ตอนที่ 303 เสียงขลุ่ยประสานกัน ส่งสินเดิมเจ้าสาวออกจวน (5)
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว” เว่ยจางถวายบังคมอีกครั้งแล้วถอยออกจากห้องทรงพระอักษร
ตั้งแต่ที่ออกมาจากวังหลวง เว่ยจางก็พาเก๋อไห่กลับไปนำตัวผู้ร้ายสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่มาแล้วส่งเข้าไปในคุกหลวง เก๋อไห่พูดด้วยคิ้วขมวด “ท่านแม่ทัพ สองคนนี้ถูกส่งเข้าไปในคุกเช่นนี้คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ขืนคนในคุกมีไส้ศึกของพวกเขาแฝงตัวอยู่…”
“หุบปาก! คุกหลวงคือสถานที่อะไร!” เว่ยจางว่ากล่าวตำหนิด้วยเสียงต่ำ จริงๆ เขาอยากจะส่งคนร้ายเข้าไปในคุกจวนใจจะขาด เช่นนั้นเขาจะได้พักผ่อนอย่างผ่อนคลาย ทว่าเก๋อไห่เอ่ยถามถึงเช่นนี้ ภายในใจของเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่เหมือนกัน
ฮ่องเต้ไปสถานตากอากาศเดิมทีก็พาคนไปไม่เยอะอยู่แล้ว มีเพียงนางสนมที่ได้รับความโปรดปรานกับขุนนางทั้งหกฝ่ายติดตามไปด้วย ทว่าแผนการเดินทางกลับรั่วไหล ใครจะไปรู้ว่าคนพวกนั้นที่อยู่ในคุกหลวงจะไว้วางใจได้หรือไม่
ทว่าคำพูดของฮ่องเต้นั้นทรงอำนาจยิ่งนัก หากฝ่าฝืนคำสั่งก็ถือว่าเป็นการก่อกบฏ พอครุ่นคิดดูอย่างละเอียดแล้วเ ว่ยจางก็ตัดสินใจทำตามคำสั่งของฮ่องเต้
หลังจากส่งทั้งสองคนนั้นเข้าไปในคุกหลวงตอนกลางดึก ตอนที่เว่ยจางกลับถึงจวนตนเองฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว เขาวิ่งงานราชการด้านนอกด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งค่อนเดือน ตอนนี้ได้กลับบ้านเสียที เขากลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
พอเห็นเรือนต่างๆ ในจวนเปลี่ยนโฉมใหม่หมด ฉังเหมาตั้งใจซื้อดอกพุดตาลที่กำลังเบ่งบานมาตั้งไว้ในเรือนโดยเฉพาะ จึงนำดอกไม้ไปปักไว้ในแจกันกระเบื้องลายคราม ท่ามกลางใบไม้ที่เขียวขจีมีดอกไม้ผลิบานอย่างงดงาม สีสันดอกไม้ที่ออกชมพูแกมเหลืองงดงามยิ่งนัก ดูอย่างไรก็สื่อถึงความเป็นสิริมงคล
ฉังเหมายังฝึกคำพูดที่เป็นสิริมงคลมาโดยเฉพาะ พุดตาล พุดตาล สามีน่าเคารพนับถือ ภรรยาก็มีเกียรต
“แหม่! นายท่านกลับมาแล้ว!” เว่ยจางยืนอยู่ตรงกลางเรือนพลางมองบุษบาเหล่านั้น พอได้ยินเสียงที่เรียกอย่างตื่นเต้นดีใจดังขึ้นจากด้านหลัง ฉังเหมาจึงรีบวิ่งไปน้อมคำนับ จากนั้นก็สั่งการเป็นชุด “รีบไปเตรียมน้ำอุ่นมาให้นายท่านอาบน้ำ แล้วเจ้าไปบอกโรงครัวให้รีบจัดเตรียมอาหารให้นายท่าน!”
“หลายวันมานี้ในจวนเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยจางเดินเข้าไปด้านในพลางเอ่ยถามฉังเหมา
“เรียนนายท่าน ทุกอย่างในจวนราบรื่นดีขอรับ ของที่ควรจัดเตรียมก็จัดเตรียมครบครันแล้ว ผ้าสีแดงสิริมงคลบ่าวซื้อไปหนึ่งร้อยผืน บ่าวลองคำนวณดูแล้ว แต่ละที่ต้องแขวนผ้าสีแดงหนึ่งร้อยผืนก็ไม่ถือว่าเยอะ ดังนั้นบ่าวเลยสั่งให้คนเตรียมผ้าโปร่งสีแดงอีกหนึ่งร้อยผืน อื้ม ใช่แล้ว เฮ่อฮูหยินก็สั่งให้คนส่งต้นสนมาหนึ่งคู่ บ่าวดมกลิ่นสนนั้นหอมยิ่งนักจึงสั่งให้คนตั้งไว้ในสวนของเรือนเยี่ยนอาน เฮ่อฮูหยินช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ของที่นางส่งมาคิดว่าคงจะเป็นสิ่งที่ว่าที่ฮูหยินโปรดปรานขอรับ”
เว่ยจางคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยถาม “สำนักแพทย์แคว้นนี่เกิดอะไรขึ้น”
“พูดถึงเรื่องนี้ บ่าวต้องขอแสดงความยินดีกับนายท่านด้วยขอรับ ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการว่าราชสำนักต้องการจัดตั้งศาลาว่าการใหม่ เรียกว่าสำนักแพทย์แคว้นต้าอวิ๋น แล้วสั่งให้สำนักแพทย์คอยรับผิดชอบปรุงยาสมุนไพรที่ล้ำค่า ให้การรักษาโบร่ำโบราณ และการรักษาโรคที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อย ฮ่องเต้ยังรับสั่งให้หมอหลวงจางเป็นหัวหน้าขุนนางหมอของสำนักแพทย์แคว้น และแต่งตั้งว่าที่ฮูหยินของพวกบ่าวเป็นขุนนางขั้นห้าเพื่อคอยช่วยเหลือหมอหลวงจาง อ้อ ฮ่องเต้ยังตรัสอีกว่าสตรีคนรองของข้าหลวงใหญ่เหยามีฝีมือในการฝึกอบรมผู้คน จึงไม่ต้องให้กระทรวงขุนนางต้องคอยกังวลเกี่ยวกับการคัดเลือกขุนนางที่จะเข้าไปรับตำแหน่ง และอนุญาตให้หัวหน้าเป็นคนเลือกสามัญชนเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์”
พอพูดถึงเช่นนี้ ฉังเหมาก็ยิ้มขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว ฮ่องเต้ยังจะให้สำนักแพทย์ฝึกอบรมหมอหญิงเพื่อการงานในวัง ตอนนี้สำนักแพทย์ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ แต่นอกประตูก็เกิดสถานการณ์วุ่นวายขึ้นแล้ว หมอสามัญชนมากมายอยากจะเข้ามารับตำแหน่งในนี้ หากไม่มีทหารรักษาการณ์คอยเฝ้าไว้ ประตูสำนักแพทย์ที่ยังซ่อมแซมไม่เสร็จต้องถูกพังไปแล้ว!”
เว่ยจางได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงส่ายหัวอย่างประหม่า ไม่รู้จริงๆ ว่าฮ่องเต้คิดอย่างไร เหยาเยี่ยนอวี่ช่วยชีวิตองค์ชายไว้ สุดท้ายฮ่องเต้กลับแต่งตั้งนางเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ว่าต้องการใช้งานจนนางเหนื่อยตายหรือไร
หลังจากอาบน้ำเสร็จ แม่ทัพเว่ยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด เสี่ยวซือกำลังส่งอาหารเข้ามาพอดี เว่ยจางจึงสั่งการฉังเหมา “ไปเรียกต้าไห่มากินด้วยกันเถอะ”
“มาแล้ว” เก๋อไห่รับคำพลางเดินเข้ามา เห็นชัดว่าเขาเลือกเวลามากินอาหารได้ถูกจริงๆ
ทางฝั่งเว่ยจางและเก๋อไห่เพิ่งจะกินข้าวเสร็จยังไม่ทันได้นอนพัก ถังเซียวอี้ก็เข้ามาอย่างเร่งรีบแล้วพูดด้วยความตกตะลึง “ท่านแม่ทัพ ได้ยินว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งลี่ผินไปอารามแม่ชีแล้ว”
“หา?” เว่ยจางขมวดคิ้ว “เจ้าเริ่มเป็นห่วงเรื่องในวังในตั้งแต่เมื่อใด เจ้าดูว่างนะ”
ถังเซียวอี้ถอนหายใจแล้วกดเสียงต่ำลง “ได้ยินมาว่าลี่ผินสั่งให้คนไปส่งอาหารและสุราพิษเข้าไปในคุก”
เว่ยจางเลิกคิ้วทันทีแล้วหันไปมองเก๋อไห่
“ไม่ใช่หรอกกระมัง เร็วเช่นนี้เลยหรือ!” เก๋อไห่ตกตะลึงยิ่งนัก
“ส่วนรายละเอียดที่ลึกกว่านี้ข้าน้อยไม่รู้ หากไม่มีหลักฐาน ฮองเฮาก็ไม่มีทางกระทำเช่นนี้หรือเปล่า”
เว่ยจางแค่นเสียงเรียบ “ใครจะรับประกันได้ว่านี่ไม่ได้เป็นการยืมมีดฆ่าคน?”
เก๋อไห่และถังเซียวอี้แลกเปลี่ยนสายตากันแล้วยังอยากพูดอะไร ทว่ากลับถูกเว่ยจางขัดขวางไว้ “เรื่องที่เกี่ยวกับวังในพวกเจ้าสองคนปิดปากให้สนิทอย่าหลุดไปแม้แต่คำเดียว มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่มีที่ฝังศพแน่นอน เข้าใจหรือยัง!”
“ขอรับ เข้าใจแล้วขอรับ” เก๋อไห่และถังเซียวอี้ขานรับด้วยเสียงเคร่งขรึม
เว่ยจางผายมือแล้วพูด “พอเถอะ ยุ่งมาหลายวันเหนื่อยจะตายแล้ว ข้าจะนอนพักก่อน พวกเจ้าอยากทำอะไรก็ไปทำเลย”
“ข้าก็จะนอนพักเช่นกัน” เก๋อไห่พูดจบก็หันไปนอนลงบนตั่งไม้ทันที
เว่ยจางยกเท้าถีบเข้า “ไสหัวกลับไปนอนที่เรือนของเจ้าเสีย”
เก๋อไห่นิ่งเหมือนหมูที่ตายไปแล้ว “ที่ไหนก็ไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรอกหรือ อย่างไรก็คือเรือนของจวนแม่ทัพเหมือนกัน”
เว่ยจางประหม่า ทำได้เพียงกลับไปนอนบนเตียงตัวเองแล้วเอาผ้าห่มโยนไปบนร่างของเก๋อไห่ ทางฝั่งรองแม่ทัพเก๋อก็เริ่มกรนไปแล้ว
ถังเซียวอี้จับจมูกแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพ อนาคตเมื่อฮูหยินแต่งเข้ามาจะรังเกียจพวกเราหรือไม่ ดูๆ แล้วพวกเราควรออกไปซื้อจวนของตนเองเสียแล้ว”
“รอให้พวกเจ้าแต่งงานก่อนค่อยว่ากันเถอะ หากยังใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกนั้นไม่กลัวหิวตายหรือไร” เว่ยจางกลอกตามองบนใส่รองแม่ทัพถังแล้วหันไปนอนลงบนเตียง จากนั้นก็ทิ้งท้ายด้วยคำว่า “ไสหัวไปเถอะ”
การกล่าวโดยสรุป หลังจากตระกูลเว่ยและตระกูลเหยายุ่งวุ่นวายมาสักระยะหนึ่ง สุดท้ายก็มาถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกเสียแล้ว
วันนี้เป็นวันที่คุณหนูเหยาส่งสินเดิมเจ้าสาว นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก
ฟัายังไม่ทันสว่าง ฉังเหมาก็รีบลุกขึ้นแล้วสั่งให้บ่าวในจวนแม่ทัพรวมตัวกัน เริ่มจากการทำความสะอาดทั้งในและนอกจวน แม้กระทั่งขอบประตูก็ห้ามมีฝุ่นเกาะติดเด็ดขาด บนพื้นก็ยิ่งอย่าปล่อยให้มีใบไม้ตกอยู่แม้แต่ใบเดียว แม้กระทั่งบันไดทางเข้าประตูด้านหน้า เสามัดม้า หินขึ้นรถม้า และสิงโตหิน ก็ต้องเช็ดสามรอบจนสะอาด
ทางฝั่งตระกูลเหยา เหยาเฟิ่งเกอพาบุตรีพักอาศัยอยู่ในจวนหนึ่งคืนจึงได้ตรวจสินเดิมเจ้าสาวของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างละเอียดกับหนิงฮูหยินน้อยอีกครั้ง ทุกอย่างเตรียมอย่างครบครันและใช้ผ้าสีแดงพันไว้เรียบร้อย ทั้งยังติดตัวอักษรสิริมงคลไว้
เหตุเพราะคนยกสินเดิมเจ้าสาวนั้นไม่เพียงพอ เหยาเหยียนอี้จึงขอยืมกำลังคนกับหันซังเกอมาสองร้อยคน ยังสั่งตัดรองเท้าพื้นสีสีนิลข้อสั้นที่มีตัวอักษรสีแดงปักไว้ ทั้งยังใช้ผ้าสีแดงมวยผม ผ้าเช็ดหน้าสีแดง ที่คาดเอวสีแดง กางเกงขายาวสีดำที่ชายกางเกางห่อหุ้มด้วยผ้าสีแดง ชายกางเกงถูกยัดเข้าไปในรองเท้าหุ้มสั้นสีดำ ทำให้บ่าวพวกนี้ดูสะอาดสะอ้านมีระเบียบเรียบร้อย ทั้งยังสวมใส่แต่เสื้อที่เป็นสิริมงคล