ตอนที่ 152 เฉิงอ๋องสั่งสอนบุตรี เยี่ยนอวี่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (3)
เมื่อเทียบกับบรรยากาศที่ครึกครื้นด้านนอก ในเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เงียบกริบ ชุ่ยเวยกำลังเย็บปักถุงบุหงามงคลสีเหลืองแกมเขียวอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ คุณหนูเหยากลับจับตำราโอสถโบราณเล่มหนึ่งแล้วพิงอยู่บนตั่งไม้พร้อมกับพลิกอ่านอย่างช้าๆ
เหยาเหยียนอี้รู้เรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่รักษาบาดแผลให้เด็กตรงกลางถนนใหญ่ของเมืองหลวงอวิ๋น ทว่าเขากลับไม่ถามให้มากความ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา ตั้งแต่ที่พวกเขาสองพี่น้องเข้าพักในจวนเก่าของตระกูล ก็มีการคบหาและมีความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่
เหยาเหยียนอี้พยายามให้ชีวิตที่อิสระกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเต็มที่ เรื่องของนาง เขาพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่ถาม และพยายามปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยนางไปทำเรื่องที่ตนเองอยากทำ ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่ก็ค่อยๆ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ตามสบายตอนอยู่กับพี่ชายคนนี้ บางครั้งพวกเขาสองคนกินข้าวกัน ไม่เหมือนเป็นความสัมพันธ์พี่น้อง กลับเหมือนมิตรสหายที่รู้จักกันมาหลายปี
บางครั้ง เหยาเยี่ยนอวี่ก็แอบครุ่นคิด แท้จริงแล้วพี่รองก็ถือว่าเป็นคนที่คบหาง่ายอยู่เหมือนกัน แค่เขายินยอม เขาก็สามารถคบหากับทุกคนได้เป็นอย่างดี
ในวันที่สองของวันที่ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เหยาเยี่ยนอวี่ถูกเสียงดังลั่นของประทัดทำให้ตื่นแต่เช้าตรู่ ชุ่ยเวยเข้ามาถามนางว่าจะตื่นนอนหรือยัง เหยาเยี่ยนอวี่ดึงผ้าห่มแล้วเอามาปิดหูไว้ จากนั้นก็หลับใหลต่อไป
นางได้กินอาหารเที่ยงกับเหยาเหยียนอี้ คุณชายรองตระกูลเหยาเห็นว่าน้องรองหลับจนเปลือกตาบวมเล็กน้อย จึงเอ่ยถามยิ้มๆ “น้องสาวเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนเชียว ถึงได้หลับถึงยามซื่อ[1]แล้วค่อยตื่นนอนเช่นนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มเก้อเขิน แล้วขยี้ตาพลางพูดขึ้น “อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เมื่อคืนข้าอ่านตำราจนดึกเกินไป”
“อืม กินเสร็จค่อยไปนอนพักต่อ ตอนกลางคืนต้องโต้รุ่งในคืนข้ามปีอีก” หางตาของเหยาเหยียนอี้แฝงด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะมองน้องสาวคนนี้อย่างไรก็เข้าตาหมด
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “นอนอิ่มเกินไป เกรงว่าคงจะนอนไม่หลับแล้วเจ้าค่ะ”
สองพี่น้องกินอาหารกันเสร็จ เหยาเหยียนอี้ก็ให้เหยาเยี่ยนอวี่กลับไปพักผ่อน อย่างไรก็มีพวกเขาแค่สองพี่น้องที่เฉลิมฉลองตรุษจีนในเมืองอวิ๋น ในจวนถึงไม่มีเรื่องอะไรมากมาย และไม่มีญาติมิตรมากเท่าใดมาเยี่ยมเยียน พอมาคิดๆ ดูแล้ว วันที่หนึ่งกับวันที่สองของปีใหม่ก็คงไม่มีการใดทำ คิดว่าวันที่สามของปีใหม่คงจะไปเยือนจวนติ้งโหว หลังจากนั้นก็ค่อยดูสถานการณ์อีกที
เหยาเหยียนอี้มองแผ่นหลังที่บอบบางของน้องรอง นิ้วมือจึงแตะราวจับเก้าอี้เบาๆ นี่คงจะเป็นเทศกาลตรุษจีนที่สบายที่สุดของเขาแล้ว
