ตอนที่ 196 เยี่ยนอวี่เกลี้ยกล่อมท่านแม่ทัพหวั่นไหว (3)
ดื่มเหล้าในจอก นิ้วมือของเซียวหลินเคาะบนโต๊ะเบาๆ ไปไม่กี่ทีแล้วคลี่ยิ้มพร้อมพูดขึ้น “คิดออกแล้ว! ทุกท่านฟังดีๆ นะ…คำว่าเหลียงก็คือเหลียง หากเพิ่มหมวดคำภาษาจีนว่าหมี่ก็จะมีความหมายว่าเสบียง และถ้าเพิ่มคำว่าหนี่ก็หมายถึงมารดา คำโบร่ำโบราณกล่าวว่าขายที่นาไม่ขายเสบียง แม่นางออกเรือนไม่ใช่มารดาออกเรือน” กล่าวจบสายตาของท่านเซียวโหวเหมือนกำลังชำเลืองมองบนเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วคลี่ยิ้มลุ่มลึกออกมา
ถังเซียวอี้แอบก่นด่าว่า พวกปัญญาชนหัวกะทิเหล่านี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน บนใบหน้ากลับคลี่ยิ้มเท่านั้น ใครสั่งให้ท่านแม่ทัพของเขาไปหมายปองน้องสาวของคนอื่นเล่า ดังนั้นจึงจับจอกเหล้าแล้วครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ไปสักพักแล้วค่อยพูดขึ้น “คำว่ากงก็คือกง หากเพิ่มคำว่าลี่ก็แปลว่าชัยชนะ และถ้าลบคำว่าลี่แล้วเพิ่มคำว่าซี่ก็จะหมายถึงสีแดง คำโบร่ำโบราณว่ากันว่า มนุษย์มิอาจมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นร้อยวัน บุษบาก็ย่อมไม่แดงระเรื่อนับร้อยวันเช่นกัน”
เซียวหลินจึงคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ไม่เลว! ท่านรองแม่ทัพถังแม้ว่าจะเป็นทหาร ทว่าความรู้ทางฝ่ายบุ๋นก็มิควรดูหมิ่น”
“ท่านเซียวโหวชมเกินจริงแล้ว ข้าน้อยก็แค่แสดงฝีมือต่อหน้าผู้ชำนาญเท่านั้น” ถังเซียวอี้พูดไปด้วย ขณะเดียวกันก็แอบเหลือบมองเว่ยจาง ภายในใจคิดว่า ท่านแม่ทัพจะคิดออกหรือไม่
เว่ยจางกลับหัวเราะขึ้นมา คราแรกใบหน้าที่เคล้าด้วยความเย็นชากลับเปล่งประกายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น้อยๆ เอ่ย “ข้าคิดคำๆ หนึ่งออกพอดี คำว่าฉีก็คือคำว่าฉี หากเติมคำว่าสุ่ยก็คือแม่น้ำฉี หากเติมคำว่าเชี่ยนก็หมายความว่ารังแก คำสุภาษิตว่าม้าดีให้คนควบขี่ คนดีถูกคนรังแก”
แม่ทัพท่านนี้จิตใจงามเกินไป ดังนั้นจึงถูกพวกปัญญาชนหัวกะทิพวกนี้รังแกเหอะ!
ตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่ก็เผากุ้งและเนื้อแกะบางส่วนที่เฝิงหมัวมัวซื้อกลับมา เสร็จแล้วก็ใส่ลงในจาน จากนั้นก็นั่งลงข้างเหยาเหยียนอี้ เวลานี้นางยังคงสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ ยามนั่งลงข้างพี่ชายตนเอง ถึงแม้จะดูกล้าหาญเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ถือว่าแหกกฎระเบียบและมารยาท
นางมาถึง ภายในใจของเหยาเหยียนอี้ที่คิดจะกลั่นแกล้งเว่ยจางก็หายไปกว่าครึ่ง
อย่างไรคนอื่นก็มาตามคำสั่งของฮ่องเต้ มาปกป้องพวกเขาสองพี่น้อง วันนี้เหยาเยี่ยนอวี่มีชื่อเสียงโด่งดัง ใครก็ไม่กล้ารับรองว่าชีวิตในภายภาคหน้านี้จะไม่เกิดเรื่องอันตรายอะไร ต่อให้ไม่มีคนอยากทำลายชีวิตเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าอย่างไร ‘สุนัขจนตรอก’ ก็ย่อมมี เหมือนครั้งที่แล้วที่ถูกคนลักพาตัวไปรักษาโรค ก็ยากที่จะรับรองว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก
เหยาเยี่ยนอวี่นั่งลงแล้วคลี่ยิ้ม “เมื่อครู่ได้ยินพวกท่านเสวนากันอย่างเพลิดเพลินยิ่งนัก ข้าก็คิดออกหนึ่งคำ หากพูดได้ไม่ดีโปรดทุดคนช่วยชี้แนะ”
“เกรงใจอะไรเล่า รีบว่ามาเถอะ!” ถังเซียวอี้จึงนั่งยืดตัวตรงด้วยความตื่นเต้น
เหยาเยี่ยนอวี่จึงคลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “โย่วก็คือคำว่าโย่ว หากเพิ่มคำว่าชุ่นก็กลายเป็นคำว่าถูก หากลบคำว่าชุ่นออกแล้วเพิ่มคำว่าสือก็หมายความว่าสหาย ดั่งสุภาษิตกล่าวว่า อยู่ในจวนพึ่งพาบิดามารดา ออกมาข้างนอกก็พึ่งพาสหาย” ดังนั้นทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าไม่กี่คนควรจะไปมาหาสู่กันดีๆ อย่าทะเลาะถกเถียงกันอีกเลย
เซียวหลินนิ่งงันแล้วหันไปมองเหยาเหยียนอี้พริบตาหนึ่ง
เหยาเหยียนอี้มองน้องสาวตนเองเพียงชั่วพริบตาแล้วคลี่ยิ้มบางๆ พลางชูจอกเหล้าขึ้น “คำนี้ยอดเยี่ยม ‘อยู่ข้างนอกพึ่งพาสหาย’ น้องรองของข้ากล่าวไม่เลวจริงๆ ข้าขอชนจอกเหล้านี้กับทุกคน”
ยัยหนูนี่กลับมีใจแล้วจริงๆ! เว่ยจางมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงพริบตาแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆจากนั้นก็ดื่มสุราหนึ่งจอกเต็มด้วยความสาแก่ใจ
หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่พูดเช่นนี้ เซียวหลินกับเหยาเหยียนอี้ก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เว่ยจางและถังเซียวอี้อีก
พวกเขาจึงเสวนากันอย่างมีความสุขแล้วดื่มสุราอย่างสุขสำราญ
หลังจากที่กินข้าวและดื่มสุราจนอิ่ม เว่ยจางและถังเซียวอี้ก็ขอตัวกลับเรือของตนเองเหยาเยี่ยนอวี่ก็เหนื่อยมาครึ่งวันแล้วจึงกลับไปพักผ่อน
หลังจากเหยาเหยียนอี้กลับไปก็เอนตัวบนตั่งไม้พร้อมกับยิ้มประหม่า เซียวหลินที่อยู่ข้างๆ ก็พูดด้วยความน่าสนใจ “สตรีต้องออกเรือนอยู่ดี ช่วยอะไรไม่ได้ พี่เหยา ท่านก็ยอมรับไปเถอะ”
“เยี่ยนอวี่เป็นคนที่มีใจ” ตอนนี้เหยาเหยียนอี้ถึงจะรู้ว่า ตนเองกับเว่ยจางเป็นฝ่ายค้านกันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดหลักแหลม คนๆ นี้ต้องไม่ใช่แกะที่ยอมให้คนอื่นฆ่าแน่นอน ยิ่งไม่มีทางถดถอย ตอนนี้เขายังยิ้มและนั่งดื่มสุราอยู่บนเรือ นั่นก็เพราะว่าขีดจำกัดของความอดทนยังไม่ถูกกระทบกระเทือน ถ้าหากถึงขั้นนั้น เกรงว่าผู้ที่เสียใจอาลัยอาวรณ์ก็คงมีเพียงตนเอง
เมื่อครู่ตอนเล่นการเดิมพันดื่มสุรา ประโยคนั้นของเขา ‘ม้าดีถูกคนควบ ขี่คนดีถูกคนรังแก’ ต้องไม่ได้เป็นคำพูดที่ผิวเผินแน่นอน
พอนึกถึงเช่นนี้ เหยาเหยียนอี้ก็อุทาน “เขาเว่ยจางเป็นแม่ทัพที่ไม่เลว ต้องไม่ใช่บุรุษที่ไม่ได้เรื่องแน่นอน”
เซียวหลินก็อุทาน “คนๆ นี้ยอมทนและเก็บความรู้สึกไว้ลึกๆ โดยไม่แสดงออกแม้เพียงน้อยต้อง ไม่ใช่ผู้ที่ยอมอยู่ใต้คนอื่นไปเป็นเวลานานแน่ อนาคตต้องมีความรุ่งเรืองใหญ่หลวง ภรรยาต้องได้รับตำแหน่งพระราชทาน และบุตรต้องได้สืบทอดตำแหน่งโหวแน่นอน พี่เหยา ให้ข้าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดหน่อยเถอะ น้องสาวของเจ้าหากกลายเป็นภรรยาของเขา ต้องเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยกแน่นอน”
เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้มพลางพูด “จะพูดโดยไม่ปิดบัง ท่านโหวตอนอยู่ที่เมืองหลวงอวิ๋น ท่านเจิ้นกั๋วกงก็เคยสู่ขอกับท่านพ่อเพื่อเขา ทว่ากลับถูกท่านพ่อของข้าปฏิเสธ”
“อ๊ะ?” เซียวหลินขึงตาโตอย่างไม่คาดคิด “ไม่ใช่หรอกกระมัง เหตุใดท่านใต้เท้าถึงปฏิเสธท่านเจิ้นกั๋วกงเล่า เจิ้นกั๋วกงไม่ได้โกรธเคืองเสียเดี๋ยวนั้นหรือ”
“ท่านพ่อบอกว่างานสมรสของน้องรองให้นางเป็นคนตัดสิน นางไม่อยากออกเรือนตระกูลเหยาก็ไม่มีทางบีบบังคับนาง”
“จุ๊!” เซียวหลินอดยิ้มและส่ายหัวไม่ได้ จากนั้นก็ชูนิ้วโป้งพร้อมกับอุทานขึ้น “ท่านพ่อของเจ้าช่างเก่งกาจจริงๆ แม้ว่าข้ออ้างนี้จะร้ายแรงยิ่งนัก แต่ก็นับว่าใช้ได้ ทว่าทางฝั่งเจิ้นกั๋วกง… โดยส่วนมากแล้วคงจะพอยอมรับได้แล้ว”
บนเรือพาย เว่ยจางและถังเซียวอี้ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสุราก็ยืนเคียงไหล่กันตรงหัวเรือ
ท่านรองแม่ทัพถังถอนหายใจ ก้มมองคลื่นน้ำพร้อมกับพูดขึ้น “สายตาของท่านแม่ทัพช่างร้ายกาจจริงๆ! คุณหนูเหยาดีกับพวกเขาจริงๆ!”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เว่ยจางดื่มสุราไปไม่น้อย ตอนที่พูดคุยกับสหายจึงไม่อ้อมค้อม มีอะไรก็พูดไปตามตรง “นางดีกับข้าเท่านั้น”
ถังเซียวอี้หลุดหัวเราะแล้วหันไปมองเว่ยจาง “นายท่าน! เห็นนารีแล้วลืมสหายเป็นนิสัยไม่ดี คำสุภาษิตกล่าวไว้ว่า สหายเหมือนดั่งแขนขา สตรีเหมือนดั่งเสื้อผ้า เสื้อผ้าก็แค่ของห่อหุ้มร่างกาย แขนขากลับเป็นเชื่อมด้วยเลือดเนื้อเชื้อไข!”
