอ แล้วพูดขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่น “หากพวกเรา หากว่า…ไม่…ไม่กลับตอนกลางดึก น้องรองก็คงต้องอยู่ในจวนตามลำพัง…นางคงจะอยู่ไม่เป็นสุข…ดังนั้น…ดังนั้นพวกเรากลับไปจะดีกว่า”
หันซังเกอได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงสั่งบ่าวไพร่ว่า “ส่งใต้เท้าเหยาและคุณชายเหยากลับจวนเถอะ”
เว่ยจ่างวางถ้วยชาในมือลง แล้วพูดขึ้น “ให้ข้าไปส่งเถอะ”
หันซังเกอยิ้มอย่างหยอกล้อ “ใต้เท้าเหยายังไม่ได้ตอบตกลงเรื่องงานสมรสเลย”
“จะตอบตกลงหรือไม่ นั่นไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว อย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว” เว่ยจางพูด พลางเหยียดกายลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย จากนั้นก็เดินเข้าไปพยุงเหยาหย่วนจือที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ แล้วดึงแขนข้างหนึ่งของเขามาวางไว้บนไหล่ของตน มือหนึ่งข้างจับเอวของเขาไว้ จากนั้นก็เดินพยุงออกไปข้างนอก
แท้จริงแล้วเหยาหย่วนจือก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสติ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเขาเองปฏิเสธเจิ้นกั๋วกงไปแล้ว ครั้งนี้หากเขาไม่ได้ดื่มจนเมา เรื่องนี้ก็ไม่รู้จะจบลงอย่างไร
ตอนนี้เขาถูกเว่ยจางพยุงออกไปข้างนอกเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าภายในใจขุ่นเคืองมากเพียงใด โชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้ตอบตกลงเรื่องงานสมรส ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นเช่นไรกัน ว่าที่พ่อตาคนหนึ่งดื่มสุราจนเมาไม่มีสติต่อหน้าว่าที่บุตรเขยของตน? และว่าที่บุตรเขยกลับไม่ได้มึนเมาแม้แต่เพียงน้อย อีกทั้งยังส่งตนกลับจวนเช่นนี้? เจ้าหนุ่มสารเลวสกุลเว่ย เหตุใดถึงไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้
เว่ยจางกลับไม่ได้คิดอะไรมาก เขาทำเช่นนี้ก็แค่ต้องการถือโอกาสเหยียบเข้าไปในจวนตระกูลเหยา เพื่อเยี่ยมเยียนเหยาเยี่ยนอวี่ เขาไม่อยากพลาดโอกาส ดังนั้นจึงได้อาสาส่งสองพ่อลูกตระกูลเหยากลับจวน เขาก็แค่คิดเท่านี้จริงๆ
เว่ยจางเป็นคนส่งสองพ่อลูกตระกูลเหยากลับจวน หลังจากที่รถม้าเคลื่อนและจอดลงที่จวนตระกูลเหยา เว่ยจางหันหลังลงจากม้า จากนั้นก็สั่งให้ฉังเหมาพาคนอื่นมาพยุงเหยาหย่วนจือลงจากรถม้า ทางฝั่งจวนก็มีคนเข้าไปเรียนเรื่องนี้กับเหยาเยี่ยนอวี่ตั้งนานแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่ในเรือนนอนของตน พอเห็นว่าฟ้ามืดลงแล้ว ทว่ากลับไม่เห็นบิดาและพี่ชายกลับจวนเสียที จึงค่อนข้างกระวนกระวายใจ เวลานี้ พอได้ยินว่าบิดาดื่มสุราจนไร้สติ แล้วยังถูกคนส่งกลับมา นางจึงไม่สนใจอะไรมากมาย จากนั้นก็สวมใส่ชุดคลุมเดินออกไปข้างนอก
นางเดินอ้อมห้องโถงหลักไปยังสวนด้านหน้าอย่างเร่งรีบ หลังจากที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นเว่ยจางสวมใส่ชุดคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีนิล จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักไป จากนั้นก็มองคนที่มาเยือน แล้วย่อตัวน้อมคำนับ “ขอบคุณท่านแม่ทัพเว่ยที่ดูแลบิดาและพี่ชายของข้า เชิญท่านแม่ทัพเข้ามาจิบชาในเรือนเสียก่อนเถอะ”
“คุณหนูเหยาไม่จำเป็นต้องเกรงใจเยี่ยงนี้” เว่ยจางพยักหน้า แล้วหันไปสั่งการฉังเหมา “รีบส่งใต้เท้าเหยาเข้าไปเถอะ”
ตอนนี้เหยาหย่วนจือยังถือว่ามีสติอยู่ เพียงแต่ว่าฝีเท้าของเขาไร้เรี่ยวแรง เหมือนกำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ เขาพิงอยู่บนไหล่ของฉังเหมา แล้วค่อยๆ ลืมตามองบุตรีของตน ทว่าพอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ทำสีหน้าที่เย็นชาเล็กน้อย โดยเฉพาะสายตาที่มองเว่ยจาง มีความหงุดหงิดหรือความขุ่นเคืองใจแอบซ่อนอยู่ในความเย็นชา?
ใต้เท้าเหยารู้ว่าตนดื่มสุรามากเกินไป และตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน ภายในใจจึงมีคำถามหลายอย่างผุดขึ้นมา
เหยาเหยียนอี้ถือว่ายังหนุ่มยังแน่น สุราที่ดื่มไปก็มีปริมาณที่น้อยกว่า เวลานี้เขาแค่จับแขนของบ่าวแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน ด้วยเหตุที่เห็นว่าเหยาเยี่ยนอวี่เดินหน้าไปพยุงบิดา และเว่ยจางเองก็คอยจับจ้องเหยาเยี่ยนอวี่อยู่ตลอดเวลา คุณชายรองแห่งตระกูลเหยาจึงรีบสาวเท้าเดินเซไปเซมา แล้วเดินเข้าไปตบไหล่ของเว่ยจาง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพเว่ย…เชิญ…เข้าไปดื่มชาในเรือนเถอะ”
เว่ยจางผงกหัวเล็กน้อย “ขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่จับจ้องเว่ยจางเงียบๆ คนผู้นี้นี่จริงๆ เลย! คนอื่นก็แค่เอ่ยวาจาตามมารยาท เขากลับถือเป็นจริง! หรือว่าเขายังมองสถานการณ์ตอนนี้ไม่ออก? บิดาและพี่ชายต่างก็มึนเมาขนาดนี้ ใครจะมีเวลามานั่งจิบชากับเขาอีก?
แต่อย่างไร คำพูดที่เอ่ยออกไป ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ไหนๆ ก็เชิญชวนคนอื่นแล้ว และคนอื่นก็ตอบตกลง แน่นอนว่าไม่ควรพูดสิ่งอื่นใดให้มากความอีก
เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้คนพยุงเหยาหย่วนจือเข้าไป แล้วสั่งเฝิงหมัวมัว “ไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมามา”
บ่าวรับใช้พยุงเหยาหย่วนจือกลับเรือนนอน ส่วนเหยาเหยียนอี้กลับพยายามฝืนตัวเองให้เข้าไปในห้องโถงหลัก เว่ยจางก็ติดตามเหยาเหยียนอี้เข้าประตูไป ต่างคนต่างนั่งลงบนที่นั่งของแขกและเจ้าบ้าน เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้ไม่ตงยกชาหอมกรุ่นเข้ามา
อย่างไรก็ตามเหยาเหยียนอี้ดื่มสุรามาไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาพยายามฝืนทำเหมือนตัวเองยังมีสติ ก็เพราะว่าตอนนั้นเขาอยู่ในจวนเจิ้นกั๋งกง ตอนนี้พอกลับถึงจวนตนเอง ภายในใจก็เหมือนได้รับการผ่อนคลายอย่างไม่รู้ตัว จึงนอนพิงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ แล้วนอนหลับไป
เหยาเยี่ยนอวี่แอบถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็มองสาวใช้ที่เก็บถ้วยชาที่ตกอยู่บนพรมขึ้นมา แล้วสั่งการด้วยเสียงเรียบเฉย “พยุงคุณชายรองกลับเรือนนอนก่อนเถอะ”
สาวใช้สองคนที่เหยาเยี่ยนอวี่ซื้อตัวมาเพื่อที่จะปรนนิบัติรับใช้เหยาเหยียนอี้ก่อนหน้านี้เดินเข้าไป จากนั้นก็พยุงซ้ายพยุงขวา แล้วนำตัวเหยาเหยียนอี้เดินไปตรงเรือนนอนหลังฉากกั้น
หลังจากที่วุ่นวายไปสักพัก ในห้องโถงหลักจึงมีเพียงเหยาเยี่ยนอวี่คนเดียวที่เป็นเจ้าบ้าน และเว่ยจางที่เป็นแขกผู้มาเยือนที่นั่งอย่างสง่างามพลางลิ้มรสชา
สาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องต่างก็ก้มหน้าลงต่ำ และยืนรอฟังคำสั่งด้วยความเคารพ
ห้องโถงนี้ก็ไม่ถือว่ากว้างขวางมาก ทว่ามีเทียนนับสิบกว่าเล่มจุดเอาไว้ ถึงแม้ความสว่างในเรือนจะไม่เท่าเวลากลางวัน แต่ก็ถือว่าสว่างมากพอ ไฟกำลังลุกโชน ทำให้หยดน้ำตาเทียนไหลลงมาไม่หยุด และค่อยๆ หยดลงไปตามทางเชิงเทียน ทำให้น้ำตาเทียนประดุจไข่มุก
ในห้องโถงมีกระถางธูปสามขาลวดลายมังกรไม่มีเขาสองตัววางอยู่ ในกระถางจุดถ่านหงโหลวและธูปหอม ทำให้ควันอ่อนๆ ที่เคล้าด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและกลิ่นหอมนั้นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องโถง