ตอนที่ 229 ขัดแย้งกับท่านย่า มีชีวิตอิสระในท้ายที่สุด (2)
ลู่ฮูหยินผู้เฒ่าดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ แล้วทอดถอนใจพลางน้ำตาไหลรินลงมา “ข้าจะไม่โกรธได้อย่างไร! บุตรหลานแต่ละคน ไม่มีใครทำให้ข้ารู้สึกสบายใจเลย ทางฝั่งยัยหนูสามตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แล้วเจ้าก็ยังมาป่วยอีก…จะให้แม่เฒ่าอย่างข้าใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างไร”
หลายวันมานี้หนิงซื่อฟังคำพูดเหล่านี้ไปมาก ทว่ามิอาจห้ามใจไม่ให้ไปเกลี้ยกล่อมได้ “ท่านย่าต้องดูแลสุขภาพตนเองให้ดีเสียก่อน อาการป่วยของน้องรองและน้องสามจะได้ดีขึ้นในเร็ววัน”
เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังพลางกระแอมกระไออีกหลายที นางสวมแค่ชุดผ้าไหมตัวหลวม ผมเผ้ากระเซิง ดวงหน้าตอนป่วยซีดเซียว ดูจากสภาพก็รู้ว่าไม่ได้แกล้งป่วยจริงๆ
ซ่งฮูหยินผู้เฒ่าเห็น ทำได้เพียงถอนหายใจ “เจ้านอนพักก่อนเถอะ”
ชุ่ยเวยรีบเดินเข้ามาพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นเตียง แล้วสวมใส่ชุดคลุมให้นาง พลางเอาผ้าห่มผืนบางห่มตัวนางและเอาหมอนหนุนหลังนางไว้ จากนั้นก็ยกยาต้มมาป้อนนางต่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ ดื่มยาจนหมด ถึงจะเอ่ยถาม “เจ้าเองก็มีความรู้ทางการแพทย์ เหตุใดอาการป่วยไข้เล็กน้อยก็หายยากอย่างนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่กระแอมกระไออีกหลายคราพลางเอ่ย “คำโบราณกล่าวว่า คนเป็นหมอจะรักษาตนเองได้ยากยิ่งนัก อาการป่วยของตน ตนกลับไม่อาจรักษาได้ อีกทั้งหลานก็แค่ปรุงตำรับยารักษาแผลภายนอกเพียงสองชนิดเท่านั้น สำหรับอาการป่วยไข้นี้ หลานก็ไม่มีวิธีที่ดี ชื่อเสียงของหลานที่คนในตำหนักองค์หญิงใหญ่ร่ำลือกัน เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แท้จริงแล้วจะมีฝีมือทางการแพทย์ที่อัศจรรย์เช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับทำสีหน้าไม่เชื่อ แค่จ้องหน้าเหยาเยี่ยนอวี่พลางเอ่ยถาม “เช่นนั้นอาการป่วยของพี่ใหญ่ของเจ้าล่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามาหาตนเองในครั้งนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะมาให้นางไปดูอาการซ่งเหยียนชิง ยังไม่ต้องพูดถึงอาการของซ่งเหยียนชิงว่านั่นเป็นเพียงบทเรียนที่เหยาเยี่ยนอวี่อยากจะสั่งสอนเขาเท่านั้น โรคประเภทนั้นไม่อาจทำให้ถึงแก่กรรมได้ แค่พูดถึงเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ามาที่นี่ในวันนี้ เห็นได้ชัดว่านางให้ความสำคัญกับหลายชายแห่งตระกูลผู้ให้กำเนิดนางมากที่สุด แค่เรื่องนี้ก็ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกชอกช้ำใจยิ่งนัก
ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่เลยไม่ยอมตอบกลับตามความจริง แค่ยิ้มอย่างประหม่า “ท่านย่าก็บอกว่า อาการของพี่ใหญ่หายดีเพราะพระโพธิ์สัตว์กวนอิมทรงปกปักรักษา ส่วนพระประสงค์ของฮ่องเต้และองค์หญิงต้าจั่ง หลานก็แค่เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มเยาะบางๆ พลางเปรย “ยัยหนูรอง ดูท่าย่าคงรักและเอ็นดูเจ้าเสียเปล่าแล้ว!”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไปทันที แล้วมองหนิงซื่อ หนิงซื่อก็ยิ้มประหม่า นางไม่รู้จะพูดอะไรดี
