ตอนที่ 301 เสียงขลุ่ยประสานกัน ส่งสินเดิมเจ้าสาวออกจวน (3)
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบรับคำ ไม่นานก็ยกข้าวต้มปลาหอมกรุ่นมาทั้งหมดแปดชาม คุณหนูทุกคนก็จึงได้รับประทาน
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นจึงเปรยขึ้น “พี่หันนี่เอ็นดูแต่เหิงเอ๋อร์เลยนะ”
หันหมิงชั่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเอ็นดูทุกคน เพราะนึกถึงเจ้าที่ไม่ได้กินปลามานานเช่นนี้ ข้าเลยสั่งให้คนจัดเตรียม เจ้าเป็นคนพูดเองว่าคนที่ชอบกินปลาเป็นคนฉลาดมิใช่หรือ”
อวิ๋นเคอพูดอย่างรื่นเริง “คุณหนูเหยาฉลาดมากพอแล้ว กลับเป็นพวกเราที่ควรกินปลาเยอะๆ ไว้บำรุงสมองหน่อย หวังว่าจะฉลาดขึ้นมาบ้าง”
ทุกคนต่างก็พูดว่า ใช่ ด้วยรอยยิ้ม เหยาเยี่ยนอวี่เปรยอย่างประหม่า “จวิ้นจู่ยกข้ามาเป็นประเด็นพูดคุยอีกแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าข้าไม่ได้รับการโปรดปรานขนาดไหน”
อวิ๋นเคอพูดยิ้มๆ “ข้าไม่กล้าหรอก พวกเราล้วนอยากเป็นเหมือนคุณหนูทั้งนั้น” ขณะที่พูด นางก็คีบไป๋เหอให้เหยาเยี่ยนอวี่สองชิ้น “เช่นนั้นคุณหนูเหยาต้องกินอาหารที่จืดชืดหน่อยแล้ว ให้พวกเรากินอะไรที่บำรุงหน่อย รอให้พวกเราฉลาดเหมือนเจ้าจะได้เป็นเพื่อนกับเจ้า”
คำพูดนี้เพิ่งจะเอ่ยจบ ทุกคนก็ยิ้มขึ้นมา แม้กระทั่งซูอวี้เหิงก็ยังยิ้ม
จากนั้นก็พูดคุยเล่นกันไปไม่นาน อวิ๋นเคอก็พาน้องสาวสองคนของตนเองกล่าวอำลา เหยาเยี่ยนอวี่ก็บอกว่าเหนื่อยและอยากพักผ่อน หันหมิงชั่นจึงสั่งให้ซูอิ่งพานางไปพักผ่อนในเรือนกุ้ยอวิ๋นที่เป็นเรือนเล็กๆ กลางสวนบุษบา ตนเองพาซูอวี้เหิงไปชมดอกพุดตาลที่กำลังเบ่งบานอีกฝั่ง
ซูอวี้เหิงสนิทสนมกับหันหมิงชั่นมาตั้งแต่เด็กจึงพูดคุยกันทุกเรื่อง หันหมิงชั่นพานางเดินอยู่กลางสวนบุษบาช้าๆ แล้วจับมือนางพลางเอ่ยถาม “ปีนี้เจ้าก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ไม่รู้ว่าทางจวนได้มีการวางแผนอะไรหรือไม่”
ซูอวี้เหิงยิ้มขมขื่น “จะวางแผนอะไรได้เล่า ต่อให้ฮูหยินอยากจะจัดพิธีอย่างอลังการข้าก็คงไม่เห็นด้วยเด็ดขาด”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่จนปัญญาจริงๆ ในความดีงามทั้งปวง การกตัญญูมาเป็นอันดับหนึ่ง อีกอย่าง องค์หญิงต้าจั่งรักและเอ็นดูเจ้ามากเพียงนั้น” หันหมิงชั่นถอนหายใจเบาๆ
พอได้ยินคำพูดนี้ ซูอวี้เหิงจึงน้ำตาคอลทันที
“ข้าคุยเรื่องพวกนี้กับเจ้า ไม่ได้จะทำให้เจ้าเสียใจนะ” หันหมิงชั่นเอาผ้าซับน้ำตาซูอวี้เหิงแล้วถอนหายใจอีกครั้งพร้อมพูดขึ้น “สตรีเฉกเช่นพวกเรา ชาตินี้มีเรื่องสามอย่างที่สำคัญที่สุด หนึ่งคือเกิดในจวนที่ดีมีบิดามารดาและญาติมิตรที่รักตนเอง เรื่องนี้ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้ดีที่สุด ทว่าก็มีองค์หญิงต้าจั่งที่รักและเอ็นดูเจ้ามาหลายปีก็เพียงพอแล้ว สองแน่นอนก็ต้องหาสามีที่รักและเป็นห่วงตัวเอง สามีนำภรรยาตาม ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า เรื่องนี้เจ้ายังเด็กอาจจะครุ่นคิดไม่รอบคอบ แต่ข้าคิดจนรอบคอบแล้ว”
