ตอนที่ 279 ฝึกขี่ม้ากลางป่าพงไพร เยี่ยมชมเรือนหอ (3)
เว่ยจางไม่มีความเห็นอื่นใด หันหมิงชั่นจึงแสดงความเห็นว่าไปกินอาหารในค่ายคงทำให้หมดสนุก ทางโน้นไม่ใช่ว่ามีลำธารหรือไร พวกเราไปกินอาหารที่นั่นจะได้จับปลามาปิ้งด้วย
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจึงขมวดคิ้วแล้วลอบถอนหายใจเงียบๆ ทันที…ข้าเหมือนเคยบอกว่าแค่เห็นปลาก็รู้สึกอิ่มแล้ว!
ทว่าหากเทียบกับการไปกินข้าวในค่ายและอยู่ร่วมกับพวกที่เฝ้าสนามขี่ม้า ริมลำธารยังเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจมากกว่า อย่างไรนางก็ถูกเจ้าหมอนั่นทำให้เครียดจวนตายแล้ว ต่อให้ไปไหนก็ไม่มีอารมณ์กินข้าว
ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังริมลำธาร ฉังเหมาและชุ่ยเวยรับผิดชอบกลับไปยกกล่องอาหารมา
ในคิมหันตฤดูนี้ไม่กลัวว่าอาหารจะเย็น ชุ่ยเวย ชุ่ยผิง ซูหยิ่ง ชิงอวิ้น และสาวใช้คนอื่นๆ ต่างอุ้มห่อผ้า ส่วนฉังเหมาก็แค่จูงม้า สองมือพยุงกล่องอาหารขนาดใหญ่ที่อยู่บนหลังม้าแล้วพูดคุยเล่นกับเหล่าสตรีตลอดทาง หลังจากที่ยุ่งไปสักพัก เขาก็ปูพรมขนปุยขนาดใหญ่และเบาะรองที่นั่งพร้อมจัดวางกล่องอาหารแต่ละอย่างให้ครบครัน แล้วยังมีสุราดอกสาลี่ขาวหนึ่งเหยือก
เว่ยจางด้านข้างก็เก็บกิ่งไม้แห้งเพื่อก่อไฟ หันซังเย่ว์ถูกน้องสาวสั่งให้ไปจับปลาริมลำธาร
หันหมิงชั่นจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่ไปล้างมือริมลำธารแล้วกลับมานั่งพร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “อยากกินอะไร น่องไก่ไหม”
“อื้อ…ไม่เอา” คุณหนูเหยาฝึกขึ้นลงหลังม้ามาทั้งเช้า นางสะดุ้งตกใจและขวัญเสียบ่อยจนทำให้เมื่อยเอวและปวดขา ตอนนี้จึงไม่อยากอาหารแม้แต่น้อย แค่พิงหลับตาพักผ่อนสายตาบนหินอย่างเงียบสงบ
หันซังเย่ว์จับปลาได้โดยเร็ว จากนั้นจึงใช้ดาบสั้นทำความสะอาดปลาริมลำธารแล้วเสียบกิ่งไม้สะอาดให้เว่ยจางปิ้งตรงกองไฟ นี่ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ตกตะลึงมาก แม้กระทั่งสงสัยว่าเมื่อชาติปางก่อนบุรุษในราชวงศ์ต้าอวิ๋นเคยเป็นชาวประมงหรือเปล่า
หันหมิงชั่นกินปลาอย่างรื่นเริงแล้วสั่งชุ่ยเวย “เอาเป็ดหมักสุราให้คุณหนูของพวกเจ้ากินหน่อยเถอะ วันนี้นางเหนื่อยมากแล้ว ต้องกินอะไรหน่อยถึงจะดี”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันส่ายหน้า “พวกเจ้ากินเถอะ ไม่ต้องมาสนใจข้า”
เว่ยจางและหันซังเย่ว์ดื่มสุราอยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดนี้จึงหันมามองแล้วดื่มสุราไปหนึ่งจอกเงียบๆ ชุ่ยเวยเอาแตงโมกับช้อนมาหนึ่งคัน พูดยิ้มๆ “คุณหนูกินแตงโมหน่อยเถอะเจ้าค่ะ แตงโมเนื้อเหลืองนี้หวานฉ่ำยิ่งนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่รับไว้แล้วกินไปหนึ่งคำ รสชาติหอมละมุนอย่างที่คาด อืม กินแตงโมก่อน สำหรับเจ้าหมอนั่นวันข้างหน้าหากมีโอกาสจะจัดการเขาอีกที!
พวกเขาจึงนั่งพักผ่อนตากลมเย็นอยู่ใต้ต้นไม้ไปครึ่งชั่วยามกว่าจนถึงเห็นก้นเหยือกสุราดอกสาลี่ขาว เว่ยจางถึงเอ่ยถามหันซังเย่ว์ “ยังมีอะไรน่าเล่นอีกไหม”
หันซังเย่ว์มองฟ้าจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “ควรกลับบ้านกันแล้ว หากมืดค่ำเกินไปใต้เท้าเหยาจะไม่พอใจ”
เว่ยจางพูดขึ้นยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ได้ รีบกลับไปเถอะ ข้ายังมีเรื่องรบกวนเจ้า”
“อ้อ? เจ้ามีเรื่องอะไรรบกวนข้าหรือ” หันซังเย่ว์ยิ้มประหลาด
“ในจวนกำลังซ่อมบำรุง ข้าเป็นเพียงแม่ทัพจึงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เจ้าช่วยไปดูหน่อยเถอะ” เว่ยจางพูดขึ้น นัยน์ตากวาดมองไปที่เหยาเยี่ยนอวี่
หันซังเย่ว์เข้าใจทันทีจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี กลับไปเจ้าต้องขอบคุณข้าเป็นอย่างยิ่ง”
“แน่นอน” เว่ยจางยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นขึ้นรถม้า ตอนที่ออกจากสนามขี่ม้าก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะไปจวนเว่ยจาง เหตุเพราะนางเข้าไปในรถม้าแล้วนอนกอดหมอนนุ่มอยู่บนตั่งไม้สบายใจไปสักพักก็หลับ ต่อให้รถม้าโคลงไปเคลงมา สำหรับคุณหนูเหยาที่เหน็ดเหนื่อยมากในวันนี้กลับกลายเป็นเปลที่แสนสบาย
ตอนที่รถม้าจอดลง นางก็ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างสะลืมสะลือ “ถึงจวนแล้วหรือ”
หันหมิงชั่นพูดอย่างรื่นเริง “อืม ถึงจวนแล้ว” นางเน้นคำว่า ‘จวน’ โดยเฉพาะแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
น่าเสียดายที่เหยาเยี่ยนอวี่หลับใหลจนดวงตามัวพร่าจึงไม่ทันได้สังเกต นางโยนหมอนในอ้อมกอดทิ้งแล้วลงรถม้า
“เอ๊ะ?” หลังจากคุณหนูเหยาลงรถม้าก็เห็นประตูทางเข้าจวนมีบ่าวที่สวมใส่เสื้อแขนสั้นสีเขียวกำลังทาสีประตูใหญ่ ดูแววเงายิ่งนัก “ที่นี่ที่ไหน”
“จวนของเจ้า” หันหมิงชั่นยังคงรอยยิ้มชื่นบาน
“…” ว่าไปคุณหนูเหยาก็ไม่ได้โง่ ตอนที่เห็นฉังเหมาก็เข้าใจทันที นี่คือจวนแม่ทัพติ้งหย่วน
ทว่าบังเอิญที่นางก็อยากจะมาดูประตูและหน้าต่าง กระจกเหล่านั้นติดไปถึงไหนแล้ว งานสมรสถูกกำหนดแล้ว การจัดการกับใครบางคนก็คือแผนร้ายระยะยาวของนาง วันนี้นางคงทำได้เพียงเป็นห่วงสถานที่ที่นางต้องพักอาศัยในอนาคตว่าสุขสบายดีหรือไม่
เรื่องนี้ตามหลักแล้วเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบ มีเจ้าสาวตระกูลใดที่ยังไม่ได้แต่งเข้าจวนแต่กลับมาดูเรือนหอของตนเองก่อน? หากเหยาเหยียนอี้รู้ก็คงจะตำหนิเว่ยจางและคนที่ติดตามมาด้วยหรือเปล่า ทว่าคุณหนูเหยาไม่ใช่คนธรรมดา รวมไปถึงสองพี่น้องตระกูลหันใคร่อยากช่วยเว่ยจาง ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีใครกล้ามากความ
เว่ยจางและหันซังเย่ว์สาวเท้าเข้าประตูใหญ่ที่อยู่ตรงบันไดอิฐสีนิลขั้นที่ห้า หันหมิงชั่นและเหยาเยี่ยนอวี่เดินตามอยู่ด้านหลัง เหล่าสาวใช้ก็ติดตามอยู่ด้านหลังไปด้วย
พอเข้าประตูก็คือกระเบื้องสลักลายบุษบาที่เพิ่งปูใหม่ ฉังเหมาเป็นคนที่มีตาทิพย์ก็โบกมือให้เกี้ยวไร้หลังคาสองคันมาแล้วเชิญคุณหนูหันและคุณหนูเหยาขึ้นเกี้ยว เหยาเยี่ยนอวี่หลับอยู่บนรถม้าตลอดทางจึงรู้สึกเมื่อยขาทั้งสองข้าง ตอนนี้แค่อยากจะเดินยืดเส้นยืดสายจึงไม่ได้ใช้เกี้ยว
หันหมิงชั่นก็ต้องไม่ใช้เหมือนกันอยู่แล้วจึงผายมือสั่งพวกเขา จากนั้นจึงเดินตามหลังบุรุษสองคนที่อยู่ด้านหน้า
หลังจากเข้าประตูยังคงเป็นเรือนอิฐสีนิลที่แกะสลักลวดลายต่างๆ ไม่มีทางเดินที่คดเคี้ยวไปมาและระเบียงยาวำไร้จุดสิ้นสุด
จวนเว่ยจางถือว่าปลอดโปร่ง ไม่ใช่สถานที่โออ่าอลังการ ทว่าริมทางหินสีนิลที่เป็นถนนสายหลักกลับมีอ่างใหญ่อยู่สองอ่าง ในอ่างเลี้ยงปลาจิ่นหลีไว้จึ งมีปลาจิ่นหลีกระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำอยู่บ่อยครั้ง ตอนมันสะบัดหางทำให้มีหยดน้ำกระเซ็น บนผิวน้ำมีดอกบัวผลิบาน ดอกบัวสีชมพูอ่อนแกมม่วงนี้ทำให้จวนแห่งนี้ดูงดงามอร่ามตาขึ้นมาบ้าง
สนามหญ้าทั้งสองฝั่งไม่ได้ปลูกพืชพันธุ์ดอกไม้ที่ล้ำค่าอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ก่ออิฐสีนิลล้อมรอบสวน ในสนามหญ้ามีเพียงต้นไม้ใหญ่สองสามต้นและภูเขาจำลอง เป็นสวนที่งดงามอร่ามตา สนามหญ้าและต้นไม้ดูเหมือนกึ่งตัดแต่งกึ่งธรรมชาติทำให้ดูแล้วเหมาะสมกับการตกแต่งจวนของแม่ทัพยิ่งนัก
ครั้งที่แล้วเหยาเยี่ยนอวี่มาพักที่นี่หนึ่งคืนตอนเทศกาลหยวนเซียว ตอนนั้นหิมะยังตก อีกอย่างเพราะเกิดเรื่องสำคัญจึงไม่มีอารมณ์ไปชมการตกแต่งภายในของเรือน วันนี้พอมาสังเกตมองอย่างละเอียดแม้ไม่ใช่แบบที่นางโปรดปรานทว่าก็ไม่ได้รังเกียจ และรู้สึกว่าจวนที่เรียบร้อยและดูปลอดโปร่งก็ถือว่าดี
“นี่เป็นเรือนเก่าแก่ หลังจากท่านปู่สิ้นใจก็ไม่มีคนพักอาศัยอยู่ จึงมีหลายจุดที่ชำรุดไปแล้ว ปีที่แล้วข้าเพิ่งจะกลับมาซ่อมบำรุง หลังจากนั้นมีหลายแห่งที่ยังไม่ทันซ่อมแซม เหตุเพราะข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้และไม่มีเวลามาจัดการด้วย” เว่ยจางเดินไปพลางพูดคุยกับหันซังเย่ว์ไปด้วย แท้จริงแล้วเขาต้องการเล่าให้คนด้านหลังฟัง
หันหมิงชั่นลอบดึงแขนเสื้อของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วทำหน้ากวนประสาท เหยาเยี่ยนอวี่ทำหน้าบูดบึ้งแล้วทำสีหน้าซีดเซียวใส่นาง ทำเอาหันหมิงชั่นถึงกับหัวเราะ
“เป็นอะไรไป” หันซังเย่ว์หันไปมองทั้งสองคน
“ไม่มีอะไร” หันหมิงชั่นพูดขึ้นยิ้มๆ
เว่ยจางมองคุณหนูเหยาที่ทำสีหน้าเคร่งขรึมจึงยิ้มจางๆ อีกครั้งแล้วพาพวกเขาเดินเข้าไปด้านในต่อ