“จนถึงตอนนี้ แม้แต่คำพูดที่เป็นความจริง เจ้ายังไม่ยอมบอกข้าสักคำ” ฮูหยินผู้เฒ่าพึมพำไม่หยุด “ตั้งแต่เด็กจนโต ในบรรดาหลานๆ คนที่ข้ารักและเอ็นดูที่สุดก็คือเจ้า! ทว่าเจ้า…เฮ้อ!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งดูเหมือนจะชอกช้ำใจและผิดหวังยิ่งนัก
เจ้ารักและเอ็นดูข้ามากที่สุดหรือ เหยาเยี่ยนอวี่อยากหัวเราะร่วน ฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่นาง ทว่าไม่อาจใช้คำว่า ‘มากที่สุด’
ในครอบครัวมีบุตรภรรยาเอกและบุตรอนุภรรยาทั้งหมดห้าคน ฐานะของนางถือว่าดีกว่าเหยาเชวี่ยหวา เหตุเพราะมารดาผู้ให้กำเนิดคือญาติห่างๆ ของตระกูลซ่ง ส่วนมารดาผู้ให้กำเนิดเหยาเชวี่ยหวาเป็นเพียงแม่นางของช่างไม้เท่านั้น
ฐานันดรศักดิ์ของพี่น้องในตระกูลเหยา ย่อมถูกกำหนดโดยมารดาผู้ให้กำเนิด ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่เกิดเป็นบุตรีของกั๋วกง จึงให้ความสำคัญกับฐานะทางตระกูลมากกว่าสิ่งอื่นใด จนถึงตอนนี้ ต่อหน้าหนิงซื่อ นางพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมา นอกจากทำให้ตนรู้สึกเคียดแค้นใจแล้ว ยังมีประโยชน์อะไรอีก
“ยัยหนูรอง ตอนนี้ย่าขอให้ช่วยทำอะไรอย่างหนึ่ง” ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ไม้อ่อนเสร็จ ก็เริ่มใช้ไม้แข็ง
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างประหม่า แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านย่าสั่งการได้เลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดจาไร้แก่นสาร แล้วเอ่ยถามโดยตรง “เจ้าไปดูอาการท่านพี่เหยียนชิงของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันสักพัก
หนิงซื่อเห็นเช่นนี้ แค่พูดขึ้นอย่างฝืนทน “ท่านย่าเจ้าคะ หมอกำชับมาแล้ว น้องรองป่วยไข้เพราะสะท้านหนาว ต้องขับเหงื่อในเรือน ไม่ควรออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ชำเลืองมองหนิงซื่ออย่างซาบซึ้งใจ ภายในใจคิดว่า ไม่ว่านางจะออกหน้าแทนตนเนื่องด้วยจุดประสงค์ใด ทว่าน้ำใจครั้งนี้ตนรับไว้แล้ว
“ข้าไม่ได้ถามเจ้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถลึงตาใส่หนิงซื่อ “ในจวนนี้ เจ้าไม่ได้เป็นนายหญิงเอก! เจ้ามีสิทธิ์มากความตั้งแต่เมื่อใดกัน!”
หนิงซื่อจนปัญญา แค่ถอยไปด้านข้างอย่างเงียบสงัด
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “คำสั่งนี้ของท่านย่า เยี่ยนอวี่คงต้องขอให้อภัยที่มิอาจทำตามได้”
“เหตุผลประการแรก หลานไม่ใช่หมอผู้เชี่ยวชาญที่มากฝีมือ หลานเป็นเพียงสตรีที่อยู่แต่ในจวน ทางจวนก็ไม่ได้มีฐานะที่ยากไร้จนต้องให้หลานออกไปรักษาผู้ป่วยเพื่อหาเลี้ยงชีพ เหตุผลประการที่สอง ต่อให้ญาติมิตรต้องการความช่วยเหลือ ซ่งเหยียนชิงทำเรื่องเช่นนั้นกับน้องสาม จะให้หลานทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาหรือ เหตุผลสุดท้าย เขาป่วยเป็นโรคอะไร หลานก็พอได้ยินมาบ้าง ท่านย่าแค่เป็นห่วงหลานชายในตระกูลผู้ให้กำเนิดท่าน ท่านไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยหลานสาวเลยหรือ เมื่อครู่ท่านย่ายังบอกว่ารักและเอ็นดูหลานที่สุด ในสายตาของท่าน พวกเราทั้งห้าพี่น้องไม่ได้สำคัญไปกว่าซ่งเหยียนชิงเพียงคนเดียวเลยหรือไร”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดคำพูดเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย เหมือนเป็นการบอกเล่าถึงความจริง ทว่ากลับแทงใจดำทุกคำพูด และจวนจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฮูหยินผู้เฒ่าจนจมดิน
“เจ้า! เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถูกคำพูดเหล่านี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ทำให้เครียดจนหายใจไม่ออก
หนิงซื่อแค่เดินเข้ามาลูบหน้าอกของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเพื่อให้นางใจเย็น แล้วเกลี้ยกล่อมขึ้น “ท่านย่าอย่าได้โมโหเลยเจ้าค่ะ น้องรองกำลังป่วยไข้ เลยค่อนข้างเอาแต่ใจเจ้าค่ะ”
“ไสหัวออกไป!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งผลักหนิงซื่อออก เอาไม้เท้ากระแทกพื้นอย่างแรง พร้อมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่บนเตียงด้วยความโมโห หายใจหอบถี่ไปหลายที จากนั้นกล่าวขึ้น “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะไปช่วยหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ตลบผ้าห่มลงจากเตียง แล้วพยุงมือของชุ่ยเวยไปคุกเข่าลงบนพื้น พร้อมพูดขึ้น “ท่านย่าอย่าได้โมโหเลย ไม่ใช่เยี่ยนอวี่ไม่อยากช่วยเหลือ แค่หลานไร้ความสามารถจริงๆ โรคเยี่ยงนั้น ไม่ใช่โรคที่หมอจะรักษาได้ มิเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าลองสวดมนต์ภาวนาให้พระโพธิ์สัตว์กวนอิมทรงปกปักษ์รักษา ไม่แน่ฤทธิ์เดชของพระโพธิ์สัตว์กวนอิมอาจจะช่วยชีวิตเขาได้”
“เจ้า!” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยกไม้เท้ากำลังจะฟาดใส่เหยาเยี่ยนอวี่
“ท่านย่าเจ้าคะ!” หนิงซื่อรีบเข้าไปกอดไม้เท้าไว้ทันที พลางคุกเข่าลงบนพื้นพลางอ้อนวอน “น้องรองยังป่วยไข้! ขอให้เห็นแก่นางที่เติบโตต่อหน้าท่านย่ามาหลายปี โปรดใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”
“ท่านย่า?! นี่ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ” หวางฮูหยินพาเหล่าสาวใช้ผัวจื่อรีบวิ่งเข้าประตู พอเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าจึงรีบไปพยุงฮูหยินผู้เฒ่าพลางนั่งลงด้านข้าง จากนั้นตำหนิเฝิงหมัวมัวและคนอื่นๆ “ยังไม่รีบพยุงคุณหนูรองลุกขึ้นไปนอนบนเตียงอีก? ป่วยไข้ไยไม่นอนพักดีๆ จะร้องไห้โวยวายไปไย”
เฝิงหมัวมัวและชุ่ยเวยเดินเข้าไปพยุงเหยาเยี่ยนอวี่และพาไปนอนบนเตียง พร้อมห่มผ้าให้นางดีๆ
ทางฝั่งหวางฮูหยินก็เกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง “ท่านแม่ก็มีอายุป่านนี้แล้ว คำโบราณว่ากันว่า ลูกหลานย่อมมีทางรอดของเขา ท่านแม่ทำเยี่ยงนี้ไปไย เกิดล้มป่วยขึ้นมา ลูกหลานคงมิอาจทุกข์ทรมานแทนท่านได้ อย่างไรก็ปลงตกเสียเถอะ”
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองใครก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ โดยเฉพาะหลังจากที่บุตรชายไม่เห็นด้วยกับความคิดของตน ก็ยิ่งโกรธเคืองหวางฮูหยินเป็นพิเศษ ดังนั้นเลยตวาดใส่อย่างไม่เป็นมิตร “ข้าสั่งสอนหลานสาวของข้า ขัดหูขัดตาเจ้าหรือ นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าหรือ ทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดใจกระนั้นหรือ”
หวางฮูหยินก็รู้สึกขุ่นเคืองใจ ทว่าก็มิอาจทำอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่า ทำได้เพียงพึมพำขึ้น “ท่านแม่ต้องการทำอะไรกันแน่ ยัยหนูรองเป็นเพียงเด็กเท่านั้น นางไม่ดี ท่านก็แค่บอกนางให้รับรู้ คงไม่จำเป็นต้องว่ากล่าวตำหนิโน่นนี้หรือเปล่า บุตรหลานไม่ได้ทำให้ท่านแม่โกรธเคืองเสียหน่อย ทว่ากลับเป็นท่านที่ขุ่นเคืองใจเพราะเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร! เกิดท่านเป็นอะไรขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไร”