ตอนที่ 312 กรรมตามสนองผู้ร้าย ปราบปรามเขตตอนเหนือ (4)
เหลืออีกแค่สามวัน! เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างประหม่า เหลืออีกแค่สามวันก็จะได้ออกเรือนกลายเป็นภรรยาคนอื่น!
บุรุษคนนั้นคู่ควรที่จะให้ตนเองฝากชีวิตไว้ได้หรือไม่
คำพูดที่เคยกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไหม ในภายภาคหน้าเขาจะเห็นว่าตนเองไม่ใช่คนที่เขารักใคร่ที่สุดไหม
หรือว่าบุรุษยุคโบราณคนใดบ้างที่ไม่เจ้าชู้
พี่น้องก็เหมือนมือเหมือนเท้า บุตรีเหมือนเสื้อผ้า!
เหยาเยี่ยนอวี่ถูกชุ่ยเวยดึงตัวไปด้านหน้า สมองของนางมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว
พอเข้าไปในเรือนข้างตะวันออก หนิงฮูหยินน้อยและเฝิงหมัวมัวต่างก็อยู่นั่น ชุดเจ้าสาวสีแดงประวาลวรรณมีสาวใช้เจ็ดแปดคนช่วยกันถือแล้วนำมาใส่บนเรือนร่างของคุณหนูเหยาทีละชั้น
กระจกเต็มตัวสามบานอยู่ตรงหน้า ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงจัดชุดให้เป็นระเบียบไปด้วยพร้อมทั้งพูดขึ้นยิ้มๆ “ดูสิ คุณหนูของพวกบ่าวช่างงดงามนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่มองตนเองในกระจกแล้วรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย สตรีที่สวมใส่ชุดแต่งงานสีแดงสดนี้คือตนเองจริงหรือ
“ฮูหยินรอง ดูเร็วเข้า” เฝิงหมัวมัวเดินหน้าเข้ามาพร้อมทั้งยกมือกางแขนของคุณหนูออก จากนั้นก็ทาบสายพาดไหล่พร้อมทั้งจัดชายแขนเสื้อกว้าง พอเห็นแขนเสื้อปักลายดอกบัวประณีตที่มีด้ายรุ่ยมาเล็กน้อยจึงสั่งให้ชุ่ยเวยไปเอากรรไกรมาตัดด้ายทิ้ง
หนิงฮูหยินน้อยจัดคอเสื้อให้เหยาเยี่ยนอวี่แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ “งดงามจริงๆ พูดถึงเรื่องชุด ผู้ที่เย็บปักถักร้อยในเมืองหลวงก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเจียงหนานของพวกเรา ดูลายตรงนี้สิ ทั้งละเอียดอ่อนและสม่ำเสมอ งานฝีมือดีพอๆ กับผู้เชี่ยวชาญด้านการเย็บปักเลย”
เฝิงหมัวมัวยิ้มพูด “ฮูหยินรองกล่าวถูกเจ้าค่ะ สตรีเย็บปักยี่สิบคนที่บ่าวหามาล้วนเป็นผู้ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในเมืองหลวงนี้”
หนิงฮูหยินน้อยจึงเอ่ยชมอีกครั้ง เฝิงหมัวมัวทำท่าทางเหมือนหากระดูกในไข่ นางตรวจดูอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ บอกว่ายังต้องแก้อีกหนึ่งรอบ เหยาเยี่ยนอวี่จึงเปรยขึ้น “หมัวมัวต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ ชุดกระโปรงนี้มีตั้งกี่ชั้น ผู้ที่ตัดเย็บชุดเช่นนี้ต้องเสียแรงที่สุดแล้ว”
เฝิงหมัวมัวจึงรีบแสดงความไม่เห็นด้วย “คุณหนูพูดเช่นนี้ราวกับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้ทำขึ้นอย่างผิวเผินได้กระนั้นแหละ”
หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นยิ้มๆ “ไม่ได้ให้เจ้าเป็นคนเย็บปักเสียหน่อย เจ้ายังรู้สึกรำคาญอีก?”
เหยาเยี่ยนอวี่เปรย “แค่ให้ลองใส่ก็เหนื่อยตายแล้ว! ถ้าให้ข้าตัดเย็บเองสู้สังหารข้าให้สิ้นซากจะดียิ่งกว่า!”
“แหมๆ!” เฝิงหมัวมัวรีบเกลี้ยกล่อม “ในวันมงคลเช่นนี้ คุณหนูอย่าพูดเช่นนี้สิ! คำพูดอัปมงคลพวกนี้ห้ามพูดออกมาเด็ดขาด”
เหยาเยี่ยนอวี่เบะปาก “รู้แล้ว!”
