หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 26 ทั้งสามเจอกันที่พุ่มดอกไม้

“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็มีบ้านสวนเป็นของตนเอง และบ้านสวนของพวกเขาล้วนปลูกข้าวไว้กินเอง แล้วมีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องซื้อข้าวสารกินอีก?

ผู้ที่ต้องการซื้อข้าวสารเพื่อเลี้ยงปากท้อง ส่วนมากคือผู้ที่ยากไร้ในสังคม อย่างเช่นสามัญชนที่ประกอบอาชีพช่างไม้ คนพวกนี้มีเงินทองในมือไม่มาก ทุกครั้งที่ซื้อข้าวสารก็จะซื้อจำนวนที่กินได้ราวๆ สี่ถึงห้าวันเท่านั้น บรรดาร้านค้าที่จัดจำหน่ายข้าวสารรายใหญ่จึงไม่ชื่นชอบพวกเขา พวกเขาเลยไม่มีทางไปซื้อข้าวสารในสถานที่เช่นนั้น

ร้านค้าที่จัดจำหน่ายข้าวสารในเมืองหลวงนั้น หากไม่ได้ทำการค้ากับวังหลวง ก็ควรจะทำการค้าขายอย่างถ่อมตน ซึ่งการทำการค้ากับเหล่าคนยากไร้นั้นถือว่ามั่นคงกว่ามาก บรรพบุรุษของตระกูลเหยาคือพ่อค้า แน่นอนว่าต้องคิดคำนึงถึงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี

“ร้านผ้าไหมและผ้าต่วนของพวกเราก็ถือว่าไม่เล็ก ผ้าไหมและผ้าต่วนชนิดต่างๆ ทางร้านก็มีจำหน่ายอย่างครบถ้วน น่าเสียดายที่แค่ไม่มีช่างปักผ้าที่มากฝีมือเท่านั้น ตอนนี้ในทุกๆ เดือนจะมีรายได้เข้าจำนวนสองสามร้อยตำลึงเงิน แต่งานปักของร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นดีมาก ได้ยินเถ้าแก่ในร้านพูดว่า ในหนึ่งเดือนพวกเขาทำรายได้มากกว่าห้าหกร้อยตำลึงเงิน ยิ่งถ้าเป็นช่วงวันหยุดอย่างตรุษจีน งานในร้านก็จะยุ่งมากกว่าเดิม”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “ช่างปะไร การทำการค้าอย่าเคร่งเกินไป ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ยิ่งโดนลมแรงมากเท่าไหร่ ภัยพิบัติก็ยิ่งตามมาหนักเท่านั้น”

“ส่วนการค้าของร้านขายของชำนั้นไม่ค่อยดีนัก แต่ละเดือนจะมีรายได้เข้าเพียงห้าหกสิบตำลึงเงินเท่านั้น ในหนึ่งปีก็มีรายได้มากสุดไม่ถึงหกร้อยตำลึงเงิน ทว่าโรงน้ำชานั้นถือว่าไม่เลว เพราะว่าสินค้ามีแหล่งที่มาที่ดี จึงมีกำไรมากกว่าร้านผ้า โดยปกติแล้ว ทุกเดือนจะทำกำไรได้ราวๆ สามร้อยกว่าตำลึงเงิน ถ้าช่วงตรุษจีนก็จะสามารถทำเงินได้เป็นสองเท่า ในปีนี้สามารถทำกำไรได้ห้าหกพันตำลึงเงินเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ใช้ปลายนิ้วแตะคางของตนพลางคำนวณสักพัก แล้วค่อยเอ่ยขึ้น “หากเป็นเช่นนี้ พอเอารายได้ปีหนึ่งมารวมๆ กันแล้ว ข้าสามารถ…มีรายได้ประมาณเจ็ดแปดพันตำลึงเงินใช่หรือไม่”

เฝิงหมัวมัวพยักหน้า “คุณหนูกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว!” เหยาเยี่ยนอวี่กำลังคำนวณรายได้นี้ในใจอย่างละเอียด หนึ่งปีมีรายได้แปดพันตำลึงเงิน อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นสตรีผู้มั่งมีคนหนึ่งแล้ว? ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่ตนใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยก็ยังใช้เงินทองพวกนี้ไม่หมดอยู่ดี ถ้าสามารถนำเงินออกมาลงทุน เพื่อให้เงินทำเงิน…

คิดถึงตรงนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ นางเกิดมาไม่มีพรสวรรค์ในการทำธุรกิจเลย ชาติปางก่อนก็ไม่รู้จักอะไรที่เรียกว่าการเก็งกำไรจากการลงทุนเล่นหุ้น และชาตินี้ก็ได้ทะลุมิติมาเยือนในราชวงศ์ต้าอวิ๋น นางก็ยังคงไม่เข้าใจเรื่องการค้าขายอยู่ดี

ทั้งสองภพที่นางเกิดมานี้ สิ่งที่นางรู้สึกสนใจมากที่สุดก็ยังคงเป็นวิชาการแพทย์ การได้รักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วย สำหรับนางแล้วคือเรื่องง่ายๆ แต่หากให้นางพูดถึงเรื่องการค้าขายและการเก็งกำไร แค่คิดหัวสมองของนางก็แทบจะขึ้นอืดแล้ว ทว่าจำนวนเงินที่มีรายได้สูงถึงเจ็ดแปดพันตำลึงเงินต่อปีก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว นางจึงต้องพยายามทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะรักษาธุรกิจพวกนี้ให้คงอยู่รอด อนาคตตัวนางจะได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นคง และสามารถอยู่อย่างดีไปจนแก่จนเฒ่า

เฝิงหมัวมัวเข้ามาขัดจังหวะนางที่กำลังเพ้อฝันอย่างกะทันหัน

“คุณหนูเจ้าคะ หนึ่งปีมีเงินเข้าเท่านี้ พูดได้ว่าเงินทองเหล่านี้สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว พวกเขาคงนำไปดำรงชีวิตอย่างไร้ความกังวลใดๆ ได้ ทว่าท่านไม่ได้เป็นชาวบ้านทั่วไป คงไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ท่านลองมองชีวิตของคุณหนูใหญ่ของพวกเราก็พอ บ่าวไปสืบมาแล้ว จวนติ้งโหวจะให้เงินคุณหนูใหญ่ไปใช้จ่ายยี่สิบตำลึงต่อเดือน และในทุกๆ สิ้นปี เงินปันผลและผลผลิตจากที่สวนของจวนติ้งโหวจะตกเป็นของครอบครัวบุตรชายทั้งสาม แต่เท่าที่บ่าวทราบมา จริงๆ แล้วทุกอย่างก็ถูกจำกัดจำนวนไว้ เหตุเพราะจวนติ้งโหวเป็นตระกูลใหญ่ จึงมีค่าใช้จ่ายสูง องค์หญิงต้าจั่งทรงมีศักดินาที่ดินก็ไม่ใช่ความเท็จ ทว่าท่านโหวยังคงทำเรื่องกตัญญูต่อพระองค์ในทุกปี และการไปมาหาสู่กับราชนิกุลและตระกูลชั้นสูงบ่อยๆ เมื่อจวนนั้นๆ มีเรื่องมงคลหรืออัปมงคล มีเรื่องใดบ้างที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย”

เฝิงหมัวมัวนับนิ้วมือของตน กำลังคำนวณให้เหยาเยี่ยนอวี่ดูอย่างละเอียด “อีกอย่าง แต่ละครอบครัวมีค่าใช้จ่ายของตัวเอง คุณชายสามต้องออกไปร่วมงานสังสรรค์เพราะเรื่องงานมากมาย คุณหนูใหญ่เองก็ยิ่งต้องเตรียมของกำนัล ตอนที่ออกไปข้างนอกก็ต้องเชิญผู้อื่นร่วมโต๊ะอาหาร ขั้นต่ำของหนึ่งโต๊ะอาหารต้องจ่ายเงินมากกว่าพันตำลึงเงิน อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกไปพบปะกับผู้อื่น ก็ต้องเสียค่าจ้างในการเย็บปักอีกสิบยี่สิบตำลึงเงิน พอมาคำนวณดูแล้ว ส่วนของเงินปันผลที่ได้จากการปลูกข้าวที่แต่ละครอบครัวจะได้รับ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายรายเดือนที่คุณหนูใหญ่และสามีได้รับก็แค่สี่สิบตำลึงเงิน เกรงว่าเงินจำนวนเท่านี้ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายข้างนอกจวนของคุณชายสามภายในครึ่งปีด้วยซ้ำ”

สีหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ ขมขื่น ที่แท้ก็นึกว่าตนเองจะเป็นคนที่ร่ำรวย นึกไม่ถึงเลยว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย

เฝิงหมัวมัวมองสีหน้าระทมใจของนายหญิงของตน จึงได้หัวเราะเบาๆ พลางพูด “ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่เหลือ ก็ต้องให้คุณหนูใหญ่ของพวกเราเป็นคนคิดหาวิธีทดเงินพวกนั้นกลับมา คุณหนูไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้ แต่อย่างไรเสีย ในภายหน้าก็ย่อมต้องออกเรือนไม่ช้าก็เร็ว ถึงอย่างไรหลังจากที่ออกเรือนแล้วก็ต้องจัดการเรื่องพวกนี้อยู่ดี ตอนนี้หากทุกปีมีรายได้เข้าจำนวนแปดพันตำลึงเงิน ถึงเวลานั้นเกรงว่ารายได้จะไม่เพียงพอต่อรายจ่าย”

เหยาเยี่ยนอวี่ฟังคำพูดดังกล่าว จึงเบะปากแล้วถามกลับ “เช่นนั้นท่านยังหัวเราะออกอีก? วันข้างหน้าหากท่านติดตามข้า ไม่แน่อาจไม่มีอันจะกินก็ได้”

เฝิงหมัวมัวพูดด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้คุณหนูอยู่จวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง ทุกอย่างมีฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินคอยวางแผน ดังนั้นบ่าวจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนี้แทนคุณหนู วันนี้คุณหนูออกจากจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง ทั้งยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ บ่าวจึงจำเป็นต้องพูดเรื่องเคร่งเครียดพวกนี้ให้คุณหนูฟัง เพื่อที่จะให้คุณหนูเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ สำหรับเรื่องที่ไม่มีอันจะกิน พวกเราคงยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มขึ้น คำพูดที่บอกว่าไม่มีอันจะกินเป็นแค่วาจาที่หยอกล้อเท่านั้น แต่เรื่องนี้ หากนางไม่ครุ่นคิดอย่างตั้งใจก็คงไม่ได้

“ข้ารู้ว่าหมัวมัวกับท่านลุงเฝิงเป็นคนที่มีความสามารถทั้งคู่ และที่ผ่านมาข้าเองก็ไม่ได้กังวลใจถึงเรื่องพวกนี้ วันข้างหน้า ร้านค้าทั้งสี่ร้านนี้ ข้าก็มอบหมายให้พวกท่านไปจัดการ แค่ทุกๆ สามเดือนเอาสมุดบัญชีมาให้ข้าดูก็พอ สำหรับเรื่องที่ร้านค้าจะดำเนินไปอย่างไร จะดูแลอย่างไร ข้าจะไม่ถามสักคำ ส่วนแบ่งกำไรของทุกปีที่ได้จากร้านค้า ข้าจะแบ่งหนึ่งในสิบให้พวกท่าน ถือว่าเป็นเงินตอบแทนความชอบของพวกท่าน”

“โธ่ ทำเยี่ยงนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ” เฝิงหมัวมัวรีบกล่าวขึ้น “มันเป็นเรื่องธรรมดาที่บ่าวจะต้องคอยรับใช้ผู้เป็นนาย นายหญิงให้เบี้ยเลี้ยงรายเดือนกับพวกบ่าวอยู่แล้ว อีกทั้งยังเลี้ยงดูปูเสื่อพวกบ่าว เพียงแค่นี้ก็ถือเป็นพระคุณอันใหญ่หลวงแล้ว หากพวกบ่าวยังจะโลภมาก ยังจะกินเงินส่วนแบ่งของนายหญิง พวกบ่าวสมควรถูกฟ้าผ่าตาย!”

* “คำพูดนี้ช่างเหลวไหลเสียจริง ข้าให้พวกท่านได้รับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบของกำไร ก็หมายความว่าหากพวกท่านทำงานหนักมากขึ้น ผลกำไรที่ได้ก็จะมากขึ้นตาม วิธีการเช่นนี้ พวกท่านจะได้มุ่งมั่นทำงานหนัก ข้าก็จะได้วางใจด้วย อีกอย่างอะไรถึงจะเรียกว่าความยุติธรรม? บ่าวไพร่ปฏิบัติต่อนายอย่างดี นายเองก็ควรปฏิบัติอย่างดีกับบ่าวไพร่เช่นกัน นี่ถึงจะเรียกว่าไม่เสียทีที่ได้เป็นนายเป็นบ่าวกัน มันเป็นไปได้หรือ ที่ผู้เป็นนายเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองสิ่งดีๆ ในใต้หล้านี้ ส่วนผู้เป็นบ่าวกลับต้องเสียเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อ แต่กลับไม่สามารถรับสิ่งดีๆ แม้แต่น้อย?” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางพูดขึ้น “หากเป็นนายที่ใจจืดใจดำเยี่ยงนี้ อนาคตก็คงไม่มีชีวิตที่ดีหรอก”

เฝิงหมัวมัวยังคงเกลี้ยกล่อมเหมือนเดิม นางกล่าวเพียงอย่างเดียวว่า สามีและตนไม่เหมาะสมที่จะได้รับส่วนแบ่งกำไรหนึ่งส่วนสิบนี้ได้

เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากหมัวมัวรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นท่านก็แสดงความสามารถและความตั้งใจทั้งหมดที่มีเพื่อมาช่วยข้าดูแลร้านค้า ทำให้ข้าได้รับผลกำไรมากขึ้นทุกปี แล้วให้ข้าได้รับจำนวนส่วนแบ่งที่พวกท่านได้รับนั้นกลับมาให้หมด เยี่ยงนี้ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายใช่หรือไม่”

เฝิงหมัวมัวยิ้มแล้วย่อตัวลงเพื่อแสดงความจงรักภักดี “คุณหนูเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี พวกบ่าวช่างโชคดียิ่งนัก พวกบ่าวทั้งสองสามีภรรยาจะซื่อสัตย์ต่อคุณหนูตลอดไป จะไม่มีทางทรยศหักหลังเป็นอันขาด”

ในวันเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ของจวนติ้งโหว แน่นอนว่าต้องไปตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง ใจจริงเหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากไป แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เหยาเฟิ่งเกอจะไปเข้าเฝ้าองค์หญิงต้าจั่ง หลังจากที่นางหายดีจากการเจ็บไข้ ในเมื่อนางจะไป เหยาเหยียนอี้ก็จำต้องไป เหยาเยี่ยนอวี่จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป

เหยาเยี่ยนอวี่ตัดสินใจว่าตนจะอยู่อย่างถ่อมตนที่สุด จะไม่มากความและจะไม่ก้าวเดินมากกว่าหนึ่งก้าว ได้แต่ภาวนาให้องค์หญิงต้าจั่งไม่เห็นว่านางมีตัวตนอยู่ นางจะกินอาหารอย่างเงียบๆ หลังจากที่กินเสร็จก็จะกลับมาที่เรือน

ดั่งที่คาด วันนี้องค์หญิงต้าจั่งอารมณ์ดียิ่งนัก ตอนแรกองค์หญิงก็ชอบเหยาเฟิ่งเกออยู่แล้ว วันนี้พอเห็นว่านางหายจากการป่วยหนักแล้วยังมาน้อมทำความเคารพด้วยตนเองเช่นนี้ จึงรู้สึกชื่นอกชื่นใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็ปรายตามองเหยาเยี่ยนอวี่มากกว่าเดิม แล้วกล่าวว่า “น้องสาวคนนี้ของเจ้ามีโฉมหน้าที่งดงามอยู่เหมือนกัน”

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset