ตอนที่ 294 เยี่ยนอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นที่ห้า (1)
พอเข้าไปในเรือนข้างฝั่งตะวันออกตรงเรือนหลัก ฮ่องเต้ก็ทรงตื่นจากบรรทม ผู้ที่สวมใส่ชุดคลุมยาวสีครามกำลังพิงอยู่บนตั่งไม้เตี้ยพลางลืมตามองหลังคา ถึงแม้สีหน้ายังคงดูเหน็ดเหนื่อยทว่า ก็ดีกว่าเมื่อวานมาก
เว่ยจางเดินเข้าไปถวายบังคม
ฮ่องเต้ทรงผายพระหัตถ์พลางเหยียดกายขึ้น จากนั้นก็นั่งตัวตรงแล้วยกมือเอาหน้าไม้ที่เป็นงานละเอียดอ่อนบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ พลางยื่นไปให้เว่ยจาง “เจ้าดูนี่”
เว่ยจางใช้สองมือรับของสิ่งนั้นแล้วสังเกตมองอย่างละเอียดแล้วทูลกลับ “งานฝีมือละเอียดอ่อนยิ่งนัก ไม่เหมือนฝีมือของคนลุ่มแม่น้ำกลางพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างสงสัย “ชาวตะวันออก?”
“ไม่น่าใช่พ่ะย่ะค่ะ นี่เหมือนเป็นงานฝีมือของชาวตะวันตกพ่ะย่ะค่ะ” คิ้วของเว่ยจางขมวดเป็นปมเล็กน้อย สีหน้าดูจริงจังนัก
“ชาวตะวันตกกระนั้นหรือ!” พระหัตถ์ของฮ่องเต้กำแน่นแล้วชกไปยังโต๊ะเล็กที่อยู่ด้านข้างแรงๆ หนึ่งที “ร้ายนัก! ปีที่แล้วพวกเขายังบอกเจิ้นว่าจะสานราชไมตรีกับต้าอวิ๋น จะไปมาหาสู่กับต้าอวิ๋น เจิ้นยังตบรางวัลให้พวกเขาตั้งเยอะ!”
เว่ยจางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าฮ่องเต้ไม่พูด เขาที่เป็นเพียงผู้น้อยก็คงไม่กล้าถามแน่นอน
ทว่าฮ่องเต้ก็ไม่ได้คิดว่าจะปิดบังเขา จึงบอกเรื่องพาองค์ชายหกแต่งกายเป็นสามัญชนธรรมดาและได้เจอกับผู้ร้ายตรงระหว่างทางไปเฉิงโจว องค์ชายหกเลยบังลูกเหล็กแทนเขา ทำให้อันตรายจนใกล้สิ้นใจ โชคดีที่มีทักษะการแพทย์ที่อัศจรรย์ของคุณหนูเหยาถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ หลังจากนั้นเขาก็เปรยขึ้น “คุณหนูเหยาช่างเป็นแม่นางที่อัศจรรย์จริงๆ เสี่ยนจวิน เจ้าช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก ตอนนี้เจิ้นค่อนข้างรู้สึกเสียดายที่ประทานงานสมรสให้เจ้า”
เว่ยจางได้ยินจึงนิ่งงันไป หลังจากที่ได้สติกลับมาก็พลันคุกเข่าลงแล้วทูลขึ้น “ฮ่องเต้ได้โปรดวางพระทัย กระหม่อมจะดูแลนางเป็นอย่างดี จะไม่ทำให้ฮ่องเต้ทรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
“พรวด…” ฮ่องเต้อดแย้มพระสรวลไม่ได้ “พอ ลุกขึ้นเถอะ ดูท่าทางที่ไม่ได้เรื่องนี่ของเจ้าสิ ทำเหมือนไม่ได้สู่ขอสะใภ้มาแปดชาติกระนั้นแหละ พระราชโองการที่เจิ้นประกาศออกไปจะเก็บกลับมาได้หรือ”
เว่ยจางทูลกลับแล้วลุกขึ้น ภายในใจกลับคิดว่า งานสมรสนี้ต้องรีบจัดเสียแล้ว ช่างรู้สึกเสียใจยิ่งนักที่กำหนดวันสมรสไว้ในเดือนเก้า กลับไปต้องปรึกษาหารือกับพี่รองหน่อยเสียแล้ว ถามเขาว่าจะเลื่อนงานให้เร็วกว่านี้หน่อยได้หรือไม่!
ทางฝั่งเขายังคงลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ ทางฝั่งฮ่องเต้ก็พูดขึ้น “คนพวกนี้ลอบวางแผนไว้ แน่นอนว่าอยากลอบสังหารเจิ้น เสียดายที่อารักขาพวกนี้ของเจิ้นกลับจับตัวคนร้ายตัวเป็นๆ มาไม่ได้ นอกจากสามคนที่ถูกฆ่าตายคาที่แล้ว คนอื่นก็หนีกันไปหมด เจิ้นสงสัยว่ามีคนเป็นนกสองหัว เรื่องด้านในเจ้าไม่ต้องสนใจ เจ้าแค่ไปสืบหางานด้านนอกก็พอ ทางที่ดีที่สุดก็ให้จับผู้ร้ายมาตัวเป็นๆ เจิ้นจะได้สืบสวนพวกเขาดีๆ หากเป็นชาวตะวันตดทำจริงๆ เจิ้นก็คงไม่ถือสาที่จะส่งทหารทางน้ำไปผลาญแคว้นเล็กๆ นั่น!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา ฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมรู้ว่าควรทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าทำการใดเจิ้นวางใจมาโดยตลอด เจ้าไปเถอะ” ฮ่องเต้กดหว่างคิ้วด้วยความเหน็ดเหนื่อยแล้วเอนกายไปด้านหลัง
เว่ยจางทูลกลับอีกครั้งแล้วค้อมตัวถอยออกมา จากนั้นก็มองซ้ายแลขวาในเรือนสักพัก พอเห็นม่านตรงประตูเรือนข้างทางฝั่งตะวันออกเลิกขึ้น เหยาเหยียนอี้ออกมาจากด้านในกลับไม่ได้พูดอะไร แค่ส่งยิ้มให้เขา
เว่ยจางหรี่ตาลงแล้วหันข้างมองม่านประตูที่อยู่ด้านหลังพร้อมหันหลังเดินออกจากประตูเรือน
องค์ชายหกอวิ๋นยิงฟื้นขึ้นมาตอนยามเซิน เขาเสียเลือดไปมาก แผลที่แสนสาหัสทำให้ร่างกายของเขาสูญเสียความมีชีวิตชีวาไป
“เจ้าหก” ฮ่องเต้เห็นบุตรชายฟื้นขึ้นมาแล้วจึงรู้สึกพอพระทัยและตื่นเต้นยิ่งนัก จากนั้นก็เดินไปนั่งขอบตั่งไม้แล้วยกพระหัตถ์ไปจับแก้มอันซีดเผือดของอวิ๋นยิงพร้อมเปรยขึ้น “เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง”
อวิ๋นยิงยิ้มอย่างอ่อนเพลีย “ลูก…สบายดี…เสด็จพ่อไม่…ต้องกังวลพระทัยแทนลูก…”
ตั้งแต่โบร่ำโบราณเป็นต้นมา ราชวงศ์ล้วนขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างสามีภรรยา บิดาและบุตร ล้วนลอบทำร้ายกันมามาก ทุกคนล้วนแก่งแย่งชิงดีเพื่อแย่งบัลลังก์ ดังนั้นตอนที่บุตรชายของตนใช้ร่างกายมาบังลูกเหล็กในสถานการณ์ที่อันตราย ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานจึงได้ใส่พระทัยกับเรื่องนี้เป็นธรรมดา
แต่ตอนนี้หัวแก้วหัวแหวนของฮ่องเต้ถึงจะฟื้นแล้ว ทว่าลมหายใจยังอ่อนแอ ตอนพูดก็แทบจะไม่มีเสียง ฮ่องเต้จึงไม่วางพระทัย ด้วยเหตุนี้เลยถามจางชางเป่ย “คุณหนูเหยาล่ะ”
จางชางเป่ยได้ทดลองการลิ่มจับเลือดที่คุณหนูเหยามอบหมายจนเสร็จ เขายังคงรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก พอได้ยินฮ่องเต้เอ่ยถามจึงโค้งลำตัวทูลกลับทันที “ทูลฝ่าบาท คุณหนูเหยาไม่ได้นอนทั้งคืน เวลานี้น่าจะยังพักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงพลางตรัส “เจิ้นดูสีหน้าของเจ้าหกยังแย่อยู่ เจ้าคิดว่าควรให้เจ้าสามให้เลือดเขาอีกหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่กระหม่อมได้ทำตามที่คุณหนูเหยาพูดจนทดลองจบไปหนึ่งชุด กระหม่อมเข้าใจหลักเหตุผลของกลุ่มเลือดนี้แล้ว เตี้ยนเซี่ยะหกเป็นกลุ่มเลือดเจี๋ยหยี่ เลือดของเขามีสารกระตุ้นการสร้างเป็นชนิดหยี่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเลือดเจี่ยหรือว่าหยี่ หรือจะเป็นกลุ่มเลือดหลิงก็ให้เลือดองค์ชายหกได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง “ความหมายของคำพูดนี้ก็หมายความว่าเลือดของเจ้าหรือเลือดของใครก็ให้เจ้าหกใช้ได้ใช่หรือไม่”
“ทูลฝ่าบาทเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” จางชางเป่ยรีบตอบกลับ “ทว่าเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะให้เลือดต้องเจาะเลือดของคนคนนั้นก่อนแล้วเอาไปทดลองกับเลือดขององค์ชายหกก่อนพ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้ถึงจะแน่ใจว่าปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้าก็คงจะไร้สาระน่ะสิ” ฮ่องเต้ขมวดพระขนงพลางเปรย “เจ้าพูดจาเยิ่นเย้อจริง กล่าวได้ไม่ชัดเจนเท่าคุณหนูเหยาเลยจริงๆ”
จางชางเป่ยถูกฮ่องเต้ว่ากล่าวตำหนิ ทำได้เพียงก้มหัวลงด้วยความประหม่า
“เสด็จพ่อ…ลูกไม่เป็นไรแล้ว” อวิ๋นยิงยกมือจับแขนเสื้อของฮ่องเต้ไว้ “พี่สามให้เลือดแก่ลูก เขาเองก็อาจจะป่วยเอาได้”
ฮ่องต้ได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงพยักหน้า ก็ใช่ เจ้าสามและเจ้าหกล้วนเป็นราชบุตรทางสายเลือด เป็นก้อนเนื้อของตนเอง!
พอเห็นสีหน้าที่ขาวซีดของบุตรชาย ในสมองของฮ่องเต้จู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาอีกครั้ง จริงๆ ใช้เลือดของผู้อื่นช่วยชีวิตบุตรชายของตนได้ก็ไม่เลวนะ!
จางชางเป่ยรู้สึกตกอกตกใจในคำพูดของฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้กลับมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ดินแดนใต้สวรรค์ทั้งหมดเป็นของฮ่องเต้ ทุกคนที่อยู่ภายใต้สวรรค์เป็นของฮ่องเต้ ชีวิตของคนใต้สวรรค์ล้วนเป็นของราชวงศ์ เลือดของคนใต้สวรรค์แน่นอนก็ต้องเป็นของราชวงศ์เหมือนกัน ข้าอยากได้ใครก็ได้คนนั้นมาครอบครอง!
มุมมองของฮ่องเต้เ ลือดของคนใต้หล้านี้ก็คือวัตถุดิบชนิดหนึ่ง!
ดังนั้นไม่ยอมรับไม่ได้ว่าความคิดของคนช่างน่าแปลกนัก เจ้าคอยใช้ชีวิตอยู่อย่างระมัดระวังตัวที่นี่ กลับไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังมีความคิดในมุมมองอีกด้านหนึ่ง
แท้จริงแล้วเหยาเยี่ยนอวี่ตื่นมาแต่เช้า ทว่าแค่เกียจคร้านที่จะขยับ จึงนอนครุ่นคิดอะไรเงียบๆ อยู่บนเตียงคนเดียว ชุ่ยเวยเข้ามารายงานว่าองค์ชายหกฟื้นแล้ว ฮ่องเต้ก็เสด็จไปด้วย นางถึงจะลุกขึ้นหน้าล้างแปรงฟันและแต่งกายให้เรียบร้อย หลังจากกินของว่างสองชิ้นและน้ำชาไปหนึ่งจอกก็ไปดูอาการขององค์ชายหกอย่างใจเย็น
นางตั้งใจชักช้าเช่นนี้ ต้องให้เวลาเพียงพอแก่จางชางเป่ยที่จะอธิบายเรื่องกลุ่มเลือดให้กับฮ่องเต้
จางชางเป่ยเป็นหมอหลวงที่ติดตามฮ่องเต้มาหลายสิบปีจึงรู้สึกนิสัยของฮ่องเต้เป็นอย่างดี ฮ่องเต้วางใจเขา ดังนั้นเรื่องนี้เขาเหมาะสมที่จะเอ่ยปากพูดกว่าตนเอง