ตอนที่ 143 สุชนหวงแหน บุตรีเอาแต่ใจ (4)
ทุกคนต่างก็ขานรับ จากนั้นก็ยกหีบใหญ่สองหีบเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ถึงกับสะดุ้งตกใจ ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้น “พี่สาวขนของดีอะไรมามากมาย”
หันหมิงชั่นยกยิ้ม “นี่ก็ใกล้ตรุษจีนแล้ว ข้าสั่งให้คนไปตัดเสื้อผ้าสองสามชุดให้เจ้า ก็ไม่รู้ว่าขนาดจะเหมาะสมกับตัวเจ้าหรือไม่ เจ้ารีบไปลองใส่ดู ถ้ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมก็สั่งให้คนเอาไปแก้ พอแก้เสร็จ ตอนเทศกาลตรุษจีนจะได้สวมใส่”
“ไม่ใช่กระมัง? เป็นเสื้อผ้าอีกแล้วหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนั้น จึงทรุดตัวลงบนตั่งไม้
เรื่องเหล่านี้ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่แทบจะเป็นบ้า เสื้อผ้าหกชุดที่หันหมิงชั่นเอามายังลองไม่หมด เหยาเฟิ่งเกอก็สั่งคนส่งเสื้อผ้ามาอีกสี่ชุด
เหยาเยี่ยนอวี่มองตรงหน้าของตนเองมีเสื้อผ้าชั้นดีหลากหลายสีสันที่เป็นชุดใหม่อยู่มากมาย จึงอุทานขึ้นด้วยความหนักใจ “หากพวกเจ้ารักใคร่ในตัวข้าจริงๆ ก็ให้เปลี่ยนเป็นเงินตำลึง จากนั้นก็มอบตั๋วเงินให้ข้าเถอะ! เสื้อผ้ามากมายถึงเพียงนี้ ข้าใส่ไม่หมดหรอก น่าเสียดายจริงๆ!” ทุกเข็มทุกด้ายที่ปักเย็บ ล้วนเป็นเงินทั้งหมด!
หันหมิงชั่นจึงพูดอย่างขบขัน “เจ้าเป็นสตรี ไม่แต่งกายให้งดงาม แล้วจะเอาเงินตำลึงมากเพียงนั้นไปทำอะไรกัน หรือว่าบิดาของเจ้าให้สินเดิมเจ้าสาวเจ้าน้อยเกินไป”
เหยาเยี่ยนอวี่เลือกเสื้อผ้าทีละตัว เสื้อตัวที่หรูหราก็ให้ชุ่ยผิงเก็บเข้าไปในหีบโดยทันที ขณะเดียวกันก็พูดกับหันหมิงชั่น “พี่หญิงไม่รู้ แท้จริงแล้วที่ผ่านมาข้าไม่ชื่นชอบเสื้อผ้าที่หรูหราราคาแพงเหล่านี้ เสื้อผ้า แน่นอนว่านำมาใช้ประโยชน์โดยเอามาห่อหุ้มร่างกายเพื่อกันความเหน็บหนาว แน่นอนว่างดงามก็สำคัญ ทว่าเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงอาจจะไม่งดงามเสมอไป อย่างไรข้าก็ชื่นชอบในความเรียบง่าย อย่างน้อยตอนสวมใส่แล้วไม่ทำให้รู้สึกเหนื่อยกาย”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หันหมิงชั่นแย้มยิ้ม “เจ้าไม่ต้องเข้าวังหลวง ไม่ต้องพบปะกับเหล่าเก๊ามิ่ง[1]ฝูเหริน[2] จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะทำให้ตนเองเหนื่อยเยี่ยงนั้น”
เหยาเยี่ยนอวี่พยายามอธิบายจนเหนื่อย จนเริ่มรู้สึกรำคาญใจ จึงสั่งให้สาวใช้เก็บเสื้อผ้าไปให้หมด แล้วแค่เดินไปข้างๆ หันหมิงชั่นพร้อมกับพิงเรือนร่างนางไว้ จากนั้นก็แทะเมล็ดทานตะวันพร้อมพูดคุยเล่นกัน
ทีแรกหันหมิงชั่นอยากรับเหยาเยี่ยนอวี่ไปร่วมฉลองงานเทศบาลตรุษจีนที่จวนองค์หญิงใหญ่ ทว่าองค์หญิงใหญ่ต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยงที่สวนพฤกษา แล้วสั่งให้เหล่าอ๋อง กง โหว ปั๋วเข้าวังหลวงกันให้หมด บอกว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปร่วมงานเลี้ยงกับเหล่าขุนนางทั้งหมด แม้กระทั่งจวนติ้งโหวยังต้องรีบเข้าวังหลวง จวนเจิ้นกั๋งกงและองค์หญิงใหญ่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มบางๆ “เข้าวังหลวงก็ดี ท่านจะได้เจอคนที่พึงใจอีก?”
