ตอนที่ 139 ฝีมือการแพทย์พัฒนา ท่านซื่อจื่อวางอำนาจ (5)
ซูซื่อจื่อดึงน้องชายที่เป็นหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลไปไว้ในลานสวนขนาดเล็กที่ยังว่าง จากนั้นก็ไล่คนที่เข้าไปทำความสะอาดออกมาจนหมด แล้วหันหลังปิดประตู
ซูอวี้เสียงจึงรู้สึกตะลึงงันไปทันที จากนั้นก็ถอยไปด้านหลังทีละก้าว แล้วเบิกตาตะโกนเสียงดัง “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่คิดจะทำอะไร พี่ใหญ่อย่าทำอะไรเรื่อยเปื่อยนะ! ข้า…ข้าจะไปบอกท่านแม่!”
“ได้!” ซูอวี้ผิงยกมือแล้วเลิกชุดคลุมยาวด้านหน้าขึ้นพับไปเหน็บไว้ที่เอว ทำให้เห็นถึงกางเกงผ้าต่วนสีกรม จากนั้นสองมือประสานกันพลางค่อยๆ หักนิ้วมือ พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ซูอวี้เสียงทีละก้าว “ต่อให้เจ้าไม่บอก ข้าก็จะไปบอกให้ท่านพ่อและท่านแม่รับทราบ เจ้าก่นด่าพี่สะใภ้ใหญ่ แล้วยังพูดจาว่าร้ายพี่ใหญ่ หืม? น้องสาม เจ้าช่างเป็นคนที่เอาถ่านจริงๆ ฮึ่ม?!”
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่…พี่ใหญ่ ท่านฟังข้าพูด ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…” ซูอวี้เสียงถูกเสียงหักข้อกระดูกนิ้วมือของพี่ใหญ่ทำให้ตกใจอย่างมาก ลำตัวของเขาพิงต้นทับทิมต้นหนึ่งสั่นเทาขึ้นมาไม่หยุด ดูท่าแล้ว พี่ใหญ่ของเขาต้องกระทืบเขาเจียนตายแน่นอน! กำปั้นนั้นของพี่ใหญ่ แม้แต่ครั้งเดียวเขายังทนรับไว้ไม่ไหว! ทันใดนั้นคุณชายสามตระกูลซูจึงพูดตะกุกตะกัก “พี่…พี่ใหญ่ เป็นน้องเองที่ไม่รู้อะไรเลย พี่ใหญ่อย่าทำเช่นนี้เลย…”
ทันใดนั้นซูอวี้ผิงก็ยื่นมือไปจับคอเสื้อของซูอวี้เสียงแล้วกระชากอย่างรุนแรง จากนั้นก็ดึงเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตน หน้าตาที่คล้ายคลึงของสองพี่น้องแทบจะแนบชิดกันอยู่แล้ว
“เจ้าไม่รู้อะไรเลย” ซูอวี้ผิงแสยะยิ้ม จากนั้นก็ใช้แรงสะบัดข้อมือจนลำตัวของซูอวี้เสียงกระเด็นออกไป “เจ้าไม่เพียงแต่ไม่รู้อะไร! แล้วยังทำตัวไร้ยางอาย!”
ร่างของซูอวี้เสียงเซไปเซมาจนต้องรีบไปคว้าจับต้นทับทิมข้างหลังเพื่อไม่ให้ตนล้มลง มือทั้งสองข้างที่ไม่เคยแม้แต่เปื้อนหมึกดำ ตอนนี้กลับถูกเปลือกต้นไม้บาดจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นคุณชายสามซูจึงตะโกนขึ้น “โอ๊ย! เจ็บจะตายแล้ว…พี่ใหญ่! ท่านโหดเหี้ยมยิ่งนัก…เจ็บมาก…”
“เจ้ามันตัวไร้ประโยชน์!” ซูอวี้ผิงทำสีหน้าเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า[1]ได้ “เจ้าไม่เก่งทั้งวิชาฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ทั้งวันก็รู้จักแต่นินทาลับหลังคนอื่นเหมือนเหล่าแม่นาง! ตระกูลของพวกเราเหตุใดถึงให้กำเนิดขยะอย่างเจ้าด้วย!”