เว่ยจางเหลือบมองรองแม่ทัพถังอย่างเลือดเย็นแล้วยกยิ้ม “ดีเช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ถอดเสื้อผ้าแล้วยืนเปลือยกายอยู่ที่นี่หนึ่งวัน”
“อ๊ะ?” ถังเซียวอี้ตะลึงงันไปทันที
แม่ทัพเว่ยหันหลังแล้วกลับเข้าไปนอนในเรือ
หลายวันผ่านไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
เหตุเพราะรีบเดินทาง อีกอย่างท่าเรือที่เทียบเรือก่อนหน้านี้เฝิงหมัวมัวพาคนไปซื้อผักไม่น้อย อีกทั้งยังมีแม่ทัพเว่ยที่สั่งให้ทหารไปจับปลา ตลอดเวลาบนเรือจึงไม่ขาดแคลนเสบียง ดังนั้นก็ไม่เทียบเรือที่ท่าเรือเล็กอีก
เหยาเหยียนอี้ไม่จ้องจะหาเรื่องเว่ยจางอีกต่อไป ทุกคนต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขึ้นมามาก
แค่เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ประจำเดือนรอบนี้มาสายไปสามสี่วัน เดิมทีสายไปไม่กี่วันก็ไม่มีอะไร ทว่าครั้งนี้มาเยอะเป็นพิเศษแ ละทำให้นางรู้สึกปวดท้องจนยืดเอวตรงไม่ได้
เฝิงหมัวมัวก็รู้สึกระวนกระวายมาก ปกติเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่เคยเกิดอาการเช่นนี้ ดังนั้นนางก็ไม่ได้เตรียมยาสมุนไพรอะไรมา เวลานี้แค่ตุ๋นตำรับยาชื่ออู้ทัง[1]บนเรือไม่มีสูตี้หวง ทำได้เพียงสั่งให้ปั้นซย่าไปเอาขิงหั่นเป็นแผ่นมาแล้วใช้น้ำตาลแดงเม็ดพุทรามาต้มด้วยกันแล้วสั่งให้คนส่งขึ้นไป
เหยาเยี่ยนอวี่อดทนกับความเจ็บปวดแล้วเอ่ยปลอบ “หมัวมัวอย่ากระวนกระวาย อาจเพราะว่าความชื้นและความเย็นบนเรือนนี้มากเกินไป ปกติไม่รู้สึกถึง เวลานี้ลองหาโกฐรูปแท่ง[2]สำเร็จรูปมา สั่งให้ชุ่ยเวยรมยาให้ก็จะดีเอง”
หลังจากรมยามาครึ่งชั่วยาม เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น กล้ามเนื้อตรงท้องน้อยก็ถูกรมยาจนเริ่มแดงระเรื่อ ความรู้สึกเจ็บปวดถึงจะหายไปบ้าง ทว่าก็ยังมีความรู้สึกไม่สบาย แค่กอดผ้าห่มแล้วเอนกายลงบนเตียงพร้อมกับหลับตาลง แม้แต่อาหารก็ไม่อยากกิน
[1]ตำรับยาชื่ออู้ทังประกอบด้วยตัวยาสูตี้ หวงตางกุย ป๋ายสาว และชวนซยง มีสรรพคุณบำรุงเลือดและปรับการไหลเวียนเลือด
[2]โกศรูปแท่งคือการเอาโกฐตากแห้งที่บดละเอียดนำมาม้วนห่อด้วยกระดาษเป็นแท่งกลมยาวใช้ในการรมยา