หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 304 คณะละครขวางทาง เหิงอ๋องออกหน้าออกตา (1)

ตอนที่ 304 คณะละครขวางทาง เหิงอ๋องออกหน้าออกตา (1)

ตั่งไม้ โต๊ะเก้าอี้ และของใช้ขนาดใหญ่ก็ขนขึ้นรถม้าแล้วส่งไปแล้ว สัตว์ที่ใช้ลากรถม้าล้วนเป็นม้าสีแดงพุทราทั้งหมด บนหัวของม้าผูกด้วยผ้าสีแดงที่มัดเป็นดอก การแต่งกายของสารถีเหมือนพวกที่ยกสินเดิมเจ้าสาว ทั้งตัวสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าใหม่ทั้งหมด

เหตุเพราะตรวจของที่จะส่งไปตั้งแต่เนิ่นๆ ยามเหม่าเป็นเวลามงคล แต่คนเหล่านี้มาประจำตำแหน่งของตนเองตั้งแต่ยังไม่ถึงยามอิ๋น หลังจากถึงเวลายามเหม่า ประตูใหญ่ของจวนเหยามีเสียงสารถีที่อยู่หน้าสุดร้องตะโกน หลังจากนั้นเสียงประทัดก็ดังขึ้น ถึงเริ่มเดินทาง ขบวนรถม้าค่อยๆ เคลื่อนตามกันไป

ตั่งไม้ ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ และของใช้ขนาดใหญ่อื่นๆ ทั้งหมดหกชุดแบ่งเป็นรถม้าสามสิบสองคัน ขบวนเหล่านี้ค่อยๆ เคลื่อนออกจากตรอกซอยนี้ ขบวนหน้าไปถึงหน้าปากซอยแล้วกำลังเปลี่ยนทิศ ด้านหลังเพิ่งจะได้ขยับ

ด้านหลังรถม้าบรรจุสินเดิมเจ้าสาวขนาดเล็กเฉกเช่นเครื่องประดับโบราณหลากสี เสื้อผ้าทั้งสี่ฤดู ผ้าต่วน เสื้อคลุมหนังสัตว์ อุปกรณ์เครื่องใช้ทองคำ เงิน ทองแดง โลหะ ตั้งแต่โต๊ะเครื่องแป้ง หีบใส่เครื่องประดับ กะละมังล้างหน้า สุขา และอื่นๆ ของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่บรรจุมาอย่างครบครันเป็นจำนวนทั้งหมดเก้าสิบเก้าหีบ

ผู้ที่นำขบวนส่งสินเดิมเจ้าสาวมีอยู่สองคนที่น่าไว้วางใจ นั่นก็คือแม่นมของเหยาเยี่ยนอวี่ เฝิงหมัวมัว และแม่นมของเหยาเฟิ่งเกอ หลี่หมัวมัว ด้านหน้าแน่นอนว่าต้องมีเฝิงโหย่วฉุน เหยาซื่อสี่พาหลี่จงและบ่าวชายอายุหนุ่มสิบกว่าคนขี่ม้าคุ้มกันขบวนส่งสินเดิมนี้ เฝิงหมัวมัวและหลี่หมัวมัวต่างก็นั่งรถม้าติดตามไป อีกทั้งยังมีบ่าวหญิงสิบคู่เดินตามอยู่ด้านหลัง

คนเหล่านี้ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยในการจัดวางสินเดิมเจ้าสาวของคุณหนูพวกเขาในเรือนหอ สินเดิมใดต้องวางตรงจุดใด ตำแหน่งของสิ่งของทุกชิ้นถูกกำหนดไว้แล้ว จะวางเรื่อยเปื่อยและทำผิดกฎระเบียบมิไม่ได้เด็ดขาด

สิ้นเดือนแปดเป็นเวลาทองของฤดูใบไม้ร่วง อากาศสดชื่น ท้องนภาปลอดโปร่ง แสงแดดรุ่งเช้าปกคลุมทั้งเมืองหลวงด้วยแสงสีทองจางๆ ผู้คนในเมืองหลวงอวิ๋นเริ่มสัญจรไปมาตั้งแต่เช้าตรู่ ร้านค้าบางร้านเปิดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ส่วนพ่อค้าแม่ค้าที่เร่ขายของเริ่มตะโกนขายของไปทั่ว

ขบวนรถม้ามุ่งไปด้านหน้า เสียงม้ากีบและกระดิ่งเงินดังขึ้นไม่หยุด

รถม้าที่ส่งสินเดิมเจ้าสาวของตระกูลเหยาปรากฏ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายและผู้คนที่สัญจรไปมาต่างหยุดธุระที่ทำอยู่

ผู้คนต่างหยุดเดิน ผู้ที่รีบไปทำงานต่างก็ไม่รีบ ผู้ที่ขายอาหารเช้าหยุดขาย ผู้ที่กำลังตักเต้าหู้หยุดตัก ผู้ที่กำลังทอดปลาท่องโก๋ก็หยุดทอด ผู้ที่กำลังนึ่งซาลาเปาก็หยุดนิ่งไป อาหารเช้าที่กำลังจะเข้าปากก็หยุดกิน คนที่เร่ขายไข่เป็ดไข่ไก่ก็หยุดตะโกน…

ทุกคนต่างก็ยืนเบียดตรงริมถน นต่างก็เริ่มนับสินเดิมเจ้าสาวแทนคุณหนูเหยา

“ดูเตียงนี้เร็วเข้า…นี่ก็คือไม้ประดู่ที่คนอื่นพูดถึงใช่ไหม ดูลายสลักนั่นสิ ช่างเป็นงานที่ประณีตและละเอียดอ่อนนัก!”

“เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ เตียงหลังนี้คือท่อนไม้ที่คุณหนูคนนี้เลือกตั้งแต่ตอนอายุสองสามขวบแล้วสั่งให้ช่างไม้ทำ หากไม่ใช้เวลาราวๆ สิบปีคงไม่มีทางทำเตียงเช่นนี้ออกมาได้หรอก! นี่ก็คือความเป็นหน้าเป็นตาของเหล่าสตรีตระกูลมั่งมีออกเรือน! ไอ้บ้านนอกไม่เคยเห็นหรือ”

“เอ๊ะ? นี่คืออะไร นี่คือตู้เสื้อผ้าหรือ เหตุใดถึงได้ใหญ่มากเช่นนี้”

“ดูฉากกั้นนี้สิ! นี่เป็นภาพดอกเหมย กล้วยไม้ ไผ่ และเบญจมาศที่แกะสลักโดยหยก! ฉากกั้นนี้มีมูลค่ากี่พันตำลึงเชียว”

“ดูอันนี้สิ! ผ้าแพรสีแดงนี่มันสินเดิมอะไรกันเนี่ย”

“ไม่รู้”

“ดูเหมือนจะเป็นฉากกั้น เหตุใดถึงแคบเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีสี่พับสิ เหตุใดถึงมีเพียงสองพับ”

“ของใช้ในเรือนของตระกูลมั่งมีเยอะเช่นนี้แหละ พวกเราที่เป็นชาวบ้านยากไร้จะรู้อะไรเล่า”

“จุ๊! เจ้าว่าหากมีลมพัดจนผ้าแพรสีแดงพลิ้วไหวขึ้น พวกเราคงจะได้เห็นเป็นบุญตาแล้วสินะ!”

“เลิกฝันเถอะ!”

คนขับรถม้าได้ยินคำพูดนี้จึงอดยิ้มไม่ได้ คนพวกนี้กำลังพูดถึงกระจกเต็มตัวของคุณหนูเหยาน่ะสิ! มันสูงเท่าคนจริงๆ ขอบกระจกห่อหุ้มด้วยไม้ประดู่สลักลาย พอเดินไปตรงหน้ากระจก ด้านในกระจกเหมือนมีคนจริงเดินมา! ฮ่าๆ พวกเจ้าที่เป็นไอ้บ้านนอกคงไม่เคยเห็นหรอกกระมัง

รถม้าที่นำขบวนคือเฝิงโหย่วฉุน เหยาซื่อสี่ และคนอื่นๆ คนเหล่านี้มีเสี่ยวซือติดตามอยู่ด้านหลังสิบหกคน เสี่ยวซือทุกคนแบกถุงผ้าอยู่ด้านหลัง ในถุงผ้าเป็นเหรียญใหม่สีเหลืองอำพัน ทุกๆ ครั้งที่เดินไปถึงปากซอยและตอนเดินเปลี่ยนทิศก็จะมีเสี่ยวซือหนึ่งคู่โยนเงินออกมาหนึ่งกำมือ

เหรียญสีเหลืองอำพันหล่นลงบนพื้นหินกลางถนนจนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง ทำให้ชาวบ้านยากไร้รีบไปเก็บโดยไว

ขบวนรถม้าวิ่งผ่านถนนซอกซอยที่ครึกครื้นและเข้าสู่ถนนผิงอันอันกว้างขวาง ถนนเส้นนี้มีร้านค้าริมทางน้อยลง ทว่ากลับมีชาวบ้านที่สัญจรไปมามากขึ้น

เฝิงโหย่วฉุนคุยกับเหยาซื่อสี่ด้วยรอยยิ้ม “คิดว่าคนเหล่านี้คงได้ข่าวว่าคุณหนูของพวกเราจะส่งสินเดิมเจ้าสาวในวันนี้จึงแห่กันมารอชมขบวนรถม้า”

เหยาซื่อสี่พูดขึ้นยิ้มๆ “นี่ยังต้องพูดด้วยหรือ สินเดิมเจ้าสาวของคุณหนูรอง ข้ากล้าพูดว่าไม่ได้แย่ไปกว่าบุตรีตระกูลกงโหวแน่นอน”

“นี่ยังต้องพูดด้วยหรือ” เฝิงโหย่วฉุนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ มีองค์หญิงใหญ่และจวนกั๋วกงเพิ่มสินเดิมเจ้าสาวให้คุณหนูของพวกเขา วันนี้คุณหนูก็กลายเป็นขุนนางขั้นห้า แม้กระทั่งเหนียงเหนียงในวังหลวงยังพระราชทานสินเดิมมา ความมีหน้ามีตาเช่นนี้แม้กระทั่งบุตรีตระกูลกงโหวยังไม่มีด้วยซ้ำ

เหยาซื่อสี่สั่งเสี่ยวซือด้านข้างด้วยรอยยิ้ม “นี่ โยนเงินเยอะๆ จะได้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงได้รับโชคลาภจากคุณหนูของพวกเรา”

“ขอรับ!” เสี่ยวซือที่อยู่ด้านข้างได้ยินจึงรีบควักเหรียญออกมาเป็นกำมือใหญ่ๆ ขณะที่เดินก็โยนเหรียญลงทั้งสองข้างทาง ทำให้คนมาแย่งกันเก็บมากขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศเคล้าด้วยความครึกครื้นและเป็นสิริมงคล

หลังจากเดินไปสักระยะหนึ่งกลับเห็นด้านหน้ามีกลุ่มคนหนึ่งขวางทางไว้ ไม่รู้ว่ากำลังมุงดูอะไรกันอยู่ เฝิงโหย่วฉุนจึงพูดขึ้น “ใครก็ได้ไปดูสิ ด้านหน้าเกิดอะไรขึ้น”

หลี่จงกลัวว่าคนรอบข้างไม่พูดไม่จาอาจทำให้เรื่องสำคัญนั้นล่าช้า ด้วยเหตุนี้จึงรีบขานรับ “ข้าไปเอง”

เฝิงโหย่วฉุนกำชับด้วยความไม่ไว้วางใจ “เร็วเข้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรคุยกับพวกเขาดีๆ ให้พวกเขาหลีกทางก่อน สินเดิมของคุณหนูห้ามล่าช้าเด็ดขาด”

“ขอรับ!” หลี่จงตอบกลับพลางลงจากหลังม้าแล้วเดินไปด้านหน้าด้วยความเร่งรีบ พร้อมทั้งเบียดเข้าไปท่ามกลางผู้คนแออัด

หลี่จงเบียดเข้าไปด้านในก็รู้สึกเคร่งเครียดกับสถานการณ์ตรงนี้ ที่แท้ก็คือคณะละครกำลังแสดงละคร หากแค่แสดงละครก็คงไม่มีอะไรร้ายแรง ทว่ากลับเป็นละครเพลง ‘เสวี่ยเหมยไว้อาลัย’ !

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงละครเรื่องนี้ว่ามีความโดดเด่นอะไร หลี่จงก็ไม่เคยได้ชมมาก่อน แค่มองจากการแต่งกายไว้อาลัยนี้ สีหน้าของหลี่จงก็หม่นหมองนัก เช้าตรู่เช่นนี้ใครจะว่างเว้นจนมีเวลาทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันตั้งใจพังงานผู้อื่นชัดๆ

“เหอะๆ!” หลี่จงยกมือตบชายหนุ่มที่กำลังตีกลองอยู่ “หยุดตีได้แล้วๆ!”

ชายหนุ่มตีกลองคนนั้นจึงมองหลี่จงเพียงพริบตาแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “คุณชายท่านนี้มีเรื่องอะไรหรือไม่”

ไม่ว่าคนพวกนี้กำลังทำอะไร หลี่จงต้องการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง จึงเอาเงินตำลึงจากถุงบุหงาวางลงบนกลองเล็กนั้นพร้อมทั้งพึมพำ “หยุดร้องเถอะ รีบเข้า นำเงินพวกนี้ไปเล่นถนนเส้นอื่น นี่มันสถานที่อะไรกันเจ้าถึงกล้ามาเล่นละครเพลงเช่นนี้ ระวังคนในจวนซุ่นเทียนจะมาจับกุมตัวพวกเจ้าเอา! รีบหลีกทางเร็วเข้า!”

เสียงกลองหยุดลง ผู้ที่เป่าปี่ก็หยุดลง และเครื่องดนตรีอื่นๆ ล้วนหยุดลง ส่วนผู้ขับร้องก็ต้องหยุดตาม ทั้งคณะละครและชาวบ้านนที่กำลังมุงดูอย่างครึกครื้นต่างก็จับจ้องไปยังเงินตำลึงในมือของหลี่จง

“อะไรนะ น้อยเกินไปหรือ” หลี่จงมองบุรุษที่ตีกรับเสภา คนคนนี้แค่มองก็รู้ว่าเป็นหัวหน้าคณะละคร เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่เหมือนคนอื่น ดังนั้นหลี่จงก็ไม่ได้ไปเอ่ยถามคนอื่น “ถ้ารู้สึกว่ามันน้อยก็บอกจำนวนมา ข้าจะให้ตามที่เจ้าต้องการ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset