ตอนที่ 153 เฉิงอ๋องสั่งสอนบุตรี เยี่ยนอวี่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (4)
เสียงประทัดด้านนอกดังสนั่นขึ้นมาทันที เหยาเยี่ยนอวี่จึงสะดุ้งตกใจแล้วยิ้มพลางพูดขึ้น “ปีใหม่มาถึงแล้ว!”
เหยาเหยียนอี้ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกมีชีวิตชีวา จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าพลางเหยียดกายลุกขึ้น แล้วเอ่ยขึ้น “ไป พวกเราไปจุดประทัดกัน”
น้อยครั้งที่เหยาเยี่ยนอวี่จะรู้สึกดีใจ จึงออกไปข้างนอกกับพี่รอง จากนั้นก็ได้เรียกให้เถียนหลัว เซินเจียง คนอื่นๆ และเสี่ยวซืออีกหลายๆ คน ไปด้วยกัน ประทัดก็ได้ถูกขนไปที่ลานกว้างตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จากนั้นจึงมีเสียงปังๆ อันน่ารื่นเริงยินดีดังก้องไปทั่วลานกว้าง หลังจากที่จุดประทัดเสร็จ ก็ปล่อยดอกไม้เพลิงต่อ
ท้องฟ้าที่มืดครึ้มของเมืองหลวงอวิ๋นเจือด้วยสีสันอันเจิดจรัสของดอกไม้เพลิงขึ้นมาทันที
ร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ปกคลุมไปด้วยผ้าต่วนขนปุยสีแดงมงคลแล้วยืนอยู่ใต้ชายคาระเบียงพลางมองดอกไม้เพลิงไปสักพัก ก็รู้สึกง่วงนอน
เหยาเหยียนอี้สั่งให้โรงครัวต้มเกี๊ยวร้อนๆ สองพี่น้องกินไปไม่กี่ลูกก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่เรือนนอนของตน
วันที่หนึ่งของปีใหม่ เหยาเยี่ยนอวี่อยู่เล่นไพ่ในเรือนกับชุ่ยเวย ชุ่ยผิง ปั้นซย่าและไม่ตงไปทั้งวัน แรกเริ่มก็ชนะเงินมาบ้าง จากนั้นก็เริ่มแพ้ไปบ้าง พอแพ้ไปสักพักก็เริ่มชนะต่อ เล่นถึงตอนสุดท้ายกลับชนะมาห้าร้อยตำลึง ดังนั้นจึงทิ้งเหรียญกษาปณ์ทองแดงเหล่านั้นไว้ให้พวกสาวใช้แย่งกัน
พอวันที่สองของปีใหม่ ทีแรกเหยาเยี่ยนอวี่ก็ยังเตรียมตัวที่จะเล่นกับเหล่าสาวใช้ในเรือนต่อ พอเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จ คนของจวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็มาเยือน แล้วบอกว่าองค์หญิงใหญ่สั่งให้มารับคุณหนูเหยาและองค์ชายรองตระกูลเหยาไปฉลองตรุษจีนด้วยกัน
เหยาเหยียนอี้ครุ่นคิดในใจ เยี่ยนอวี่ช่างมีหน้ามีตาจริงๆ นี่ก็เพิ่งถึงวันที่สองของตรุษจีน จวนองค์หญิงใหญ่ก็ส่งคนมารับแล้ว ดังนั้นสองพี่น้องจึงรีบแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วนั่งรถม้าพาพวกบ่าวไพร่ที่คอยติดตามพวกเขามุ่งหน้าไปยังจวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวา
จวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวากลับไม่ได้ติดกลอนคู่เหมือนดั่งจวนขุนนางโดยทั่วไป บนฝาผนังอันกว้างขวางมีเพียงตัวอักษรคำว่าฝูที่ฮ่องเต้ทรงพระอักษรเอง แล้วยังมีกลอนคู่อีกหนึ่งชุดคือ “ฤดูวสันต์อันอบอุ่นอาบพระพายอ่อนๆ การให้อภัยคือกลิ่นหอมของคุณงามความดี” หัวข้อของกลอนคู่คือ “ฤดูวสันต์กลับคืนสู่ผืนแผ่นดินกว้าง” ต่างก็เป็นอักษรที่ฮ่องเต้ทรงเขียน
นอกจากนี้ ก็ไม่เห็นว่าที่ใดจะมีกลิ่นอายของความเป็นสิริมงคลเลย แม้แต่โคมไฟสีแดงก็ยังไม่มี ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่าเป็นเพราะไทเฮาพระมารดาขององค์หญิงใหญ่หนิงหวา จึงไม่มีการแขวนโคมไฟและประดับประดาสีสันใดๆ การไว้อาลัยของแคว้นคือหนึ่งปี ทว่าผู้ที่เกิดเป็นบุตร จะต้องแสดงความกตัญญูไว้อาลัยให้กับบิดามารดาเป็นเวลาสามปี
หลังจากลงจากรถม้า หมัวมัวที่คอยดูแลจวนองค์หญิงใหญ่เดินเข้ามาต้อนรับ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ต้องไปเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่อยู่แล้ว ส่วนเหยาเหยียนอี้ก็ถูกคนเชิญไปจวนเจิ้นกั๋งกงที่อยู่ด้านข้าง
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าบรรยากาศในจวนองค์หญิงใหญ่นั้นไม่เหมือนที่ผ่านมาเล็กน้อย หันหมิงชั่นไม่ได้ออกมาเจอนาง แม้กระทั่งพวกบ่าวก็ดูเคารพนางมากขึ้น และให้ความรู้สึกที่สนิทสนมน้อยลง
