ตอนที่ 144 สุชนหวงแหน บุตรีเอาแต่ใจ (5)
ด้วยเหตุนี้ เฉิงหวังเฟยเลยคิดหาวิธีที่จะขัดขวางงานสมรสของบุตรชายและหันหมิงชั่น ไม่เช่นนั้นจนถึงตอนนี้อวิ๋นคุนกับหันหมิงชั่นจะยังไม่มีอะไรคืบหน้าได้อย่างไร
ทว่าคำพูดเหล่านี้นางกลับบอกเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่นางจะชอบพอบุตรชายของผู้อื่น ทว่ากลับไม่ชื่นชอบมารดาของเขา นี่เป็นเรื่องที่อกตัญญูอย่างยิ่ง ลูกสะใภ้สามารถหย่าร้างได้ ทว่ามารดามีเพียงคนเดียว ต่อให้อวิ๋นคุนรักใคร่นางมากเพียงใด ก็ไม่มีทางไม่เอามารดาและน้องสาวเพื่อนางอยู่แล้ว
ทว่าหันหมิงชั่นไม่พูด เหยาเยี่ยนอวี่ก็สามารถเข้าใจได้
อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่เป็นสตรีที่ถูกตามใจจนนิสัยเสีย ทำตัวโอหังอวดดี ไม่เห็นแก่ความรู้สึกของหันหมิงชั่นอยู่แล้ว ต่อให้ปากจะเรียกว่าพี่สาว แท้จริงแล้วกลับไม่เคยเห็นหันหมิงชั่นอยู่ในสายตา และเหตุใดนางถึงกล้าทำเยี่ยงนี้ เหตุผลหลักๆ ก็คงมาจากการได้รับอิทธิพลจากบิดามารดา
เฉิงอ๋องและองค์หญิงใหญ่หนิงหวาเป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน พวกเขาสองพี่น้องคงไม่มีปัญหาอะไรกันอยู่แล้ว เฉิงอ๋องที่เป็นเสด็จน้าก็คงไม่ทำอะไรกับหลานสาวหรอก เช่นนั้นก็คงมีเพียงเฉิงหวังเฟย ระหว่างคนที่เป็นญาติมีเรื่องที่ไม่ถูกคอกัน ก็คือเรื่องปกติอยู่แล้ว ย่อมไม่สามารถคาดหวังว่าพี่ปฏิบัติกับน้องดั่งเพื่อน น้องเคารพนับถือพี่ มีความรักใคร่และสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของเหล่าราชนิกุลที่เอาแต่แสวงหาผลประโยชน์
หันหมิงชั่นกังวลถึงความสัมพันธ์ของน้ากับหลานและแม่สามีกับลูกสะใภ้ เลยทำให้ถอยหนีเมื่อเผชิญกับความรัก เหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างคาดคิดไม่ถึง ทว่าพอครุ่นคิดอย่างละเอียด นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมแสวงหาชีวิตที่ไม่เป็นอิสระให้ตนเองหรอก ต่อให้เป็นหันหมิงชั่นก็ตาม อีกอย่างถ้าอวิ๋นคุนมีความกล้าหาญขึ้นมาบ้าง พวกเขาสองคนจะรอคอยมาหลายปีเยี่ยงนี้ได้อย่างไร
วันนี้ พอดูๆ แล้ว ถึงแม้อวิ๋นคุนจะโปรดปรานหันหมิงชั่นที่เป็นญาติผู้น้องคนหนึ่ง ทว่าก็ไม่มีทางไม่สนใจคนในครอบครัวเพื่อญาติผู้น้องคนนี้อยู่แล้ว ดังนั้น เวลานี้หันหมิงชั่นยอมแพ้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
ความรักก็คือสิ่งที่เปราะบางมากเช่นนี้นี่แหละ