ตรงกลางฝ่ามือของซูอวี้เสียงถูกเปลือกไม้บาดจนเป็นแผล และหยาดเลือดค่อยๆ ซึมออกมาเล็กน้อย คุณชายสามแห่งตระกูลซูกัดฟันเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด จากนั้นก็ถลึงตาโตจ้องมองซูอวี้ผิงแล้วเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ท่านสั่งสอนข้าเสร็จหรือยัง”
“ไม่เสร็จ” ซูอวี้ผิงตวาดด้วยเสียงเลือดเย็น “เมื่อครู่สิ่งที่เจ้าพูดข้ายังฟังไม่รู้เรื่องเลย เจ้าพูดใหม่อีกครั้งสิ”
คุณชายสามตระกูลซูเจ็บจนแทบหลั่งน้ำตาออกมา ทว่ากลับพยายามอดกลั้นไว้แล้วเปล่งเสียงตะโกนออกจากลำคอ “มีอะไรน่าพูดถึงอีก หากพี่ใหญ่ไม่เชื่อข้า ก็กลับไปถามฮูหยินของท่านดูก็จะรู้เอง! ข้าไม่ได้พูดอะไรผิด หรือคนที่สู่ขอกับภรรยาของข้าไม่ใช่นาง! ข้าก็แค่พูดไปสองสามคำเท่านั้น ท่านถึงกับต้องสั่งสอนข้าเช่นนี้เลยหรือ เหยาเยี่ยนอวี่สำคัญขนาดนั้นเลยหรือไร ไม่ใช่ว่านางก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งหรอกหรือ ท่านไม่เคยเห็นหรืออย่างไร ท่านไม่เคยหลับนอนเลยหรือไร”
ซูอวี้ผิงถูกท่าทางที่ไม่มีความเคารพของน้องชายทำให้โมโหจนปอดใกล้ระเบิด จากนั้นก็ยกมือพลางตบหน้าคุณชายสามตระกูลซูอย่างแรงหนึ่งที ครั้งนี้ซูซื่อจื่อแทบจะไม่ออมแรง มุมปากของซูอวี้เสียงมีเลือดซึมทันที
“ข้าจะสั่งสอนเจ้า!” ปกติเขาจะตามใจน้องชายอย่างไรก็ได้ ทว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เขาผู้เป็นพี่ชายต้องไม่ยอมให้คลุมเครือเด็ดขาด
“ท่านตบข้า! ท่านตบข้าเพื่อสตรีคนเดียว” ซูอวี้เสียงมองซูอวี้ผิงเหมือนกำลังมองสัตว์ประหลาด
ถึงแม้พี่ชายคนนี้จะมีชื่อเสียงอันน่าเกรงขามตอนอยู่ข้างนอกมากเพียงใด และสามารถสังหารคนในสนามรบโดยไม่กะพริบตา ทว่าตอนอยู่ในจวนเขามักจะมีนิสัยที่อ่อนโยนและใจกว้างมาโดยตลอด ไม่เคยสบถคำหยาบใส่ใคร แม้กระทั่งบ่าวไพร่ยังไม่เคยเห็นเขาแสดงนิสัยที่ย่ำแย่ออกมา โดยปกติแล้วเวลาใครกระทำผิด ก็มักจะถูกลงโทษตามกฎระเบียบของจวนเท่านั้น
วันนี้เขาเป็นอะไรไป บ้าไปแล้วหรือ!
“ใช่ ข้าตบเจ้า” ซูอวี้ผิงตบน้องชายตนเอง ภายในใจเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีเลย ทว่าเรื่องบางเรื่องเขาต้องตีแสกหน้าให้น้องชายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้รู้จักสำนึก ตบจนทำให้เขาเข้าใจ “เจ้ารู้หรือไม่ คำพูดเมื่อครู่นี้มันสารเลวมากเพียงใด เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ปากของเจ้าเป็นอะไรไป! นางมีบิดามารดา มีพี่ชาย เหยาหย่วนจือเป็นตั้งขุนนางลำดับสองในราชสำนัก แล้วยังเป็นพ่อตาของเจ้า! เจ้าพูดถ้อยคำเยี่ยงนั้นออกมา เจ้าเอาหน้าคนในครอบครัวภรรยาเจ้าไปไว้ที่ไหนกัน!”
“ข้า…ข้าก็แค่พูดลอยๆ เท่านั้น” ซูอวี้เสียงเข้าใจขึ้นมาทันที เมื่อครู่ตนพูดจาเหลวไหลเกินไปแล้ว
ซูอวี้ผิงรู้ว่าใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว หากเขาตบตีน้องชายที่มารดารักเหมือนแก้วตาดวงใจให้ได้รับบาดเจ็บนั้น ทุกคนก็คงไม่พอใจแน่นอน ดังนั้นจึงยื่นมือชี้หน้าซูอวี้เสียง พลางตักเตือนเป็นครั้งสุดท้าย “เรื่องนั้นข้าจะไปถามด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม คุณหนูรองเหยาไม่เพียงเป็นน้องภรรยาของเจ้า แต่ยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า วันข้างหน้า หากข้าได้ยินเพียงหนึ่งครั้งว่าเจ้ายังคิดจะวิพากษ์วิจารณ์นางลับหลัง เจ้าก็โดนตีอีกครั้ง ตีจนกว่าเจ้าจะหลาบจำ ได้ยินหรือไม่!”
ซูอวี้เสียงแค่นเสียงในลำคอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนได้ยินแล้ว
“ไปเถอะ!” ซูอวี้ผิงโบกมือ เพื่อแสดงให้ใครบางคนรีบไสหัวไป
ซูอวี้เสียงกัดฟันกรอด แล้วจับตรงกลางฝ่ามือพลางเดินออกไป ตอนที่เดินไปถึงตรงประตูและกำลังจะดึงสลักประตู กลับได้ยินเสียงอันทุ้มต่ำของพี่ชายคนโต “หยุดก่อน!”