“ชิ! ตอนนี้เจ้ารู้จักหยอกล้อข้าแล้วสิ อะไรที่เรียกว่าคนที่พึงใจ ข้าโยนเขาทิ้งไปตั้งนานแล้ว” หันหมิงชั่นทำปากเม้ม สีหน้าเจือด้วยความไม่พอใจ
“เป็นอะไรไป” เหยาเยี่ยนอวี่มองหันหมิงชั่นที่ดูไม่สบอารมณ์ จึงหยุดหยอกล้อนาง แล้วเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ
หันหมิงชั่นหายถอนใจออกมาอย่างเศร้าหมอง แล้วพูดขึ้น “ภายในใจของข้าก็รู้สึกเคร่งเครียดยิ่งนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่กดเสียงต่ำลงแล้วเอ่ยถามข้างหูของหันหมิงชั่น “เพราะว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อหรือ”
หันหมิงชั่นหันไปจับจ้องนางด้วยความตกตะลึงไปสักพัก แล้วเอ่ยถาม “ชัดเจนเยี่ยงนั้นเลยหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้า แล้วพูด “โชคยังดี เจ้าก็แค่ไม่คิดปิดบังเรื่องนี้กับข้า ดังนั้นข้าจึงมองออก”
หันหมิงชั่นถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แล้วหันไปพิงลงบนตั่งไม้พลางเหม่อลอยอย่างเงียบๆ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ถามให้มากความ แค่นั่งเหม่อลอยเป็นเพื่อนนาง ทั้งสองก็นั่งเอาศีรษะชนกันแล้วนั่งอยู่บนตั่งไม้ ต่างคนต่างคิดเรื่องภายในใจของตนเอง ซูอิ่งรู้ว่าหลายวันมานี้คุณหนูของตนเองมีเรื่องเคร่งเครียดภายในใจอย่างมาก จึงชวนชุ่ยเวยออกไปข้างนอก
ในเรือนจึงเหลือเพียงเหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นอยู่สองคนเท่านั้น เตาป๋อซานที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กที่อยู่ข้างๆ กำลังเผาธูปหอม ควันอ่อนๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วเรือน
หันหมิงชั่นจับจ้องควันอ่อนๆ เหล่านั้นไว้นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยถาม “เยี่ยนอวี่ เจ้าเคยมีคนที่พึงใจหรือไม่”
ในสมองของเหยาเยี่ยนอวี่มีใบหน้าของเว่ยจางผุดขึ้นมาทันที หลังจากนางพยายามบังคับข่มใจให้เลิกนึกถึงเขา กลับนึกถึงความรักที่ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อภพที่แล้ว ตอนที่ตนเองอยู่ในยุคปัจจุบัน คนที่ชอบก็คือเพื่อนร่วมห้องที่เรียนในคณะแพทยศาสตร์ ทั้งสองรู้จักกันตอนไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น จากนั้นเขาก็ชวนตนไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วก็คบหากันอย่างมีความสุข หลังจากตอนที่ตนเองจะออกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผู้ชายคนนั้นก็บอกเลิกกับตน
ตอนที่เลิกกัน เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่รู้สึกว่าตนเองโศกเศร้าเสียใจ ยังไงมันก็ไม่ง่ายเลยที่ตนจะมีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เมื่อมาเปรียบเทียบดูแล้ว ความรักที่ไม่ได้รุ่มร้อนนั้น ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย
พอมานึกถึงในวันนี้ ก็รู้สึกว่าตนเองมีอีคิวที่ต่ำเกินไปจริงๆ จนถึงตอนนี้ก็กลับไม่เข้าใจว่าทำไมตอนที่ตนเองไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แฟนหนุ่มถึงต้องการบอกเลิก หรือว่าเขามีแฟนสาวหรือภรรยาที่มีความสามารถที่เหนือกว่าตน มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะรับได้ขนาดนั้นเลยเหรอ
หันหมิงชั่นถามเหยาเยี่ยนอวี่เพียงหนึ่งประโยค ทำให้นางคิดไปไกล ทว่านางเหมือนไม่ได้รอฟังคำตอบของเหยาเยี่ยนอวี่ กลับพูดเองเออเอง “ข้าชื่นชอบเขายิ่งนัก ชื่นชอบตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นข้าแค่สี่ห้าขวบ ทุกครั้งที่ได้เจอเขาก็จะรู้สึกมีความสุข ตอนนั้นเขาร่ำเรียนตำรากับพี่ชาย และฝึกฝนวิชาการต่อสู้ด้วยกัน จึงมาเยือนที่จวนของข้าบ่อยๆ ทุกครั้งที่เจอเขา ข้าก็มักจะดีอกดีใจจนต้องชูมือสองข้างขึ้น…”
เหยาเยี่ยนอวี่ถูกดึงสติกลับมาเนื่องด้วยเรื่องราวความรักในสมัยเด็กของหันหมิงชั่น จึงมองนางเพียงพริบตาด้วยความอิจฉาเล็กน้อย แล้วเปรยขึ้น “เป็นเช่นนั้นก็ดีมากเลยสิ! พวกเจ้าคู่ควรกันทางด้านสถานะของครอบครัว อีกทั้งยังรู้จักกันดีมีความรักที่ลึกซึ้ง บิดามารดาทั้งสองฝ่ายก็คงจะไม่มีข้อคิดเห็นอะไร?”