หากเทียบกับแต่งเข้าไป เหตุเพราะมีเรื่องมากมายมาทำให้พวกเขาสองคนที่รักซึ่งกันและกันเกิดความเกลียดชังกัน เช่นนั้นก็ไม่สมรสกันจะดีกว่า อย่างน้อยภายในใจของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงหลงเหลือพื้นที่เล็กๆ ที่ยังรู้สึกถึงความดีและอ่อนโยนของอีกฝ่าย อนาคตไม่ว่าจะเป็นไปอย่างไร ก็ยังสามารถจดจำความดีของกันและกัน
หันหมิงชั่นเป็นฝ่ายขอให้เหยาเยี่ยนอวี่ผ่าตัดรอยแผลเป็นบนดวงหน้าของนาง อวิ๋นคุนรู้เรื่องตั้งนานแล้ว เขาคำนวณเวลาก็รู้ว่าหันหมิงชั่นคงเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้ว จึงได้หาข้ออ้างมาจวนองค์หญิงใหญ่เพื่อที่จะเยี่ยมเยียนน้องสาวที่เป็นญาติผู้น้องที่เขาคอยเฝ้าคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายกลับไม่ได้เจอหน้า
หันซังเย่ว์บอกเขาว่าน้องรองออกไปข้างนอกแล้ว
อวิ๋นคุนจึงเอ่ยถาม “ไปไหน ไปตามลำพังหรือ เหตุใดเจ้าถึงไม่ตามไป”
หันซังเย่ว์ได้ยินน้องสาวบอกว่าจะไม่ให้อวิ๋นคุนคอยตามรังครวญ เขาก็รู้ว่าภายในใจของน้องสาวรู้สึกหมองเศร้า จึงอ้างด้วยเหตุผลว่านางออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ภายในใจของน้องสาวของเขาไม่มีความสุขเช่นนี้ ก็เพราะว่าผู้ร้ายคนนี้ แล้วผู้ร้ายคนนี้มีสิทธิ์อะไรที่จะใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ ดังนั้นจึงคลี่ยิ้ม “นางไปหาคุณหนูเหยา บอกว่ามีเรื่องหม่นหมองใจที่อยากจะไประบายให้คุณหนูเหยาฟัง ข้าตามไปก็คงไม่สะดวก อย่างไรนางก็อยู่ในเขตเมืองหลวงอวิ๋นอยู่ดี แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้”
“ชั่นเอ๋อร์เป็นอะไรไป” อวิ๋นคุนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แผลเป็นนั้นผ่าตัดได้ไม่ดีหรือ”
หันซังเย่ว์ยกยิ้ม แล้วไม่ได้ตอบ ทว่ากลับถามสวน “วันนี้ญาติผู้พี่มาหาน้องรองของข้าโดยเฉพาะหรือ”
“ใช่ มีอะไรรึ ไม่ได้หรือไร” อวิ๋นคุนถือว่าหน้าด้านพอ อีกอย่างเขารู้สึกว่าเรื่องที่ตนชอบพอหันหมิงชั่นก็ไม่ใช่ความลับอะไร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อม
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ทว่ามาหาไม่ได้จังหวะเลยต่างหาก” หันซังเย่ว์แย้มยิ้ม “ข้ากำลังจะออกไป ไม่เช่นนั้นท่านพี่ก็ไปนั่งเล่นที่เรือนของท่านแม่ข้าก่อนดีหรือไม่”
อวิ๋นคุนค่อนข้างเกรงกลัวองค์หญิงใหญ่หนิงหวา ดังนั้นจึงจับจมูกพลางยกยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ไม่แล้ว พอดีข้าก็มีธุระต้องไปที่จวนเสี่ยนจวินหน่อย วันหลังค่อยมาน้อมทำความเคารพเสด็จป้าแล้วกัน” กล่าวจบ อวิ๋นคุนก็กล่าวอำลาแล้วออกจากจวนองค์หญิงใหญ่ แล้วมุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพติ้งหย่วน
ในจวนแม่ทัพติ้งหย่วน ฉังเหมาพาบ่าวไพร่กลุ่มหนึ่งกำลังทำความสะอาดทั้งในและนอกเรือน เพื่อเตรียมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ่อบ้านใหญ่ฉังเหมาได้สั่งการกลุ่มคนทำงานเรือนไปด้วยและพึมพำด้วยเสียงเบาไป “แม้แต่นายหญิงก็ยังไม่มีสักคน บ้านก็ไม่เหมือนบ้าน แม่ทัพก็ถึงอายุอันสมควรแก่การสมรสแล้ว… เฮ้อ! เพียงแต่ว่าคุณหนูเหยาท่านนั้นช่างใจแข็งยิ่งนัก…”
“โอ้! เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่” อวิ๋นคุนยืนอยู่ด้านหลังฉังเหมาแล้วตะโกนเสียงดังขึ้น ทำให้ฉังเหมาสะดุ้งตกใจจนเกือบจะคุกเข่าลง
“โธ่ๆ! คารวะท่านซื่อจื่อขอรับ” ฉังเหมาพลันน้อมทำความเคารพให้อวิ๋นคุน พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “ลมอะไรพัดท่านมาถึงที่นี่ เชิญเข้ามาข้างในก่อนขอรับ ท่านแม่ทัพของพวกบ่าวอยู่ในจวนพอดี และกำลังอุดอู้อยู่แต่ในห้องอักษรตามลำพัง ท่านมาได้ช่างบังเอิญยิ่งนัก”
อวิ๋นคุนยกยิ้ม แล้วไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เดินตามฉังเหมาไปที่ห้องอักษรของเว่ยจาง
เว่ยจางกำลังเช็ดดาบยาวหนึ่งด้ามอยู่ ดาบยาวสามฉื่อ[1] และใบมีดแหลมคมและเย็นยะเยือก แค่ขยับเบาๆ ก็จะส่งเสียงทุ้มต่ำและคมชัดออกมา เหมือนดั่งเสียงมังกรคำราม
“นายท่าน ท่านซื่อจื่อมาเยือนขอรับ” ฉังเหมาผลักประตูเข้าไป จากนั้นก็เฉียงลำตัวหลีกทางให้กับอวิ๋นคุน
“เสี่ยนจวิน…” อวิ๋นคุนเดินเข้าประตูไปทันที พอเห็นดาบในมือของเว่ยจาง จึงเอ่ยชม “อา! ดาบนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เว่ยจางเงยหน้าแล้วส่งยิ้มให้กับอวิ๋นคุน แล้วเอาผ้าที่เช็ดดาบไว้ข้างๆ จากนั้นก็พลิกข้อมือพร้อมกับร่ายรำดาบ พลางคลายยิ้มและเอ่ยพูด “ท่านซื่อจื่อรู้จักดาบเล่มนี้หรือไม่”
“แน่นอน” อวิ๋นคุนยกยิ้มพลางยื่นมือออกไป ปลายดาบเปล่งประกายแสงสีเขียวกำลังลอยผ่านหน้าอย่างแผ่วเบา เขาทะนุถนอมดาบเหมือนดั่งผิวของเด็กทารกแรกเกิดและระมัดระวังยิ่งนัก “นี่ไม่ใช่เป็นดาบ ‘ปี้สุ่ย’ ที่เจ้ายึดได้จากแม่ทัพซีเจวี๋ยในการออกรบครั้งนี้หรือ”
เว่ยจางพยักหน้าอย่างมีความสุข “เป็นเช่นนั้น”
“ข้าจำได้ว่าดาบเล่มนี้ถูกเจิ้นกั๋วกงนำเข้าไปเป็นดาบในคลังหลวงแล้วนี่” อวิ๋นคุนถามยิ้มๆ “ตอนนี้เหมือนว่าเสด็จลุงฮ่องเต้ทรงตบรางวัลให้เจ้าแล้ว?”
เว่ยจางยกยิ้ม แล้วพูดขึ้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานผิดคน”
“ไม่ผิด เจ้าสมควรได้รับดาบเล่มนี้ เสด็จลุงฮ่องเต้ทรงชาญฉลาดยิ่งนัก”
เว่ยจางยกมือเก็บดาบเข้าไปในฝักดาบ จากนั้นก็เอาไปแขวนอยู่บนตะขอสัมฤทธิ์ตรงผนัง แล้วเอ่ยถามอวิ๋นคุน “วันนี้ท่านซื่อจื่อมาหาข้าน้อย มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร” อวิ๋นคุนยกยิ้มบางๆ แล้วหันไปนั่งลง “ในบรรดาพวกเขา บางคนก็กำลังพักฟื้นแผลให้หายดี ส่วนภรรยาของอีกคนก็ป่วย ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวาย เหลือเพียงข้าที่มีเวลาว่าง ทั้งวันก็ไม่มีการใดทำ รู้สึกว่างจนคันไม้คันมือ ดังนั้นเลยมาดูว่าเจ้าทำอะไร มีอะไรน่าสนุกหรือไม่”
“ที่ข้าน้อยไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก นี่ก็ใกล้ตรุษจีนแล้ว ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลา ใครจะมีกะจิตกะใจไปหาเรื่องสนุกๆ ทำกันล่ะ” เว่ยจางครุ่นคิด จู่ๆ ก็ยกยิ้ม “เอ๊ะ… ข้าได้ยินมาว่าในสนามม้าซีหวั่นมีม้าพันธุ์ดีอยู่ตัวหนึ่ง ไม่เช่นนั้นพวกเราลองไปดูกันเถอะ?”
“ใช่!” อวิ๋นคุนยิ้มแล้วตบราวจับเก้าอี้ “เหตุใดข้าถึงลืมเรื่องนี้ไปได้!”
“ท่านซื่อจื่อรอข้าน้อยเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกันเถอะ” เดิมทีเว่ยจางพูดอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นคุนสนใจ เขาก็รู้สึกมีความสำราญใจเช่นกัน
“เร็วเข้า” อวิ๋นคุนมองแขนเสื้อยิงธนูที่ทำจากผ้าไหมจีนผืนสีน้ำเงิน แล้วคลี่ยิ้ม โชคดีที่วันนี้ตนไม่ได้สวมใส่ชุดคลุมยาวมา
ในขณะนี้ ทางฝั่งจวนเก่าของตระกูลเหยา
หันหมิงชั่นหลังจากที่นิ่งเงียบไปสักพัก ทันใดนั้นก็เอ่ยพูดถึงเรื่องขี่ม้า จึงสั่งให้ซูอิ่งเตรียมตัว
ในเสื้อผ้าที่หันหมิงชั่นส่งมาให้เหยาเยี่ยนอวี่ มีชุดสำหรับขี่ม้าโดยเฉพาะ ซูอิ่งจึงเปิดหีบแล้วเอาเสื้อผ้าออกมา เป็นชุดขี่ม้าในฤดูหนาวอยู่สองชุดพอดี
เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ก็ถูกหันหมิงชั่นบีบบังคับให้เปลี่ยนชุดขี่ม้าสีม่วงอ่อนสำหรับสตรีโดยเฉพาะ หลังจากนั้นผมที่เกล้ามวยไว้ถูกแกะออก แล้วถูกซูอิ่งหวีแล้วถักเปียเส้นยาวๆ ลงไปหนึ่งเส้น แล้วค่อยสวมทับหมวกหนังสุนัขจิ้งจอก และคลุมด้วยเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าต่วนสีเหลืองแกมส้มลายนกสีม่วงและเย็บติดกับขนสุนัขจิ้งจอกขาว พร้อมกับยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “สง่าผ่าเผยดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด!”
[1] ฉื่อ เป็นหน่วยความยาวของจีน หนึ่งฉื่อ เท่ากับ หนึ่งฟุต