หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 250 แยกย้ายกันเดินทาง เยี่ยนอวี่ยืมรถม้า (4)

ตอนที่ 250 แยกย้ายกันเดินทาง เยี่ยนอวี่ยืมรถม้า (4)

เว่ยจางมองไปทิศทางสายตาเหยาเยี่ยนอวี่เพียงปราดเดียวแล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไร กินไม่หมดก็ยังมีข้าที่คอยช่วยอยู่แล้ว”

“อืม” หลังจากที่ขี่ม้ามาในระยะทางสี่ห้าลี้ แค่คำพูดเช่นนี้คงไม่ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ตื่นตกใจอีก

ผัดหมี่ชามใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ มีผักกาดและหมูเส้น พอลิ้มลองดูหนึ่งคำก็รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว

เหยาเยี่ยนอวี่พลันผลักชามหมี่ของตนไปตรงหน้าเว่ยจาง “แบ่งเจ้าครึ่งหนึ่ง”

“เจ้ากินก่อนเถอะ” เว่ยจางยกมือผลักชามของนางกลับไป “เหลือค่อยว่ากัน”

เหยาเยี่ยนอวี่เผยอปาก ภายในใจกำลังคิดว่า หากเจ้าต้องการกินอาหารที่เหลือจากข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า ดังนั้นจึงเอาตะเกียบคีบเส้นหมี่ขึ้นแล้วกินคำโตๆ

เว่ยจางกินไปสองสามคำจู่ๆ ก็เงยหน้ามองนาง

เหยาเยี่ยนอวี่ถูกแววตาอันร้อนผ่าวจับจ้องจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นางพยายามกลืนเส้นหมี่ลงไปแล้วเอ่ยถาม “มองอะไร”

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็เหมือนบุรุษเหมือนกันนี่” เว่ยจางยิ้มจางๆ แล้วยกมือลูบหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่

ซีอิ๊วของผัดหมี่ติดบนนิ้วมือหยาบกร้านของเขา ก่อนที่เหยาเยี่ยนอวี่จะได้สติกลับมา นิ้วที่มีซีอิ๊วติดถูกเขาดูดกินในปากแล้ว

เอ่อ…เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวทันที ยังดีที่ฟ้ามืดลงแล้วโคมไฟตรงหน้าประตูร้านอาหารเล็กๆ นี้ก็ไม่ค่อยสว่าง จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นคุณชายน้อยที่สวมใส่ชุดผ้าต่วนชั้นดีนี้กำลังหน้าแดง

ต่อจากนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว แค่ก้มหน้าก้มตากินหมี่หลังจากที่กินไปหนึ่งในสามของชามหมี่ก็อิ่มแล้ว ดังนั้นจึงยกมือผลักชามไปตรงหน้าเขา

เว่ยจางกินหมี่ชามของตนจนหมดพอดีจึงรับชามของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้แล้วกินคำโตๆ โดยไม่สนใจอะไร เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย เหยาเยี่ยนอวี่จึงลูบท้องของตนแล้วลอบอุทานขึ้น ฮือ เหมือนจะยังไม่อิ่มแฮะ!

แน่นอนพวกเขาสองคนขี่ม้ามาถึงเมืองเถาฮวาป้า จุดประสงค์หลักๆ คือมาเช่ารถม้า การกินข้าวเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา

ตอนที่จ่ายเงิน เว่ยจางควักเหรียญอีแปะสองสามเหรียญออกมาวางบนโต๊ะแล้วขานเรียกเถ้าแก่ เถ้าแก่ที่เอาผ้าสีขาวพาดไหล่วิ่งมาด้วยรอยยิ้มแล้วค้อมตัวลง “อาหารอร่อยหรือไม่”

นิ้วมือของเว่ยจางชี้ไปบนโต๊ะแล้วพูดขึ้น “เถ้าแก่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ท่านรู้หรือไม่ว่าเมืองแห่งนี้มีคนที่ปล่อยเช่ารถม้าหรือเปล่า”

เถ้าแก่เงยหน้าแอบมองเว่ยจางเพียงพริบตาเดียว พอแม่ทัพเว่ยแผ่ความเลือดเย็นออกมาจากตัวจึงรีบดึงสายตากลับไปทันที ค้อมตัวพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ก็มีไม่น้อย เมืองของพวกเราต่อให้จะเล็กหรือใหญ่ก็ถือว่าเป็นท่าเรือแห่งหนึ่ง จึงมีการรับส่งผู้คนและขนของอยู่ทุกวัน ทว่าตอนนี้…คุณชายก็เห็นแล้ว ทางศาลาว่าการมิใช่ว่ากำลังซ่อมแซมทำนบแม่น้ำอยู่หรือ เหล่าบุรุษในเมืองเดินทางออกนอกเมืองไม่ได้ เกรงว่ารถม้า…คงไม่ง่ายที่จะเช่า…”

คนอย่างเว่ยจางชอบทำสีหน้าไม่เป็นมิตรมาโดยตลอด สีหน้าเยือกเย็นเกินไป แววตาเขาเฉียบคม เถ้าแก่จึงพูดพลางสังเกตสีหน้าของเขา ระดับเสียงก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนสุดท้ายน้ำเสียงของเขาแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเลย

เหยาเยี่ยนอวี่ยืนมองอยู่ด้านข้างแล้วอดพูดแทรกไม่ได้ “เถ้าแก่ พวกเราก็รู้เรื่องที่ซ่อมทำนบ แต่ว่าพวกเราต้องการรถม้าจริงๆ อีกอย่างยังต้องการไม่น้อย ราวๆ ยี่สิบคัน” ขณะที่กล่าวคุณหนูเหยาก็ควักห้าตำลึงเงินออกจากถุงบุหงาแล้ววางบนโต๊ะพร้อมยิ้มจางๆ “หากเจ้าช่วยพวกเราได้ เงินพวกนี้จะเป็นค่าตอบแทนของเจ้า ส่วนค่าเช่ารถม้าค่อยเจรจากันอีกที”

“นี่เป็นค่าตอบแทนของข้าหรือ” เถ้าแก่มองเงินนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย ตั้งห้าตำลึงเงินแน่ะ! ต่อให้เขาทำงานลำบากทั้งเดือนก็ยังไม่ได้เงินจำนวนนี้เลย

เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มบางๆ พยักหน้า “แน่นอน ทว่าพวกเราต้องรีบใช้รถม้า อีกอย่าง การเดินทางไปที่หมายนั้นไกลหน่อย รถม้ายังต้องผ่านชิ่งโจวและจี้โจว”

“อ๊ะ?” เถ้าแก่ทำสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ “ชิ่งโจวและจี้โจวเป็นมณฑลที่ประสบอุทกภัย ทำนบแม่น้ำจินแตก มีชาวบ้านประสบภัยมากมาย ถนนหนทางคงสัญจรไปมาไม่ได้ หากพวกเจ้าผ่านทางโน้นเกรงว่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว!”

เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงพูดขึ้นยิ้มๆ “ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราจะไม่ขอปิดบังเจ้าอีก เดิมทีพวกเราจะล่องเรือขึ้นเขตตอนเหนือ ตอนนี้การจราจรทางน้ำติดขัด พวกเราเลยเปลี่ยนเป็นเดินทางทางบกแทน ดังนั้นจึงมาเช่ารถม้า อีกทั้งต้องการใช้อย่างเร่งรีบ ค่าเช่าเจรจาต่อรองกันได้”

“อั๊ยโยคุณชายน้อยท่านนี้ นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินหรอก! พวกท่านจะเดินทางไปเขตที่ประสบอุทกภัย เมืองนั้นน้ำท่วมจนหมด ขาดแคลนน้ำและอาหาร ใครจะอยากไปเล่า”

เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด “เรื่องอาหารไม่ใช่ปัญหา พวกเราตุนเสบียงไว้แล้ว”

“หากเป็นเช่นนี้ข้าช่วยพวกเจ้าลองหาดูได้ แต่ไม่รับประกันว่าจะหาคนขับรถม้าที่ยังหนุ่มยังแน่น…”

เว่ยจางพูดน้ำเสียงเย็นยะเยือก “คนที่อายุน้อยสุดห้ามต่ำกว่าสิบห้าปี ส่วนคนที่อายุมากหน่อยก็อย่าเกินหกสิบห้าปีก็พอแล้ว”

เถ้าแก่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวว่าเว่ยจางจะพูดอะไรออกมาด้วยเสียงเลือดเย็นจึงรู้สึกสะดุ้งตกใจทันที อารมณ์ดีใจหลังจากถูกคุณชายรูปงามท่านนี้โน้มน้าวในเมื่อครู่นี้ก็หายไปกว่าครึ่ง

“เอาเถอะ เถ้าแก่ ท่านรีบไปช่วยพวกเราถามหาเถอะ หากหารถม้าคันใหญ่ได้ก็จะดีที่สุด พวกเรายังมีกลุ่มสตรีที่ร่วมเดินทางไปด้วย”

