ตอนที่ 184 เดินทางไปเขตตอนใต้พร้อมกัน แม่นางพริ้มเพราปิ้งปลาอันหอมกรุ่น (1)
หลังจากข้อสอบคัดเลือกขุนนางราชสำนักถูกส่งไป หลินเซียวแค่รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งเรือนร่าง ทีแรกอยากจะกลับไปหาสถานที่ดื่มสุราเสียแก้วอย่างดื่มด่ำ ทว่าก็คาดการณ์ไม่ถึงว่าขันทีเอกไหวเอินที่เป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้กลับสาวเท้าเดินตามมาอย่างว่องไว จากนั้นทำมือคารวะและโค้งลำตัวลง พร้อมกับคลี่ยิ้ม “ท่านโหวได้โปรดช้าก่อน ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ท่านไปห้องทรงพระอักษรขอรับ”
“อ่อ ขอรับ” เซียวหลินกำลังอุทานในใจถึงแผนการดื่มสุราชั้นดีในครั้งนี้ก็ถูกล้มเลิกอีกแล้ว สีหน้ากลับยังคงคลี่ยิ้มออกมา แล้วก็ยกมือขึ้น “ลำบากกงกงนำทางแล้ว”
ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ทรงจับข้อสอบหนึ่งชุดอันคละคลุ้งแล้วอ่านอย่างใจจดใจจ่อ ไหวเอินพาคนเข้าไปเสร็จ ก็โค้งลำตัวทูลขึ้น “ทูลปี้เซี่ยะ จิ้งไห่โหวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่เงยพระพักตร์ขึ้น แค่ตรัสว่า “อ่อ เรียกเขาเข้ามาเถอะ”
หลังจากที่เซียวหลินเข้าไปด้านใน ก็คุกเข่าน้อมก้มกราบ ฮ่องเต้ทรงผายมือ และตรัสขึ้น “จื่อรุ่น ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้เป็นอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลินเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ชอบตกอยู่ภายใต้การบังคับของใครไป จากนั้นก็กล่าวคำขอบคุณด้วยความเคารพและระมัดระวังตัว แล้วเหยียดกายลุกขึ้น พร้อมกับยืนด้วยความเคารพ
“กลยุทธ์นี้ของเจ้า เจิ้นอ่านแล้ว ดีเยี่ยม มีจิตวิญญาณและประสบการณ์เหมือนผู้เฒ่าเซียวในตอนนั้น สมกับการสืบทอดความรู้ทางตระกูลดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด” ข้อสอบฉบับนั้นในมือของฮ่องเต้ก็คือข้อสอบคัดเลือกขุนนางราชสำนัก
เซียวหลินโค้งลำตัวลงอีกครั้ง “กระหม่อมเกรงกลัว ความรู้ความสามารถของท่านปู่ กระหม่อมพอเข้าใจอยู่บ้าง คำพูดของฮ่องเต้ กระหม่อมฉันยิ่งไม่กล้ารับไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงสะบัดข้อสอบในพระหัตถ์ขึ้น พร้อมกับแย้มพระสรวล “เจ้าไม่ต้องถ่อมตนหรอก กุลยุทธ์นี้มุ่งเน้นสถานการณ์ในปัจจุบัน มีคำพูดหนึ่งว่า ‘วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน’ กุลยุทธ์ฉบับนี้ของเจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดูๆ แล้ว หลายปีนี้ที่เจ้าอยู่ในเขตตอนใต้ ไม่เพียงแต่ตั้งใจร่ำเรียน อีกทั้งยังคอยกังวลถึงงานในราชสำนัก”
“สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ที่ทรงอนุญาตให้กระหม่อมบ่มเพาะบำเพ็ญตน กระหม่อมไม่มีอะไรที่จะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ ทำได้เพียงร่ำเรียนตำราอย่างเพียรพยายาม เพื่อหวังว่าจะมีวันที่สามารถแบ่งเบาภาระแทนฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลบางๆ และวางข้อสอบในมือกลับไป พร้อมกับเหยียดพระกายนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงพระอักษร และยกมือยกถ้วยชาหนึ่งใบขึ้น พลางเป่าน้ำชา ทันใดนั้นก็สั่งการไหวเอิน “นั่งเถอะ ยกน้ำชาให้จิ้งไห่โหว”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลินรีบโค้งลำตัวกล่าวคำขอบคุณที่ฮ่องเต้เชิญตนเองนั่ง ทว่าก็ไม่สามารถนั่งลงไปจริงๆ แค่นั่งยืดตรงจัดอาภรณ์ตรงขอบเก้าอี้เท่านั้น
ฮ่องเต้ทรงจิบชาหนึ่งคำ แล้วตรัสขึ้น “ทว่า อย่างไรเจ้าก็ยังหนุ่มยังแน่น เจิ้นมีความปรารถนาสูงในตัวเจ้า และอยากจะฝึกฝนเจ้าให้มาก การสอบคัดเลือกขุนนางราชสำนักในครั้งนี้ก็ไม่ให้เจ้าเป็นอันดับที่หนึ่ง เจ้าเอาอันดับที่สองไปครอบครองเถอะ”
เซียวหลินนึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงตรัสเช่นนี้กับตน นี่มันเหนือสิ่งที่เขาคาดการณ์ เขาจึงนิ่งงันไปสักพัก จากนั้นก็ได้สติกลับมา จึงรีบลุกขึ้น พร้อมกับคุกเข่าน้อมก้มกราบ “สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ”
“สำหรับเรื่องตำแหน่ง…ให้เจิ้นครุ่นคิดดูก่อน” ฮ่องเต้จึงพึมพำด้วยเสียงเรียบ “ทว่า ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีฐานะเป็นโหว แต่อย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมงานในราชสำนัก อย่างไรก็ควรเริ่มปฏิบัติงานจากตำแหน่งที่ต่ำก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลินรีบน้อมก้มกราบเพื่อแสดงความจงรักภักดี “สามารถแบ่งเบาภาระให้กับฮ่องเต้ เป็นความโชคดีและเป็นเกียรติสำหรับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ และอุทิศตัวเองทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงผายมือ แล้วตรัสขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ นั่งเสวนากัน”
เซียวหลินซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง
ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถาม “จื่อรุ่น หากข้าจำไม่ผิด ปีนี้เจ้าอายุยี่สิบสองแล้วใช่หรือไม่”
เซียวหลินก็คลี่ยิ้ม แล้วรีบคารวะและก้มหน้าลง “ฮ่องเต้ทรงจดจำอายุของกระหม่อม กระหม่อมตื่นตะลึงในพระเมตตาอย่างคาดคิดไม่ถึงเลยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าไปแล้ว บิดาของเจ้ากับเจิ้นก็เคยร่ำเรียกตำราต่อหน้าผู้เฒ่าเซียวด้วยกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงสหายร่วมเล่าเรียน ทว่ากลับมีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ปีนั้นที่เจ้ากำเนิด เจิ้นยังไปเจียงหนาน ตอนนั้น…เจ้ามีอายุแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นกระมัง”
เซียวหลินรีบทูล “ฮ่องเต้ได้โปรดอภัยความผิด เรื่องนี้กระหม่อมจำความไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ!” ฮ่องเต้ทรงหลุดหัวเราะ แล้วชี้หน้าเซียวหลิน “เจ้าหมอนี่! หากเจ้ามีอายุเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถจำความได้แล้ว เจ้าก็คงกลายเป็นเทพบุตรแล้วสิ?”
“ฮ่องเต้ทรงตรัสได้มีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลินคลี่ยิ้ม
“เวลาผ่านไปว่องไวยิ่งนัก!” ฮ่องเต้ทรงอุทาน “เพียงในชั่วพริบตา เจ้าก็กลายเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว”
เซียวหลินจับต้องความหมายนี้ของฮ่องเต้ไม่ถูก และไม่กล้าทูลต่อจากคำพูดเหล่านี้
ฮ่องเต้ทรงมองเซียวหลิน และรู้สึกยิ่งอยู่ยิ่งโปรดปรานในชายหนุ่มคนนี้ ไม่น่าล่ะน้องเจ็ดถึงโปรดปรานเขา ตนเองก็โปรดปรานก็เหมือนกัน ดังนั้นจึงคลี่ยิ้ม “ปีนี้ผู้เฒ่าเซียวมีอายุเจ็ดสิบหกปีแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่ปรารถนาที่จะอุ้มหลานหรือ”
เซียวหลินรีบทูลกลับ “ท่านปู่ให้คำสั่งสอนว่า สภาพบุรุษต้องสร้างเนื้อสร้างตัวเสร็จแล้วค่อยสร้างครอบครัวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีอะไรเลย จะกล้าคิดถึงเรื่องสร้างครอบครัวได้อย่างไรพ่ะย่ะคะ”
“คำพูดนี้กล่าวได้ลำเอียงยิ่งนัก!” ฮ่องเต้ทรงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ว่ากันว่า ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่ที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือ การไร้ทายาทสืบสกุล”
เซียวหลินคงไม่อาจกล่าวว่าคำพูดของฮ่องเต้ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ปู่ของข้ากล่าวถูกจริงๆ ดังนั้นจึงรีบทูลกลับ “ฮ่องเต้ทรงสั่งสอนได้มีเหตุผลยิ่งนัก”
“ทว่า ผู้เฒ่าเซียวก็กล่าวได้สมเหตุสมผล บุรุษที่ดีก็ควรสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องความรักเอาไว้ทีหลัง อีกอย่าง ตระกูลเซียวก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มีวิถีชีวิตที่ฟุ่มเฟือย อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่มากการศึกษา การศึกษาและความสามารถของเจ้าเซียวหลินก็ไม่เลว ภายภาคหน้า เจิ้นจะเลือกคู่ครองให้กับเจ้า” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง
เซียวหลินเหยียดกายลุกขึ้นพร้อมกับคุกเข่าน้อมก้มกราบ “กระหม่อมรับเบี้ยเลี้ยงจากฮ่องเต้มาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณแม้แต่เพียงน้อย กระหม่อมจะกล้าร้องขอเกียรติยศเยี่ยงนั้นได้อย่างไร กระหม่อมรู้สึกเกรงขามอย่างยิ่ง”
ภายในใจของเซียวหลินก็มีรูปลักษณ์หน้าตาอันสง่าผ่าเผยของหันหมิงชั่นลอยขึ้นมา และไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทรงประทานงานสมรสของตนกับแม่นางตระกูลใด
ทว่าไม่ว่าจะอย่างไร เซียวหลินก็รู้สึกว่าฮ่องเต้คงไม่ประทานงานสมรสให้กับหันหมิงชั่นแน่นอน เพราะว่าหากเป็นหันหมิงชั่น หันซังเย่ว์ไม่มีทางไม่เท้าความถึงให้เขาได้รับรู้แน่นอน
ทว่าหากไม่ใช่หันหมิงชั่น เซียวหลินกลับไม่พึงพอใจ หากเขาไม่ได้มีใจให้ใครก็ช่างปะไรไป ทว่าหากหมายปองให้ใครแล้ว แล้วหากถูกพรากจากกัน ก็คงจะเป็นเรื่องที่ทรมานใจยิ่งนัก
เพียงเวลาในชั่วพริบตา ภายในใจของเซียวหลินก็มีความคิดมากมายเกิดขึ้น
สุดท้าย เขายังคงกัดฟัน แล้วคุกเข่าน้อมก้มกราบ พร้อมกับทูลด้วยเสียงเสนาะหู “ทูลฮ่องเต้ ครั้งนี้ที่กระหม่อมมาเมืองหลวง ก็ได้บังเอิญเจอกับแม่นางผู้หนึ่ง ตอนนั้นก็ได้เกิดความรักตั้งแต่แรกพบ แค่ว่า…กระหม่อมไม่ทราบว่าแม่นางผู้นั้นคิดอย่างไรกับกระหม่อม ดังนั้นจึงไม่กล้าล้ำเส้นตลอดมาพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น…” พูดถึงขั้นนี้ เซียวหลินก็หยุดงันไป ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม และยังหยิ่งยโสโอหัง เนื่องด้วยความรู้ความสามารถที่ตนมี ทว่าก็ปลิ้นปล้อนไม่พอ
“ออ?” ฮ่องเต้กลับแย้มพระสรวล “เจ้าไปโปรดปรานแม่นางตระกูลใดกัน ไหนลองเล่าให้เจิ้นฟังดูซิ?”
“ทูลฮ่องเต้ คืนวันงานโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูรองแห่งตระกูลจวนเจิ้นกั๋วกงโยนเหรียญโดนศีรษะของกระหม่อม วันนั้นพอเงยหน้ามองคุณหนูหัน พอเห็นหน้าครั้งแรกเข้าก็เกิดชอบพอ หลังจากนั้น กระหม่อมก็สอบผ่านการคัดเลือกขุนนางดั่งที่คาดไว้ ดังนั้นหลายวันมานี้ กระหม่อมครุ่นคิดมาโดยตลอด หากสามารถกลายเป็นคู่ครองกับคุณหนูเหยาและรักกันอย่างเสียงยืนตลอดไป ชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเสียใจอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยังคงพระสรวลบนดวงหน้า ทว่านัยน์ตากลับค่อยๆ เลือดเย็นไป ส่วนเซียวหลินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ก้มหน้าลงต่ำ แน่นอนว่าต้องไม่เห็นสีหน้าของฮ่องเต้อยู่แล้ว ทว่ากลับรู้สึกถึงความเย็นเฉียบตรงกระดูกสันหลัง
ผ่านไปสักพัก ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลขึ้นบางๆ แล้วอุทานขึ้น “เจ้าหมายถึงชั่นเอ๋อร์หรือ”
เซียวหลินตอบกลับด้วยความนิ่งเฉย “ทูลฮ่องเต้ เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้เกรงว่าเจ้าคงจะต้องรักข้างเดียวแล้วแหละ” ขณะที่ตรัส ฮ่องเต้ก็ทรงเสด็จไปข้างหลังโต๊ะทรงพระอักษร แล้วค่อยๆ นั่งลง พร้อมกับตรัสขึ้นอีกครั้ง “เจ้าลุกขึ้นเถอะ”
เซียวหลินน้อมก้มกราบอย่างซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ และก็ค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นเงยหน้าแอบมองสีหน้าของฮ่องเต้