ซูอวี้เหิงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พี่สาวกับท่านซื่อจื่อจะ…”
หันหมิงชั่นถอนหายใจพลางยิ้มน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “แน่นอนว่าเขานั้นดีแต่กลับไม่คู่ควรกับข้า หลายปีมานี้ความรู้สึกที่ข้ามีกับเขาต้องปิดบังเจ้าไว้ไม่อยู่อยู่แล้ว ตอนแรกข้ารู้สึกเสียใจมากเพียงใดเจ้าก็เห็นแล้ว ตัดใจแล้วตัดใจอีก เจ็บเหมือนถูกตัดชิ้นเนื้อ พอตัดใจได้แล้ว หลังจากเจ็บปวดพอแล้ว ก็จะเข้มแข็งขึ้นเอง”
ซูอวี้เหิงขมวดคิ้วด้วยความเห็นใจ “เหตุใดพี่สาวถึงต้องทรมานเช่นนี้ ตามฐานะของเจ้ามีสิ่งใดที่ไม่คู่ควรกับเขาหรือ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่คู่ควรหรือไม่คู่ควร” หันหมิงชั่นดึงซูอวี้เหิงเดินเข้าไปใกล้ต้นพุดตาลต้นหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ภายในหนึ่งวันดอกพุดตาลนี้เปลี่ยนสีสามครั้ง เวลานี้ดอกไม้กลายเป็นสีชมพูเข้ม เสริมให้ใบเขียวขจีน่าดึงดูดมากเป็นพิเศษ
“แต่เป็นเพราะเหมาะสมกับไม่เหมาะสมต่างหาก งานสมรสไม่เพียงแต่คนสองคนรักกันก็จะมีความสุขได้ ทุกคนต่างบอกว่าจวนเป็นที่ที่อยู่แล้วสบายใจที่สุด สถานที่ที่สุขสบายของเขาไม่เหมาะสมกับข้า มอบความสุขให้ข้าไม่ได้ แล้วข้ายังจะดื้อดึงเข้าไปไปไยกัน เหิงเอ๋อร์ ข้าพูดเช่นนี้เจ้าเข้าใจไหม”
ซูอวี้เหิงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดขึ้น “คำพูดของพี่สาวข้าเข้าใจอยู่แล้ว แต่หากหัวใจถูกใครเติมเต็มไปแล้ว แล้วจะเปิดใจให้คนที่สองเข้ามาได้อย่างไร”
“หัวใจถูกคนผู้หนึ่งเติมเต็มแน่นอนว่าเปิดใจให้กับคนที่สองไม่ได้ แต่หัวใจของพวกเราก็ไม่ควรยอมให้คนที่เราครอบครองไม่ได้มายึดครองหัวใจของเราไว้นี่นา” หันหมิงชั่นยกมือเด็ดกลีบบุษบาแล้วโยนทิ้ง ทำให้กลีบสีชมพูเข้มปลิวไปไกลตามสายลม “ก็เหมือนดอกไม้นี้ หากมันไม่ร่วง ปีหน้าจะออกดอกใหม่ได้อย่างไร”
ซูอวี้เหิงนิ่งงันทันที นัยน์ตาเคล้าด้วยความเจ็บปวด
หันหมิงชั่นกุมมือซูอวี้เหิงไว้แล้วปลอบโยนนาง “เหิงเอ๋อร์ ตอนที่ควรตัดต้องทนทุกข์ทรมานกับความอาลัยอาวรณ์ให้ได้ เหมือนตอนที่องค์หญิงต้าจั่งทรงสิ้น ต่อให้เจ้าเจ็บมากเพียงใด ท่านย่าของเจ้าก็อยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิตไม่ได้ คนคนนั้นที่อยู่ในใจของเจ้าก็เช่นเดียวกัน และคนที่ฟ้าลิขิตให้เคียงคู่กับเจ้าตลอดชีวิต บางทีอาจจะเป็นบุรุษที่เจ้าแลกสายตากันเพียงคราเดียวโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้”
“พี่สาว…” ซูอวี้เหิงที่กำลังจะพูดก็หยุดลงอีกครั้ง
“เหิงเอ๋อร์ เรื่องบางอย่างอาจเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ดี แต่มันไม่เหมาะสมกันจริงๆ” หันหมิงชั่นลูบไล้ใบหน้าของซูอวี้เหิงด้วยความสงสารแล้วถอนหายใจยาว “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เห็นว่าเจ้าคือน้องสาวทางสายเลือดมาโดยตลอด อนาคตก็เช่นเดียวกัน ข้า เยี่ยนอวี่ แล้วยังมีเจ้า พวกเราสามคนจะใช้ชีวิตอย่างราบรื่น และทุกคนต้องมีความสุขของตนเอง เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