“ได้ ได้โปรดคุณชายทั้งสองท่านรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปช่วยหาประเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่จับห้าตำลึงเงินแล้วสะบัดผ้าสีขาวออกพลางหันหลังออกจากร้านอาหาร

เหยาเยี่ยนอวี่เห็นว่าเขาเดินไปไกลจึงพร่ำบ่นอย่างแปลกพิลึกกับเว่ยจาง “ข้าเข้าใจแล้ว เหตุใดท่านรองแม่ทัพถังถึงมีความสามารถให้การแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี”

“อื้ม?” เว่ยจางมองสีหน้าที่ยิ้มแย้มน่าสนใจของเหยาเยี่ยนอวี่ ทันทีทันใดก็เข้าใจในคำพูดนี้ของนาง ดังนั้นจึงไม่ได้มากความอีก

นิ้วเรียวยาวของคุณหนูเหยากำลังเคาะโต๊ะ จากนั้นค่อยพูดอย่างอัดอั้นใจ “เจ้าทำหน้าเลือดเย็นจนทำให้จนใกล้ตื่นตกใจจวนตาย ใครจะกล้าช่วยงานเจ้าอีก”

เว่ยจางกระแอมกระไอสองทีแล้วมองซ้ายมองขวาพร้อมกดเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าไม่พูดเรื่องนี้ข้าก็ยังนึกไม่ถึง วันข้างหน้าห้ามส่งยิ้มให้ใครไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะผู้เฒ่าป่าเถื่อน!”

“อะไรนะ” เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามอง “ตอนนี้พวกเรากำลังเสวนาปัญหาของเจ้าอยู่”

“เจ้าไม่รู้ว่าเลยหรือ ยิ้มเช่นนั้นของเจ้าดึงดูดผู้คนสนใจมากเพียงใด เจ้าอยากให้คนทั้งเมืองมามุงล้อมเพื่อชื่นชมเจ้าที่เป็นคุณชายน้อยมั่งมีหรือไร ประเดี๋ยวหากโจรมาหาเรื่องเข้าจะทำอย่างไร”

“เจ้า!” เหยาเยี่ยนอวี่เครียดจนพูดอะไรไม่ออก แค่แค่นเสียงเดียวในลำคอแล้วละสายตาไปทางอื่น

พอเห็นดวงหน้าเล็กๆ เคล้าด้วยความโมโห แม่ทัพเว่ยที่อัดอั้นใจมานานก็เผยยิ้มบนใบหน้าเสียที

เถ้าแก่ร้านอาหารเห็นแก่ค่าตอบแทนห้าตำลึงเงินจึงช่วยพวกเขาเดินเรื่อง เขากลับไปบอกผู้เฒ่าและพ่อตาของเขา จากนั้นก็ให้ผู้เฒ่าสองท่านนี้แยกย้ายกันตามหา มีทั้งคนขับรถม้าที่แก่เฒ่าและยังหนุ่มปะปนกันไป ทันทีทันใดพวกเขาก็หารถม้ามาได้สิบหกคัน

ยังขาดอีกสี่คัน! เถ้าแก่แทบอยากงัดประตูจวนผู้เฒ่ามั่งมีแซ่หลิวแล้วไปเอารถม้าคันใหญ่ของจวนพวกเขาออกมา

จู่ๆ ก็มีคนวิ่งมาจากด้านหลัง ขณะเดียวกันก็ตะโกนขึ้น “ถอยไป! รีบถอยไป!”

เถ้าแก่หลบไปด้านข้าง ทว่าก็เห็นเสี่ยวซือคนหนึ่งวิ่งมาด้านหน้าพร้อมถือโคมไฟหนึ่งดวงไว้ในมือ ดังนั้นจึงพึมพำด้วยความไม่พอใจ “เอ๊ะ? นี่ไม่ใช่เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูเศรษฐีหลิวหรือ ดึกดื่นป่านนี้ไปสร้างเรื่องอะไรมาหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ เศรษฐีหลิวป่วย! ได้ยินว่าใกล้จะไม่ไหวแล้ว” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้น

“ใช่หรือ” เถ้าแก่ได้ยินคำพูดนี้จึงถอนหายใจ “ผู้เฒ่าคนนี้ไม่มีบุตรชายแม้แต่คนเดียว เจ้าว่าหากเขาเกิดอะไรขึ้นมา ทรัพย์สินมากมายเช่นนี้จะมอบให้ใครกัน!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset