ตอนที่ 159 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (5)
เฟิงฮูหยินน้อยและสกุลหลี่ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้านิ่งงันไป แล้วรีบหันไปมองสีหน้าของเหยาเฟิ่งเกอ
แน่นอนว่าเหยาเฟิ่งเกอรู้ว่าสกุลหยางตั้งใจ ดังนั้นกลับไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองใจ แค่แย้มยิ้ม “บุตรีก็ไม่มีอะไรไม่ดี ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นบุตรีกันหมดหรือ อีกอย่าง หากมีบุตรีที่เชื่อฟังและเป็นเด็กดีดั่งอวิ๋นเอ๋อร์ ก็คือบุญวาสนาของข้า”
เฟิงฮูหยินน้อยพลันพูดขึ้น “เป็นเช่นนั้น บุตรีเปรียบเสมือนเสื้อคลุมผ้าฝ้ายที่คอยติดตัวตลอดเวลา”
สกุลหยางมองเฟิงฮูหยินน้อยแล้วคลี่ยิ้มพลางเอ่ยอีกครั้ง “ฮูหยินซื่อจื่อกล่าวถูก ร่างกายของท่านก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว หากบำรุงร่างกายไปสักระยะ แล้วค่อยมีหลานชายใหญ่กับจวนโหวอีกคน ก็จะมีครบทั้งบุตรีและบุตรชาย”
ทุกคนต่างก็รู้ ครั้งนี้เฟิงฮูหยินน้อยรอดพ้นจากความตาย นางเข้าไปเดินวนเขตแดนยมราชมาสองรอบแล้ว โชคดีที่เหยาเยี่ยนอวี่ชุบชีวิตนางกลับมา หมอหลวงต่างก็พูดอย่างเด็ดขาดว่านางไม่สามารถมีบุตรอีกต่อไป ทว่าสกุลหยางกลับพูดเยี่ยงนี้ออกมา นี่กำลังสาดเกลือบนแผลของคนอื่นชัดๆ
เฟิงฮูหยินน้อยยังอยากพูดอะไรต่อ ทว่ากลับถูกสกุลหลี่จับมือเอาไว้ แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่งเงียบไป
สกุลหลี่กลับยกจอกสุราของตนไปยังสกุลหยาง แล้วคลี่ยิ้มพลางพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “ซุนฮูหยินหยางกล่าวไม่ผิด ข้าขออวยพรให้เจ้าสามารถมีบุตรชายและบุตรีในเร็ววัน”
ซุนสกุลหยางแต่งเข้าไปในตระกูลซุนจนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าหกปีแล้ว นางมีเพียงบุตรีคนเดียวเท่านั้น ตอนที่นางยิ้มเย้ยหยันเฟิงฮูหยินน้อยนั้นปากไวเกินไปหน่อย กลับนึกไม่ถึงว่าจะถูกสกุลหลี่โจมตีเช่นนี้ ทันใดนั้นก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
เหยาเฟิ่งเกอเหลือบมองสกุลหยางด้วยสายตาที่นิ่งเฉยเพียงพริบตาเดียว และไม่คิดจะเอ่ยวาจาอีก ภายในใจกำลังคิดว่า นี่แหละคือการตบหน้าตนเอง
ลู่ฮูหยินถอนหายใจอย่างเงียบๆ แล้วยกจอกเหล้าพลางแย้มยิ้มขึ้น “พอเถอะๆ! พวกเจ้าต่างก็ยังสาวกันอยู่ เรื่องที่จะมีบุตรชายและบุตรีเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว มา พวกเราชนจอกกันอีกครั้งเถอะ”
เช่นนี้ สกุลหยาง สกุลหลี่ เฟิงฮูหยินน้อย ซุนฮูหยินน้อยและคนอื่นๆ ทำได้เพียงยกจอกเหล้าขึ้นมาพร้อมกัน แล้วละทิ้งคำพูดเมื่อครู่นี้ จากนั้นก็แสดงสีหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้มให้กันอีกครั้ง
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่จึงเปรยขึ้น คนเหล่านี้อยู่ด้วยกันช่างเหน็ดเหนื่อยจริงๆ! ทะเลาะถกเถียงกันไปมาเยี่ยงนี้ก็ไม่กลัวเหนื่อยตายหรือไง!
ซูอวี้เหิงก็ฟังคำพูดเหล่านี้อย่างฝืนทน จากนั้นก็เข้าไปกระซิบข้างหูเหยาเยี่ยนอวี่ “พี่สาว ข้าคันไม้คันมือแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่จิบเหล้าหวานเบาๆ แล้ววางจอกเหล้าลงพลางเอ่ยถาม “คันไม้คันมือ? เป็นอะไรไป”
“อยากเล่นกู่เจิงแล้ว” ซูอวี้เหิงเชิดคางแล้วพูดขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่มองสถานการณ์นี้ จึงพูดด้วยเสียงต่ำ “ทว่าตอนนี้ก็ไม่สามารถเล่นได้”
จู่ๆ ซูอวี้เหิงก็เอาตะเกียบคีบอาหารให้เหยาเยี่ยนอวี่ และพูดอย่างรีบเร่ง “พี่สาวรีบกิน กินอิ่มพวกเราเผ่นหนีกันก่อน”
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าอิ่มไปนานแล้ว” เมื่อครู่กินถั่วพิตาชิโอไปหลายสิบเม็ด ก็อิ่มตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
“งั้น ข้าจะไปก่อน รออีกสักพัก แล้วท่านตามมาทีหลัง” ซูอวี้เหิงกล่าวจบ ก็แกล้งชูเหล้าให้กับเฟิงฮูหยินน้อยแล้วพูดอย่างเกรงใจไปไม่กี่คำ จากนั้นก็พูดกับเหยาเฟิ่งเกอ “พี่สะใภ้ ข้าไปล้างมือหน่อย”
เหยาเฟิ่งเกอรีบกำชับขึ้น “อย่าวิ่งไปไกลเกินไป ข้างนอกอากาศหนาวนะ”
“รับทราบ” ซูอวี้เหิงตอบกลับ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป
เหยาเฟิ่งเกอพลันมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเบื่อหน่าย จึงหันไปสั่งซานหู “อาหารเหล่านี้เลี่ยนเกินไป เจ้าไปหั่นส้มมาให้น้องรองกินหน่อยเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบพูดขึ้น “พี่สาวไม่ต้องสนใจข้า ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่นาน เหยาเฟิ่งเกอก็เห็นซานหูยกจานหยกขาวที่มีส้มรสเปรี้ยวเป็นกลีบๆ วางอยู่ แล้วพูดขึ้น “ส้มเหล่านี้เพิ่งส่งมาจากเขตตอนใต้ไม่กี่วันก่อน ยังสดใหม่และยังถือว่าหวานอยู่ ลองชิมดูว่าเหมือนตอนที่กินยามอยู่ในจวนก่อนหน้านี้หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่เอาส้อมสีเงินอันเล็กไปจิ้มส้มหนึ่งกลีบให้เหยาเฟิ่งเกอด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้น “พี่สาวก็สามารถกินได้ กินแล้วทารกในครรภ์จะได้มีผิวพรรณขาวผุดผ่อง”
“จริงหรือ” เหยาเฟิ่งเกอเอ่ยถามด้วยความตื่นตะลึง
“แน่นอนสิ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ส้มมีวิตามินซีสูง สตรีมีครรภ์กินแล้วดีต่อสุขภาพ
ไม่ให้ซูอวี้เหิงรอนานเกินไป เหยาเยี่ยนอวี่กินส้มเสร็จไปสองกลีบก็พูดด้วยเสียงเบา “ข้าไปดูเหิงเอ๋อร์หน่อยนะเจ้าคะ”
เหยาเฟิ่งเกอจะไม่รู้ถึงความคิดของสองคนนี้ได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “อย่าไปไหนเรื่อยเปื่อย ท่านโหว ท่านซื่อจื่อก็ดื่มสุรากันอยู่ในเรือนหน่วนเซียงอู้ที่อยู่ด้านข้าง ประเดี๋ยวหากเจอกันก็คงไม่ดี”
“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ขานรับ แล้วพยักหน้าให้กับเฟิงฮูหยินน้อย จากนั้นก็ออกจากงานเลี้ยงอย่างเงียบๆ
ซูอวี้เหิงคลุมเสื้อคลุมพลางรออยู่ข้างนอกแล้ว สาวใช้จั่วอวี้กำลังอุ้มกู่เจิงแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ภาพของนายกับบ่าวนี้กลับเหมือนดั่งภาพวาดหนึ่ง
เหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าไปจับมือของซูอวี้เหิงแล้วพูดด้วยความดีใจ “ออกมาได้เสียที ข้าอึดอัดจวนจะตายแล้ว”
“ไป ข้าจะพาพี่ไปสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่ง” ซูอวี้เหิงดึงเหยาเยี่ยนอวี่เดินผ่านสวนต้นเหมยและเดินไปข้างหลังสักระยะ จากนั้นก็ไปถึงภูเขาเล็กที่คนสร้างขึ้นอย่างน่าสนใจ แล้วชี้ไปยังศาลาเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ยอดภูเขาสูง “พวกเราไปทางโน้นกัน”
เพราะว่าอากาศเหน็บหนาว ในศาลาเล็กจึงไม่มีแม้แต่บ่าวเฝ้าเวร
ซูอวี้เหิงกับเหยาเยี่ยนอวี่ ทั้งสองเดินขึ้นบันไดทางขึ้นภูเขาไปตลอดทาง กลับรู้สึกเหนื่อยจนมีหยาดเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อย
“พี่เหยา ดูสิ” ซูอวี้เหิงชี้ไปยังผืนน้ำที่มีเกลียวคลื่นอันงดงาม
ตอนนี้สามารถเห็นธรรมชาติได้อย่างกว้างขวาง และมองไปได้ไกล นางมองเห็นสระทุ่งดอกบัวกับทิวทัศน์โดยรอบ คลื่นหมุนเกลียวเป็นประกาย ดอกเหมยแต่ละกลีบผลิบานอย่างงดงาม แล้วยังมีศาลากลางน้ำอันหรูหรา ซ่อนอยู่ท่ามกลางดงดอกเหมยและหิมะสีขาวยามเหมันต์ ช่างเป็นทิวทัศน์งดงาม
เหยาเยี่ยนอวี่ยกแขนแล้วเดินไปข้างหน้าและเดินไปข้างหลังหลายๆ รอบ พร้อมกับถอนหายใจลากยาว และอุทานขึ้น “ที่นี่สบายยิ่งนัก!”
ซูอวี้เหิงเอากู่เจิงออกมาพลางวางไว้ตรงหัวเข่า หลังจากลองดีดสายปรับเสียงดูแล้ว ก็ค่อยดีดเพลง ‘เพลงหยางกวน’ ขึ้น
พลอยฝนยามเช้ากลบฝุ่นคลุ้งเว่ยเฉิง หลิวเขียวสะพรั่งอีกคราหน้าโรงเตี๊ยม
หลิวเขียวสะพรั่งอีกคราหน้าโรงเตี๊ยม
ละทิ้งความเครียด ขอเชิญท่านดื่มสุราให้หมดอีกจอก ชีวิตของคนเราช่างสั้นยิ่งนัก ความมั่งคั่งและชื่อเสียงที่ได้รับมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ล้วนทำให้คนซูบผอม
ละทิ้งความเครียด ขอเชิญท่านดื่มสุราให้หมดอีกจอก แค่เกรงว่าเดินทางไปทิศตะวันตกของหยางกวน การเดินทางเก่าๆ ที่เหมือนดั่งฝัน ตรงหน้าจะไม่เจอสหายเก่า…
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ข้างศาลาเล็กพลางมองทิวทัศน์ตรงหน้า ได้ยินเสียงพิณที่บรรเลงขึ้นของซูอวี้เหิง ทันใดนั้นก็เห็นถึงภาพลวงตาในการผันเปลี่ยนของวันเวลา เหมือนจู่ๆ วิญญาณของนางกลับไปถึงศตวรรษที่ 21 โดยทันที และทิวทัศน์ตรงหน้าก็แค่การออกทริปคนเดียวของตนเองเท่านั้น
เหมือนตนเองได้ยินเสียงพูดคุยเล่นของเหล่าเพื่อนๆ และผู้ร่วมงานดังขึ้นข้างหูของตน และกำลังพูดคุยถึงป่าพงไพรในยุคสมัยเมื่อหนึ่งพันปีก่อน มีผู้คนรวมตัวอยู่ที่นี่ ทุกคนต่างชมดอกเหมย เล่นกู่เจิงและบรรเลงเพลงอันไพเราะ…
ซูอวี้เหิงบรรเลงบทเพลงหนึ่งจนจบ ก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เหมือนนางกำลังเหม่อลอย ดังนั้นตนจึงวางกู่เจิงไว้ข้างๆ แล้วขยับเข้าไปใกล้พลางขานเรียกด้วยเสียงเบา “พี่เหยา?”
เหยาเยี่ยนอวี่ดึงสติกลับมาทันที แล้วหันไปมองซูอวี้เหิง พร้อมกับคลายยิ้ม “บทเพลงที่เจ้าบรรเลงช่างไพเราะยิ่งนัก”
“พี่สาวก็บรรเลงสักเพลงให้ข้าฟังเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิด แล้วกล่าวขึ้น “ข้าบรรเลงได้ไม่ดี เจ้าห้ามหัวเราะเยาะข้าล่ะ”
“ข้าจะหัวเราะเยาะท่านไปไยกัน ท่านสามารถรักษาผู้ป่วย ข้าก็ไม่ได้มีความรู้ด้านการแพทย์ ทุกคนต่างก็มีจุดเด่นของตนเอง! ข้าไม่อยากให้ท่านอุดอู้อยู่เยี่ยงนี้ ไม่ว่าภายในใจคิดอะไร ก็ต้องทำให้จิตใจของตนเองผ่อนคลาย” ซูอวี้เหิงเอ่ยขึ้น ขณะเดียวกันก็อุ้มกู่เจิงขึ้นยื่นไปให้เหยาเยี่ยนอวี่