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิด เหยาเยี่ยนอวี่และหมัวมัวก็เดินเข้าไปในตำหนักจิ่งหวาที่ซึ่งเป็นสถานที่ที่องค์หญิงใหญ่หนิงหวาไปประทับเป็นประจำ
หลังจากเดินผ่านฉากกั้นฉลุ แล้วเดินเข้าไปส่วนลึกของตำหนักจิ่งหวา สุดท้ายเหยาเยี่ยนอวี่ก็เดินผ่านฉากกั้นแกะสลักภาพฝูงอาชาจำนวนมหาศาลวิ่งพุ่งโจนทะยานที่ทำจากหยกขาว จากนั้นก็ได้เจอกับองค์หญิงใหญ่หนิงหวา ดังนั้นนางจึงรีบน้อมคำนับตามกฎระเบียบของแคว้น
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาแย้มยิ้มบางๆ กลับไม่ได้สั่งให้เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้น ทว่ากลับพูดกับบุรุษผู้หนึ่งที่ประทับอยู่บนที่นั่งสูง ซึ่งมีดวงหน้าขาวผ่องดูอ่อนโยนเป็นมิตร และสวมใส่ชุดคลุมยาวสีน้ำเงินลวดลายฝูโซ่ว “เสด็จพี่ เห็นหรือยัง ยัยหนูคนนี้แหละ”
เสด็จพี่?! ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ตื่นตกใจทันที คนที่สามารถให้องค์หญิงใหญ่เรียกว่าเสด็จพี่…คือใครกัน! ได้ยินมาว่าเฉิงอ๋องเป็นน้องชายขององค์หญิงใหญ่!
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกหวาดกลัวจนหลั่งเหงื่อเย็น ๆ กระทั่งรู้สึกถึงความเย็นที่แผ่นหลังของตน
‘เสด็จพี่’ ขององค์หญิงใหญ่หนิงหวาถอนหายใจเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าพลางพูด “อ้อ! ยังคงเป็นแม่หนูที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เลยนี่”
“แม่หนูคนนี้ไม่ได้อายุเยอะอยู่แล้ว ยังเด็กกว่าชั่นเอ๋อร์อีกเพคะ” องค์หญิงใหญ่ยกยิ้มพลางพูดขึ้น “เหยาเยี่ยนอวี่ ยังไม่รีบน้อมทำความเคารพฮ่องเต้อีก”
“เพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่คุกเข่าลงบนพื้นแล้วยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ก็ได้น้อมก้มกราบลงตรงหน้าบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงหวาดหวั่น “หม่อมฉันเหยาเยี่ยนอวี่ไม่คุ้นเคยพระพักตร์ของฝ่าบาท จึงทำเรื่องที่เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท และได้กระทำผิดกฏ ขอฝ่าบาทได้โปรดทรงอภัยโทษด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อย แล้วผายพระหัตถ์อย่างใจกว้าง “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ลุกขึ้นเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบน้อมก้มกราบขอบพระทัย แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น กลับไม่กล้ายืดตัวตรงและเงยหน้าขึ้น แค่โค้งลำตัวและเอามือประสานกันตรงตัก ท่าทางของนางเหมือนสตรีตัวน้อยที่ถูกรังแก แล้วกำลังเฝ้ารอคอยให้ฮ่องเต้รับสั่งอยู่
“เหยาเยี่ยนอวี่” ฮ่องเต้ขานนามของเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยเสียงแผ่วเบา เหมือนกำลังพึมพำกับตนเอง จากนั้นก็นิ่งงันไป แล้วเอ่ยถาม “ปีนี้เจ้ามีอายุเท่าใดแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตื่นตกใจจนใจเต้นรัว คิดในใจว่า ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาที่นี่เพราะเรื่องสูตรปรุงยาไม่ใช่หรือไร จะมาเป็นพ่อสื่อหาคู่ครองให้ตนอีกคนอีกแล้วหรือ มิฉะนั้นแล้วจะมาสนใจว่าตนเองมีอายุเท่าใดไปทำไมกัน
“กราบทูลฝ่าบาท ปีนี้หม่อมฉันอายุสิบเจ็ดแล้วเพคะ”
“ปีนี้?” ฮ่องเต้แย้มพระสรวลเล็กน้อยพร้อมกับจับจ้องไปยังองค์หญิงใหญ่หนิงหวา “อา เพิ่งจะผ่านปีเก่ามา นี่ก็เป็นวันที่สองของปีใหม่แล้ว เลยโตขึ้นมาหนึ่งปี ฮ่า ฮ่า…”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาแย้มยิ้มพลางพูดขึ้น “เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย อายุช่วงนี้เหมือนดั่งบุปผาที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงาม ทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาจริงๆ”
ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย “อืม คุณหนูเหยาช่างแตกต่างจากผู้อื่น เรียกได้ว่าเป็นบุปผาที่หายากในสวนพฤกษาจริงๆ”
บุปผาที่หายาก? เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดในใจ นี่เหมือนไม่ใช่คำชมที่ดีเลย
แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่มีอินเทอร์เน็ต คิดว่าคงไม่มีความคิดที่ชอบประชดประชันผู้อื่นเหมือนคนในยุคปัจจุบัน เขาบอกว่าเป็นบุปผาที่หายาก คิดว่าประโยคนี้ก็คงจะมีความหมายเดิมของมันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงแบกรับไว้ แล้วรีบโค้งตัวพร้อมกับทูลขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันหวาดกลัวแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวล แล้วตรัสขึ้น “เรื่องของเจ้า เจิ้นได้ยินมาหมดแล้ว ตอนแรกเป็นอวิ๋นยั่ง จากนั้นก็ซู่จือ แล้วหลังจากนั้นก็ชั่นเอ๋อร์ และยังมีฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหว…เหยาเยี่ยนอวี่ เจ้าช่างเป็นแม่นางที่อัศจรรย์ในเมืองต้าอวิ๋นของเจิ้นจริงๆ”
ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยถึงเด็กน้อยที่ถูกอวิ๋นเหยาเฆี่ยนตีกลางถนนใหญ่คนนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้ข่าวหรือไม่อยากเอ่ยขึ้น ดังนั้นจึงรีบค้อมตัวพลางทูลกลับ “ฝ่าบาทตรัสชมเกินจริงแล้วเพคะ หม่อมฉันรู้สึกทั้งหวาดกลัวทั้งเกรงขามเพคะ”
“สูตรปรุงยาของเจ้า บิดาของเจ้าเอามาถวายแล้ว เจิ้นจะไม่ปิดบังเจ้า ผู้ที่อยู่ข้างกายเจิ้นใช้เวลาครึ่งเดือน กลับไม่สามารถปรุงผงยาชนิดนั้นของเจ้าออกมาได้” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความสนใจ แล้วเอ่ยถาม “เหยาเยี่ยนอวี่ เจ้าสามารถบอกเจิ้นได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
หากคุยกันถึงเรื่องอื่นคงไม่ได้ ทว่าหากจะคุยถึงสูตรปรุงยาและทักษะการแพทย์ นี่เป็นจุดแข็งของเหยาเยี่ยนอวี่เลย นางไม่เคยหวาดกลัว อีกอย่างยังรู้สึกมั่นใจยิ่งนัก ดังนั้นคุณหนูเหยาจึงตั้งสติ แล้วทูลกลับ “ทูลฝ่าบาท เช่นนี้ต้องให้หม่อมฉันดูผงยาที่ฝ่าบาททรงรับสั่งให้คนอื่นปรุงก่อน ถึงจะล่วงรู้เพคะ”
ฮ่องเต้จึงทอดพระเนตรไปยังบุรุษที่มีอายุราวๆ ห้าสิบกว่า ใบหน้าขาวผ่องและไม่มีหนวดเคราคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง เขาจึงยื่นถุงกระดาษหนึ่งห่อมาให้เหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่รับไว้แล้วเปิดออก พอเห็นผงยาที่อยู่ด้านใน จึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย สียาดูผิดปกติ
จากนั้นนางจึงเอาของสิ่งนั้นขยับเข้ามาใกล้จมูกแล้วสูดดม อืม ซานชีมากเกินไป ไม่มีกลิ่นใดๆ ของดักแด้ดิน อาจจะเป็นเพราะผสมสมุนไพรชนิดนี้น้อยเกินไป ไม่เช่นนั้นก็ใช้อย่างอื่นมาทดแทน
หลังจากนั้น นางจึงยื่นนิ้วเล็กๆ ไปแตะผงยามาลิ้มลอง หญ้าห้ามเลือดที่ใช้ก็ไม่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าไปหาหญ้าอะไรมาทดแทน
เหยาเยี่ยนอวี่จึงทูลตอบตามความจริง ฮ่องเต้ฟังจนจบแล้วรู้สึกแปลกใจอย่างมาก จากนั้นจึงแสยะยิ้มพลางเอ่ย “ที่แท้แม้แต่ส่วนผสมของยาก็ยังไม่ถูกต้อง”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาแย้มยิ้มพลางพูดขึ้น “เสด็จพี่อย่าได้โมโหเลย สมุนไพรสองชนิดที่คุณหนูเหยาบอก พวกเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน สมุนไพรที่คนของท่านหามาไม่ถูกต้องก็มีสาเหตุ อย่างไรนี่เป็นสูตรลับของคุณหนูเหยาโดยเฉพาะ คนอื่นจะรู้อย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน ไม่เช่นนั้นแผลเป็นบนใบหน้าของชั่นเอ๋อร์คงไม่ทิ้งรอยนานถึงแปดปีก็ไม่สามารถลบเลือนได้หรอกเพคะ”