เวลาสิบกว่าปีที่นางทะลุมิติมาที่นี่ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ยอมรับเรื่องที่ ‘ลูกพี่ลูกน้องเป็นคู่สร้างคู่สมกัน’ ได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สนใจเรื่องการแต่งงานระหว่างญาติสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลที่มีฐานะสูงศักดิ์หรือที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ การแต่งงานกันแล้วก็ยังแต่งงานกันอีก เพราะการเกี่ยวดองกันระหว่างการแต่งงานนั้นเป็นการสานสัมพันธ์กันระหว่างตระกูลใหญ่และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การแต่งงานเช่นนี้จะเพิ่มขึ้น
หันหมิงชั่นแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้น “สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าพูดนั้นก็ถูก ทว่าตอนนี้ข้ากลับไม่อยากออกเรือนกับเขา”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป แล้วถามอย่างสงสัย “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ารักใคร่ซึ่งกันและกันตั้งแต่เด็ก นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมาก” คำพูดนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ออกมาจากใจจริง นางเคยรู้สึกปลื้มปิติแทนอวิ๋นคุนและหันหมิงชั่น นี่เป็นเรื่องยากที่จะเกิดในยุคสมัยนี้และสภาพแวดล้อมเยี่ยงนี้ การมีคู่รักในวัยเด็กคู่หนึ่งที่รักกัน อีกทั้งยังรักกันมาเนิ่นนาน และหากสามารถจับมือกันเป็นเวลาร้อยปีเพื่ออยู่ด้วยกันตลอดไป เช่นนี้ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก
“แค่ต่างฝ่ายต่างชื่นชอบกันก็เพียงพอแล้วหรือ” หันหมิงชั่นยิ้มอย่างจนใจ แล้วเอ่ยขึ้น “เขาเป็นคนหนึ่งที่รักใคร่ตามใจน้องสาวมากเพียงนี้ ส่วนข้าก็ไม่ได้ถูกคอกับอวิ๋นเหยาตั้งแต่เล็ก”
พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้? ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ก็มีประโยคผุดขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยกยิ้ม “นี่จะสำคัญอย่างไร นางก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อีกสองปีก็ควรที่จะออกเรือน สุภาษิตกล่าวไว้ว่า สตรีออกเรือนก็ราวกับน้ำที่สาดออกไป หรือว่านางจะกลับตระกูลเดิม แล้วยังคิดจะมาหาเรื่องเจ้าอีกล่ะ”
“ทว่าข้าไม่อยากจะให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่รันทดเช่นนั้น” หันหมิงชั่นยิ้มอย่างขมขื่นและจนปัญญา แท้จริงแล้ว สาเหตุไม่ได้เกิดจากอวิ๋นเหยา ทว่ากลับเป็นเฉิงหวังเฟยต่างหาก
เพราะว่าหันหมิงชั่นมีแผลเป็นตรงคาง ทำให้เฉิงหวังเฟยไม่โปรดปรานนางมาโดยตลอด และรู้สึกว่าบุตรชายของตนไม่ใช่ว่าไม่มีปัญญาหาสะใภ้ที่ดี แล้วเหตุใดถึงต้องสู่ขอสตรีที่เสียโฉมคนหนึ่งด้วยเล่า อีกอย่างเฉิงหวังเฟยก็มีนิสัยที่ไม่ค่อยดี หลายครั้งตอนที่ไม่มีผู้อื่นอยู่ นางก็มักจะดูหมิ่นเหยียดหยามหันหมิงชั่น
หันหมิงชั่นเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักของบิดามารดาและพี่ชาย ถึงแม้ภายนอกอาจจะดูถ่อมตนและรู้ตำรามีเหตุผล ทว่าแท้จริงแล้วนางก็มีนิสัยที่ดื้อรั้นในอีกด้าน แล้วจะสามารถยอมรับการดูหมิ่นของเฉิงหวังเฟยได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ดูจากภายนอกหันหมิงชั่นกับน้าสะใภ้คนนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ทว่าภายในใจกลับเข้ากันไม่ได้
อีกอย่างองค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็ไม่ใช่คนโง่ เหตุเพราะเรื่องของบุตรี ก็ทำให้นางเคยทะเลาะถกเถียงกับน้องสะใภ้คนนี้อยู่ไม่น้อย ดังนั้นตอนที่ไทเฮายังทรงดำรงอยู่ก็ไม่ค่อยโปรดปรานเฉิงหวังเฟยนัก หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็คือฝีมือขององค์หญิงใหญ่หนิงหวา
[1] เก๊ามิ่ง คือ ภรรยาของขุนนางระดับ 1 ถึงระดับ 5 เรียกว่าชั้นเก๊ามิ่ง
[2] ฝูเหริน คือ ภรรยาเจ้านายชั้นรองลงมาจนถึงภรรยาขุนนางระดับสอง