“ยังจะทำอะไรอีก” ซูอวี้เสียงหันหลังกลับไป
“ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว เจ้าก็อย่าไปเดินเที่ยวเล่นข้างนอกเลย หากไม่มีอะไรทำก็กลับไปคัดกฎระเบียบของจวนหนึ่งรอบ”
“ท่านมีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า!” ซูอวี้เสียงไม่พอใจ กฎระเบียบของจวนติ้งโหวหนาหนึ่งฉื่อ[2] มือของตนเองบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้วยังจะให้คัดสิ่งที่น่ารำคาญเช่นนั้น? อีกอย่าง ถึงแม้บอกว่าพี่ใหญ่ก็เปรียบเสมือนบิดา ทว่าในจวนก็ยังมีบิดาอยู่ ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะลงโทษตนเองให้คัดลอกกฎของจวนสักหน่อย ถูกหรือไม่
ซูอวี้ผิงพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่มีสิทธิ์อะไรหรอก หากเจ้าไม่ยอมคัด ข้าก็จะบอกคำพูดเมื่อครู่นี้ให้ท่านพ่อฟัง หรือว่าเจ้าเห็นว่าการคัดกฎระเบียบของจวนเป็นการลงโทษที่เบาเกินไป และอยากจะรอให้ท่านพ่อมาลงโทษเจ้าเองใช่หรือไม่”
“ช่าง…ช่างเถอะ! คัดก็คัด!” ซูอวี้เสียงกัดฟัน แล้วพยายามอดทนกับความเจ็บปวดตรงกลางฝ่ามือ แล้วดึงประตูให้เปิดออก จากนั้นก็เดินจากไปโดยเร็ว
ซูอวี้ผิงยืนอยู่ตรงกลางสวนเพียงลำพังไปสักพัก ครุ่นคิดถึงทารกที่ยังไม่ได้ลืมตามองดูโลกก็สิ้นใจไปแล้ว และนึกถึงเฟิงฮูหยินน้อยที่กำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียง อีกทั้งยังคิดถึงคำพูดสารเลวที่ซูอวี้เสียงพูดเมื่อครู่นี้ ทันใดนั้นความโมโหภายในใจจึงยากที่จะสงบลง ดังนั้นเขาจึงยื่นเท้าเตะต้นทับทิมที่ซูอวี้เสียงพิงเมื่อครู่นี้อย่างกะทันหัน
ลำต้นอันหนาทึบของต้นทับทิมจึงมีเสียง ‘แคร่ก’ ดังขึ้น จากนั้นยอดต้นไม้ก็ล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ทำให้พื้นเต็มไปด้วยเศษของต้นไม้
ทางฝั่งซูอวี้เสียงที่ถูกพี่ชายลงโทษเสร็จ ก็กลับเรือนฉีเสียง เหยาเฟิ่งเกอเห็นกลางฝ่ามือของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด จึงสะดุ้งตกใจก่อน จากนั้นค่อยถามเหตุผล ทว่าซูอวี้เสียงไม่พูด กลับใส่อารมณ์กับเหยาเฟิ่งเกอ ตอนนี้เหยาเฟิ่งเกอพยายามสงบจิตใจแล้วบำรุงครรภ์อย่างสงบสุข พอได้ยินคำพูดที่ไม่เสนาะหูของซูอวี้เสียง นางยังคงความเงียบสงบ พอเห็นว่าเขาอารมณ์เสียไปสักพักแล้วไม่มีใครสนใจ เขาจึงเก็บเสื้อผ้าแล้วออกจากเรือน
หู่พั่วเห็นเลยรีบเข้ามาเอ่ยถาม “นายท่านจะไปไหนเจ้าคะ อย่างไรก็ต้องบอกให้ทราบเสียหน่อย จะได้ทำให้ฮูหยินสบายใจ”
ซูอวี้เสียงผลักนางออกอย่างโมโห “จะไปไหนได้! ไปนอนที่ห้องอักษร จะได้ไปคัดกฎระเบียบของจวนน่ะสิ!”
พู่พั่วได้ยินจึงสะดุ้งตกใจ การคัดกฎระเบียบของจวนเป็นวิธีการลงโทษของท่านโหว พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูอวี้เสียง ก็นึกว่าเขาไปทำให้ท่านโหวโมโห จึงไม่กล้าถามมากความอีกต่อไป
หลังจากนั้น เหยาเฟิ่งเกอก็แอบส่งคนไปสืบเรื่องนี้ ก็รู้ว่าซูอวี้เสียงพูดจาเรื่อยเปื่อยจนถูกพี่ใหญ่สั่งสอน นางจึงไม่ได้กล่าวมากความอะไรอีก
[1] เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า คือ ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน
[2] หนึ่งฉื่อ เท่ากับ 33.33 เซนติเมตร