ตอนที่ 289 รักษาองค์ชายอย่างฉุกเฉิน (1)
ด้วยเหตุนี้เว่ยจางจึงเอ่ยถาม “พ่อบ้านเอกมีธุระเร่งด่วนอะไรหรือเปล่า”
พ่อบ้านเอกไหลฝูจึงเล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงป่วยอาการเดิมๆ และอยากให้คุณหนูรองเหยาไปรักษาอีกหนึ่งรอบ เว่ยจางได้ยินจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ข้าเพิ่งกลับมาจากจวนเจิ้นกั๋วกงก็ได้พบปะกับท่านซื่อจื่อและฮูหยินมาแล้ว เหตุใดทางฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าป่วยหนักกลับไม่ได้ยินท่านซื่อจื่อเอ่ยถึงเลยเล่า”
“เฮ้อ! นี่ก็เพราะว่าฮูหยินน้อยตั้งครรภ์ เรื่องในจวนจึงไม่กล้าให้นางรู้ กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อรกในครรภ์!” ตอนที่พ่อบ้านเอกไหลฝูพูดเช่นนี้ สีหน้าค่อนข้างแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะพูดถึงเรื่องที่เฟิงเซ่าอิ่งตั้งครรภ์เลยทำให้อึดอัดใจหรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น
เว่ยจางยิ้มๆ แล้วหันไปเหลือบมองเหยาเหยียนอี้เพียงพริบตาเดียว
เหยาเหยียนอี้จึงเข้าใจทันที จวนอัครเสนาบดีเป็นตระกูลสูงศักดิ์อันเก่าแก่ที่มีมานับร้อยปี เป็นตระกูลที่มีคุณธรรมเพียบพร้อมที่สุด ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลพวกเขาป่วยหนักจริงๆ ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อไม่มีทางจัดงานเลี้ยงในจวน คงต้องรีบกลับไปปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอน บุตรีของเฟิงฮูหยินผู้เฒ่าคือฮองเฮา ทั้งยังมีสะใภ้ที่เป็นถึงจวิ้นจู่ ตอนที่นางป่วยใครจะมาดูแล นอกจากสะใภ้ของบุตรชายอนุภรรยาแล้ว มิควรเป็นหลานสาวภรรยาเอกหรือ
ตั้งครรภ์แล้ว? แล้วไม่ให้กลับจวนต้นตระกูลเป็นเรื่องง่ายดายที่แค่นั่งรถม้าคันกว้างขวางกลับไป พอกลับถึงจวนต้นตระกูลก็ไม่จำเป็นต้องคอยต้มยาเองกับมือ แค่คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว จะเป็นการทำให้เหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร
ดังนั้นตรงนี้มีความหมายแอบแฝงอยู่สองประการ ประการแรกคนในจวนอัครเสนาบดีที่ป่วยไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนประการที่สองต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าป่วยจริงอาการก็คงไม่ได้ร้ายแรงมากเกินไป
ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมาขอความช่วยเหลือถึงจวนผู้อื่นแต่กลับไม่พูดความจริงเช่นนี้ นี่กำลังแสดงท่าทีอะไรอยู่ นึกว่าคนอื่นเป็นคนโง่หรือ ถึงตระกูลเหยาของข้าจะเทียบไม่ได้กับตระกูลเฟิง แต่ก็คงไม่จำเป็นต้องประจบสอพลอเช่นนี้หรือเปล่า ถึงกับต้องวางกับดับให้พวกเรากระโดดลงไปเช่นนี้เลยหรือ ไร้เหตุผลสิ้นดี!
ด้วยเหตุนี้ตอนที่เหยาเหยียนอี้มองไหลฝูอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาก็จืดจางลงไปมาก
ต่อให้ไหลฝูจะหัวโบราณแค่ไหน ต่อให้จะตีสนิทกับทุกฝ่ายได้เก่งเพียงใด ก็ยังเทียบเทียมไม่ได้ว่าใบหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้มจางๆ ของคุณชายรอง
เหยาเหยียนอี้ยกมือวางถ้วยชาลงแล้วส่งแขกทันที “พ่อบ้านเอกไหลฝู พรุ่งนี้เถอะ รุ่งเช้าข้าจะส่งคนไปรับน้องสาวที่บ้านนากลับมา ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว เชิญท่านกลับไปก่อนเถอะ”
ไหลฝูยืนขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่นแล้วค้อมตัวพลางทำมือคารวะพร้อมเปรยขึ้น “ใต้เท้าเหยา! ได้โปรดท่านเมตตากรุณาหน่อยเถอะ”
เหยาเหยียนอี้พูดขึ้นยิ้มๆ “ท่านฝู คำพูดเช่นนี้ของท่านพูดอย่างกับว่าข้าชั่วร้ายจนมิอาจอภัยให้ได้กระนั้นแหละ”
“เปล่า เปล่า!” ไหลฝูพลันพูด “บ่าวไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น มัน…เช่นนั้นจริงๆ เฮ้อ! คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าบ่าวไม่กล้าไม่ทำตาม คืนนี้หากเชิญคุณหนูเหยาไปไม่ได้ บ่าวคงต้องตาย…” พูดไปไหลฝูก็ดึงแขนเสื้อมาซับน้ำตา
เว่ยจางจึงพูดขึ้น “พูดตามตรง ตอนที่ข้าออกมาจากจวนเจิ้นกั๋วกง ได้ยินบ่าวที่เฝ้าประตูบอกว่าคุณหนูรองหันเชิญคุณหนูรองเหยาไปร่วมงานที่จวน การที่พ่อบ้านเอกมาร้องไห้ที่นี่ สู้ไปถามหาคุณหนูเหยาที่จวนเจิ้นกั๋วกงไม่ดีกว่าหรือ บางทีจวนกั๋วกงอาจเชิญคุณหนูเหยาอยู่ค้างคืนที่นั่นก็ได้”
“นี่…” ไหลฝูเงยหน้ามองเว่ยจางเพียงปราดเดียวด้วยความสงสัยแล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี
เว่ยจางพูดขึ้นต่อ “หากว่าข้าโกหก วันข้างหน้าข้าคงไม่กล้าพบหน้ากับหันซื่อจื่ออีกต่อไป” ฮูหยินซื่อจื่อเป็นตั้งคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฟิง
พ่อบ้านอาวุโสไหลฝูคิดไปคิดมาก็ถูก หากคุณหนูเหยาอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงพอดี เช่นนั้นก็ง่ายกว่าเดิมสิ? ดังนั้นจึงแอบก่นด่าเว่ยจางในใจว่าไม่ได้เรื่องจริงๆ เหตุใดถึงไม่พูดให้เร็วกว่านี้ กลับปล่อยให้ตนบดฟันอยู่ตรงนี้ตั้งนานเยี่ยงนี้ ดังนั้นเขาพลันยกมือคารวะให้เว่ยจาง “ขอบคุณแม่ทัพเว่ยที่เสนอแนะ ใต้เท้าเหยา เช่นนั้นบ่าวขอไปจวนกั๋วกงได้หรือไม่”
เหยาเหยียนอี้ไม่รู้ว่าเว่ยจางกำลังมาไม้ไหนจึงคารวะพร้อมพูดยิ้มๆ “ต่อให้ข้าบังอาจเพียงใดก็ไม่กล้ายุ่งเรื่องของจวนกั๋วกงหรอก ท่านฝูเชิญตามสบายเถอะ”
ไหลฝูน้อมทำความเคารพเว่ยจางอีกครั้ง หลังจากกล่าวอำลาก็รีบออกจากที่นั่นโดยเร็ว
เหยาเหยียนอี้ถามเว่ยจาง “นี่มันหมายความว่าอะไรกัน เยี่ยนอวี่ไปจวนเจิ้นกั๋วกงหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
เว่ยจางพลันพูด “กลับมาแล้ว”
“?!” เหยาเหยียนอี้พลันถลึงตาโต จนถึงตอนนี้เจ้าหมอนี่ยังกล้าพูดจาเรื่อยเปื่อยต่อหน้าข้าอีกหรือ ลักพาตัวน้องสาวของข้า พอส่งนางกลับมาแล้วแต่ยังกล้านั่งอยู่ที่นี่โดยไม่สนใจใครอีก
เว่ยจางพลันเล่าเรื่องคร่าวๆ เหยาเหยียนอี้ได้ยินจึงตะลึงงันอย่างมาก
สายเลือดกระนั้นหรือ! นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ!
เว่ยจางมองท่าทางของเหยาเหยียนอี้แล้วพูดยิ้มๆ “พี่เหยาก็ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนี้ นี่ก็แค่วิธีหนึ่งในการรักษาชีวิตคนเท่านั้น ข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องคิดมาก ความตายอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างก็ดูเป็นเรื่องเล็กไปเลย” พอนึกถึงเหล่าสหายที่ต้องรบจนสิ้นชีพที่เขตชายแดน น้ำเสียงของเว่ยจางจึงทุ้มต่ำมากขึ้น “คนตายเปรียบเสมือนไฟ ดับตายไปก็สูญสิ้นทุกอย่าง”
เหยาเหยียนอี้มองเว่ยจางแล้วถอนหายใจอย่างกังวลใจ ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ชั่วคราว แค่เรื่องตรงหน้าตอนนี้ก็ปวดหัวมากพอแล้ว
ไม่รู้ว่าจวนอัครเสนาบดีเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดถึงต้องตามคนไปด้วย”
เว่ยจางครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ต้องเป็นเพราะคนสำคัญป่วย มิเช่นนั้น…ก็บาดเจ็บ พวกเขาไม่อาจพูดออกมาได้ ทำได้เพียงใช้นามของฮูหยินผู้เฒ่ามาแอบอ้างให้เชิญหมอไปดูอาการ”
เหยาเหยียนอี้นวดหว่างคิ้ว “พวกเราไล่เขากลับเช่นนี้ หากคนสำคัญคนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตระกูลเฟิงต้องเรียกร้องให้รับผิดชอบจากพวกเราแน่นอน”
เว่ยจางแสยะยิ้ม “อืม อย่างน้อยก็ต้องถูกประนามว่าเห็นคนใกล้ตายแต่กลับไม่ยอมยื่นมือไปช่วย”
“เช่นนั้นก็ให้เยี่ยนอวี่ไปเถอะ” เหยาเหยียนอี้ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ตระกูลเฟิงตอนนี้ยังไม่ควรผิดใจด้วย
เว่ยจางพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปกับพี่เหยาเอง”
เหยาเหยียนอี้มองเว่ยจาง ผ่านไปสักพักถึงจะส่ายหัว “เจ้าห้ามไป”
“หา?” เว่ยจางไม่เข้าใจ จวนอัครเสนาบดีไม่ใช่ถ้ำพยัคฆ์วังมังกร เหตุใดถึงไปไม่ได้
“ครั้งนี้พวกเราไม่ไปจวนอัครเสนาบดีไม่ได้ ต้องไม่พ้นสายพระเนตรของฮ่องเต้แน่นอน” เหยาเหยียนอี้กดเสียงต่ำแล้วแค่พูดคำๆ นี้ออกมา
เว่ยจางนึกขึ้นได้ทันที จึงค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
วันนี้เหยาเยี่ยนอวี่เสนอเรื่องถ่ายเลือดและกลุ่มเลือดออกมาก็มีเพียงพวกเขาไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป หากแตกคอกับฮ่องเต้ขึ้นมา ตระกูลเหยาและจวนเจิ้นกั๋วกงก็คงปกป้องให้นางปลอดภัยไม่ได้ ส่วนตนที่เป็นเพียงขุนนางแม่ทัพระดับห้าคนหนึ่ง พูดตามตรงก็เป็นเพียงข้ารับใช้ของจวนเจิ้นกั๋วกงเท่านั้น ดังนั้นจวนอัครเสนาบดีต้องการให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปในคืนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชวนนางไปทำความชั่วแน่นอน
ส่วนเว่ยจางที่มีฐานะเป็นแม่ทัพกลับไม่ควรสนิทสนมกับเฟิงจงเยี่ยที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนนี้มากเกินไป
ตระกูลเฟิงมีฐานะร่ำรวยและสูงศักดิ์ เป็นต้นตระกูลของฮองเฮา ทั้งยังเป็นตระกูลที่จวิ้นจู่แต่งเข้าไป เฟิงเซ่าอิ่งยังเป็นท่านฮูหยินซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกด้วย
ทว่าไม่ว่าจะสานความสัมพันธ์ด้วยการสมรสอย่างไร เฟิงจงเยี่ยหรือว่าตระกูลเฟิงก็ยังห่างไกลจากอำนาจทางการทหาร ก่อนหน้านี้เฟิงจงเยี่ยก็ส่งหลานชายในตระกูลไปฝึกฝนวิชาในค่ายทหาร ทว่ากลับอยู่เหนือกว่าผู้อื่นไม่ได้ ไม่เพียงแต่ไม่รับการให้ความสำคัญ ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บกลับมา จนถึงตอนนี้ บุตรชายภรรยาเอกของตระกูลเฟิงก็มีเพียงเฟิงเซ่าเชินที่มีมือไร้แรงผูก ซ้ำยังมองโลกในแง่ดี
นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน
ผู้ที่ห่างไกลจากศูนย์กลางการกระจายอำนาจก็คงไม่คิดมากอะไร ทว่าเหยาหย่วนจือกลับวิเคราะห์แยกแยะให้บุตรชายทั้งสองของตนฟังอย่างกระจ่างแจ้ง
ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลเฟิงที่ครองอำนาจสำคัญและกุมความลับราชวงศ์ได้รับอำนาจในการทหารมาครอบครองเป็นแน่