ซูอวี้เหิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ลืม ข้าเลยอาลัยอาวรณ์ในตัวเจ้ากับพี่เหยาอยู่เสมอ ดังนั้นเลยไม่ได้สิ้นใจไปตามองค์หญิงต้าจั่ง ว่าไปแล้วข้ายังโลภมากอยู่ โลภมากในความอ่อนโยนที่พวกเจ้าให้ข้า ดังนั้นข้าจะจับแน่นๆ และไม่มีทางยอมปล่อยมือเด็ดขาด”
“ต่อให้เจ้าไม่จับพวกเราไว้ พวกเราก็จะจับเจ้าไว้เอง” หันหมิงชั่นยื่นมือไปโอบกอดซูอวี้เหิงแล้วเปรยด้วยเสียงต่ำ “เยี่ยนอวี่คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราสามคน เจ้าดูนางในตอนนี้สิ ความสุขของนางง่ายแค่เอื้อม ดังนั้นพวกเราต้องเรียนรู้จากนาง กล้าหาญหน่อย แข็งแกร่งหน่อย”
“อืม” ซูอวี้เหิงยื่นมือไปโอบเอวของหันหมิงชั่นแล้วพูดด้วยเสียงสะอึ้กสะอื้น “ภายภาคหน้าไม่ว่าจะเป็นเช่นไร พี่สาวก็ต้องรักและเอ็นดูข้านะ”
หันหมิงชั่นหัวเราะเบาๆ “แน่นอนอยู่แล้วสิ เจ้าจะเป็นสหายที่รักของข้าตลอดไป”
เหยาเยี่ยนอวี่พักผ่อนอยู่ในเรือนเล็กอย่างสุขสบาย ได้ดมกลิ่นหอมดอกกุ้ย ทำให้นางหลับฝันหวาน ตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้งตะวันก็ลับฟ้าแล้ว
“ฮู้…สบายจัง!” คุณหนูเหยาบิดขี้เกียจบนเตียง
ชุ่ยเวยที่เฝ้าอยู่ตรงประตูจึงรีบเรียกชุ่ยผิงที่อยู่ข้างนอก “คุณหนูตื่นแล้ว รีบเข้าไปปรนนิบัติเร็วเข้า”
ชุ่ยผิงพลันยกน้ำล้างหน้าที่เตรียมไว้แต่เนิ่นๆ เข้าประตูไปแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “คุณหนูหลับสบายเหลือเกิน! นอนจนถึงป่านนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้นแล้วล้างหน้าบ้วนปาก ชุ่ยเวยเอาเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้นาง ตอนที่กำลังยุ่งกับการแต่งกาย หันหมิงชั่นก็เข้ามาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้นยิ้มๆ “เห็นได้ชัดเจนว่าเตียงของข้าที่นี่สบายยิ่งนัก เจ้าถึงได้นอนจนป่านนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นยิ้มๆ “พี่สาวยังพูดเช่นนี้อีก นี่มันยามใดแล้ว เหตุใดถึงไม่ให้พวกนางเรียกข้า”
“เรียกเจ้าไปไยกัน เจ้ามัวแต่ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน โอกาสหายากที่จะได้หลับดีๆ จะไม่ให้เจ้าหลับจนพอได้อย่างไร”
“พี่สาวเอ็นดูข้าที่สุด เหิงเอ๋อร์ล่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ใส่เสื้อผ้าเสร็จก็นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วให้ชุ่ยเวยหวีผมตนเอง
หันหมิงชั่นขยับเข้ามานั่งข้างนาง ในมือจับดอกกุ้ยไว้หนึ่งก้านแล้ววางทาบบนศีรษะของเหยาเยี่ยนอวี่ “นางยังคงอยู่ในช่วงไว้อาลัยจึงอยู่ดึกไม่ได้เลยกลับไปก่อน”
“ข้านอนอยู่ในเรือนที่นี่ไปครึ่งวันจนทั้งเรือนร่างเคล้าด้วยกลิ่นหอมของดอกกุ้ยแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือแย่งดอกกุ้ยในมือของหันหมิงชั่นมาสูดดม
หันหมิงชั่นกลับไม่ได้สนใจเรื่องดอกไม้ แค่พูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าต้องตั้งใจฟังให้ดี”
เหยาเยี่ยนอวี่โยนดอกกุ้ยทิ้งแล้วเอ่ยถาม “เรื่องอะไรถึงได้ทำให้พี่สาวจริงจังเช่นนี้หรือ”