ตอนกลางคืน สองพี่น้องจึงอยู่โต้รุ่งด้วยกัน นี่เป็นวัฒนธรรมของราชวงศ์ต้าอวิ๋น ลูกหลานทุกคนต้องอยู่โต้รุ่งในคืนส่งท้ายปีเก่าเพื่อที่จะเป็นพรให้รุ่นอาวุโสมีอายุที่ยืนยาว ถึงแม้บรรพบุรุษของตระกูลเหยาจะเป็นพ่อค้า ทว่าวันนี้ก็มีทายาทสามรุ่นร่ำเรียนตำราและเข้าร่วมสอบคัดเลือกขุนนาง แน่นอนว่าต้องเห็นความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาบ้าง
อาหารมื้อส่งท้ายปีเก่าต้องเลิศรสและสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ทั้งสองพี่น้องจึงดื่มสุราบ้าง
เพราะว่าว่างจนไม่มีอะไรทำ เหยาเหยียนอี้ก็เอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่อย่างผิวเผิน “วันนี้ก็ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว หนึ่งปีที่ผ่านไป ถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่ามีเรื่องที่ทำให้ใจหายใจคว่ำและอกสั่นขวัญหายเกิดขึ้น ทว่าน้องรองก็ทำสิ่งที่น่าตื่นเต้นดีใจให้กับพวกข้าไว้มากมาย น้องหญิงใหญ่สามารถหายป่วยแล้วยังได้ตั้งครรภ์ ท่านพ่อทำงานราชการอย่างราบรื่น นี่ล้วนเป็นฝีมือของน้องรอง ไม่รู้ว่าปีหน้าน้องรองมีแผนการอย่างไร”
เหตุเพราะบรรยากาศดีเกินไป อารมณ์ของเหยาเยี่ยนอวี่จึงผ่อนคลายเป็นพิเศษ พอถามถึงคำถามนี้ นางก็แย้มยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับ “จะวางแผนอะไรได้เจ้าคะ ข้ามีเพียงความปรารถนาอย่างเดียว นั่นก็คือปลูกพืชสมุนไพรเหล่านั้นในเรือนกระจกตรงบ้านนาน้อยก็พอ หลังจากฤดูใบไม้ผลิเริ่มขึ้น ข้าอยากจะให้เหล่าหวงปลูกสมุนไพรหญ้าห้ามเลือดและซานชีเต็มเนื้อที่ของบ้านนา หวังว่าจะมีผลเก็บเกี่ยวที่ดี”
เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้ม “เช่นนี้ก็ดีเลย ไม่เช่นนั้นพวกเราหาที่ดินกว้างกว่านี้ แล้วปลูกด้วยกัน?”
“เอ๋อ?” เหยาเยี่ยนอวี่มองเหยาเหยียนอี้อย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ซานชีกับหญ้าห้ามเลือดไม่เหมาะกับสภาพอากาศทางนี้ ต่อให้ปลูกขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าจะเจริญเติบโตได้ดีหรือไม่ ถึงเวลา ถ้าขาดทุนย่อยยับ พี่รองถือโทษข้าไม่ได้นะ”
“ไม่หรอก” เหยาเหยียนอี้ยิ้มอย่างสุขใจและร่าเริง “ข้าไม่ได้คิดจะปลูกในเมืองอวิ๋น”
“หือ?” ครั้งนี้เหยาเยี่ยนอวี่ตามความคิดของเหยาเหยียนอี้ไม่ทัน
“ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้คนไปซื้อที่ดินไม่กี่ฉิ่ง[2]ที่ฝูเจี้ยน หากเป็นไปได้ ข้าคิดว่าจะปลูกซานชีในเนื้อที่ไม่กี่ฉิ่งนั่น” เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้า วิบวับชัดเจนกว่าดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกข้า หญ้าห้ามเลือดเป็นพืชป่าที่ขึ้นในเขตร้อนชื้นใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเราไปเสียเงินจ้างคนไปเด็ด หลังจากตากแห้งแล้วส่งมาทำเป็นยาต่อ เช่นนี้จะได้ไม่ยุ่งยากและยังรวดเร็ว แล้วยังสามารถหาเงินได้ไม่น้อย ทำเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไปอย่างฉับพลัน ภายในใจกำลังคิดว่า อย่างไรตนก็ไม่มีสมองทางการค้า ตนเองเอาแต่ทำการวิจัยไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดคนเหล่านี้ที่เต็มไปด้วยความคิดในการแสวงหาผลกำไรและความคิดสร้างสรรค์จะได้รับเงินเป็นจำนวนมาก ส่วนตนเองที่ทำงานหนักกลับไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเท่าไหร่
“แค่ว่า หญ้าห้ามเลือดนี้มีเพียงน้องสาวที่เข้าใจ เรื่องนี้ยังต้องรบกวนเจ้าอีกเยอะ อืม…ข้าคิดว่าหลังจากที่ทำการสำเร็จ ก็ให้หักค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนทั้งหมด พวกเราสองพี่น้องแบ่งกันคนละครึ่ง ดีหรือไม่”
แล้วจะทำอย่างไรได้ ถึงตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่ก็ทำได้เพียงรื่นเริงยินดีในใจที่มีพี่ชายหัวการค้าคนหนึ่ง แล้วยังจะพูดอะไรได้อีก ดังนั้น สิ่งที่สองพี่น้องตระกูลเหยาเสวนาในคืนส่งท้ายปีเก่า กลับเป็นเรื่องที่จะแสวงหาผลกำไรอย่างไร
เหยาเหยียนอี้รู้ว่าสูตรปรุงยาของเหยาเยี่ยนอวี่ มีส่วนผสมของสมุนไพรสองชนิดที่แทบจะไม่มีใครรู้จักในต้าอวิ๋น แม้กระทั่งสำนักหมอหลวงเองก็ยังไม่เคยใช้ เขาจึงเริ่มความคิดนี้มานานแล้ว ตอนแรกเขาเดาว่าฮ่องเต้จะทรงนำสูตรปรุงยานี้ไปทำเป็นผงยาให้เหล่าสตรีในวังหลังใช้ ทว่าไม่นานก็สามารถคิดจนเข้าใจ เพื่อสตรีวังหลัง ฮ่องเต้ไม่มีทางทุ่มเทแรงกายแรงใจเช่นนี้
อย่างไรสตรีในราชวงศ์ต้าอวิ๋นก็เป็นของฮ่องเต้ เขาอยากจะได้สาวงามแค่ไหนจะเป็นเรื่องยากได้อย่างไร ถ้าใบหน้าของคนนี้มีแผลเป็น ก็สามารถทอดทิ้งได้ทันที แล้วค่อยหาสตรีที่มีโฉมหน้างดงามคนใหม่
ดังนั้นเหยาเหยียนอี้มั่นใจว่าฮ่องเต้จะทรงใช้ผงยานี้กับทหารองครักษ์ข้างกาย จากนั้นหากสามารถปรุงยาได้เป็นจำนวนมาก ก็ยังสามารถให้เหล่าทหารชั้นยอดในกองทัพใช้ อย่างไรกองทัพก็คืออาวุธที่ทำให้สามารถครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่นและมั่นคง
พอเป็นเช่นนี้ ผงยานี้จึงทำขึ้นอย่างเรื่อยเปื่อยมิได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องเก็บสูตรปรุงยาไว้เป็นความลับ คนที่รู้ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี เช่นนี้จะได้รับประกันได้ว่าแคว้นศัตรูไม่สามารถนำไปใช้ได้ จะได้ไม่ต้องสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
เช่นนี้ ผู้ที่ปรุงสูตรยานี้ ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี และเหยาเยี่ยนอวี่เองก็คือผู้ที่คิดค้นสูตรปรุงยานี้ ฮ่องเต้ต้องไม่ปล่อยนางไปแน่นอน และต้องเก็บไว้ให้ตนเองได้ใช้งาน แค่ต้องดูว่าจะใช้งานอย่างไร ตอนนี้ยังไม่มาเรียกตัวนางไปพบ ก็คงเป็นเพราะเทศกาลตรุษจีนอย่างแน่นอน จึงไม่ทันมีเวลาวางแผนจัดการ
หากเป็นเช่นนี้ จึงถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก
เหยาเหยียนอี้อยากจะเปิดร้านขายยาในเมืองหลวงอวิ๋น แม้กระทั่งยังอยากเปิดร้านยาภายใต้นามของเหยาเยี่ยนอวี่ เป้าหมายก็เพื่อช่วยฮ่องเต้จัดซื้อสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมของสูตรปรุงยา แน่นอน เขาไม่สามารถโลภมากได้ จึงไม่ได้หวังว่าจะสามารถทำธุรกิจที่ขายสมุนไพรยานับสิบๆ ชนิด อีกอย่างยังสามารถมั่นใจได้ว่าฮ่องเต้ไม่มีทางซื้อส่วนผสมของยาในร้านยาเดียวกันแน่นอน
เหยาเหยียนอี้แค่คิดว่าหากสามารถพึ่งพาเหยาเยี่ยนอวี่ น้องสาวคนนี้ของเขา การเป็นผู้จัดหาวัสดุยาสองชนิดที่ไม่คุ้นเคยคือ หญ้าห้ามเลือดและดักแด้ดิน จะทำรายได้เป็นเงินจำนวนมากทุกปี
เหยาเยี่ยนอวี่เป็นคนที่เกียจคร้านที่จะไปถามเรื่องธุรกิจให้มากความ ทว่านางไม่ได้ไม่เข้าใจทั้งหมด เหยาเหยียนอี้พูดแค่สองสามประโยค นางก็เข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นนางจึงเอ่ยสิ่งที่นางกังวลและข้อคิดเห็นของตนออกมาโดยไม่เก็บเอาไว้ เหยาเหยียนอี้จึงวิเคราะห์ไปด้วยและแสดงความคิดเห็นของตนไปด้วย สองพี่น้องจึงได้ประชุมเรื่องธุรกิจการค้ากันจริงๆ จึงพูดคุยเสวนากันอย่างเพลิดเพลินไปทั้งคืน
[1] ยามซื่อ เป็นเวลา 9.00 น. ถึง 11.00 น.
[2] ฉิ่ง เป็นหน่วยพื้นที่ของจีน ซึ่ง 1 ฉิ่ง เท่ากับ 10,000 ตาราเมตร