เสื้อผ้าแต่ละตัวสวมใส่บนเรือนร่าง ส่วนจุดที่ไม่เหมาะสมก็ต้องจดเอาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดทีละชั้น พวกนางใช้เวลาในการลองชุดไปครึ่งค่อนวัน
เหยาเยี่ยนอวี่มองฝนที่ด้านนอกหยุดตกแล้วจึงคลี่ยิ้มออกมาทันที “ฝนหยุดตกเสียที! พี่สะใภ้ ข้าออกไปเดินเล่นเสียหน่อย เอาแต่อุดอู้อยู่ในแต่จวนจนมีขนขึ้นตามตัวแล้ว”
หนิงฮูหยินน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังมีเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้น เจ้าผ่อนคลายให้มากเถอะ พอเข้าไปในจวนของแม่ทัพเจ้าต้องทำตัวให้เหมือนฮูหยินแล้ว ห้ามทำตัวเหมือนเด็กอีก”
“พี่สะใภ้กล่าวถูก ดังนั้นสองวันนี้ข้าต้องใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเสียหน่อย” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไปก็วิ่งออกไปด้านนอกด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นลอยๆ “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าน้องรองไม่ชอบมากความเหมือนก่อนหน้านี้ เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในเรือนทั้งวัน นอกจากไปน้อมอรุณสวัสดิ์ท่านย่าและท่านแม่แล้ว นางก็ไม่ยอมออกไปไหนเลย วันนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน”
เฝิงหมัวมัวพูดขึ้นยิ้มๆ “บ่าวมองออก แท้จริงแล้วคุณหนูรองของพวกบ่าวตื่นเต้นอยู่เจ้าค่ะ! ฮูหยินรองไม่เห็นหรือ สองสามวันมานี้นางมักจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บางครั้งยังส่ายหัวถอนหายใจ ถามนางแล้วกลับไม่พูดอะไร บ่าวคิดว่านางกำลังกลัวที่จะต้องออกเรือนเจ้าค่ะ”
“กลัวก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” หนิงฮูหยินน้อยถอนหายใจ “สตรีตอนอยู่ในจวนของตนเองอย่างไรก็ทำตามใจต้องการได้ ทว่าพอออกเรือนไปก็ต้องแบกรับหน้าที่รับผิดชอบทั้งเรื่องในและนอกจวน อีกอย่างพอออกเรือนไปแล้วชีวิตที่เหลือก็ต้องผูกมัดกับบุรุษอีกคน ใครก็ไม่ใช่เทพเซียน ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไรกัน”
“ฮูหยินรองกล่าวถูกเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวก็ถอนหายใจ “บ่าวรับใช้คุณหนูมาหลายปี พอนึกย้อนกลับไปก็รู้สึกเป็นห่วงคุณหนูของพวกบ่าวจริงๆ”
หนิงฮูหยินน้อยจึงหัวเราะ “จริงๆ ก็ไม่จำเป็น ข้าว่าแม่ทัพเว่ยเป็นคนนิสัยไม่เลว ต้องจริงใจและทำดีต่อน้องรองแน่นอน ส่วนพวกเราก็คงไม่ต้องเป็นห่วงนางเกินไป”
ทั้งสองพูดคุยกันไปจินหวนก็เข้ามาจากด้านในแล้วรายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ นายท่านรองสั่งให้คนมารับคุณหนูรองออกไปสักพักเจ้าค่ะ”
หนิงฮูหยินพลันพูด “เมื่อครู่คุณหนูรองยังบอกว่ารู้สึกเบื่อที่อยู่แต่ในจวน เจ้าไปดูสิว่านางกำลังจะออกไปข้างนอกหรือไม่”
จินหวนขานรับแล้วหันหลังไปหาเหยาเยี่ยนอวี่
กลับกล่าวถึงโรงงานผลิตสมุนไพรนอกเมือง หญ้าห้ามเลือดที่ส่งมาจากเจียงหนานกลายเป็นหนึ่งในส่วนผสมของผงยาไปแล้ว อีกจำนวนหนึ่งจะถึงในวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืน เดิมทีเหยาเหยียนอี้ตั้งใจหาเวลาว่างมาดูสถานที่แล้วหาคนมาทำความสะอาดพร้อมทั้งเตรียมของที่ใช้บังลมบังฝน กลับนึกไม่ถึงว่าตอนลงจากรถม้าเว่ยจางก็ตามมาจากด้านหลัง
เหยาเหยียนอี้มองสีหน้าของเว่ยจาง จู่ๆ ก็รู้สึกตกใจ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
“พี่รอง” เว่ยจางยกมือคารวะแล้วค้อมตัวลงให้เหยาเหยียนอี้ สีหน้าดูจริงจัง ทว่าคำพูดที่กำลังจะเอ่ยกลับหยุดลง
เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้ว “ที่ผ่านมาเจ้าเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาตลอด มีอะไรเหตุใดถึงไม่พูดตรงๆ”
“วันนี้ฮ่องเต้ทรงเรียกตัวข้าไปพบ บอกว่าเมืองเฟิ่งตรงเขตชายแดนเหนือและกันโจวถูกชาวหูปล้นแล้วยังสังหารประชากรของพวกเราไม่น้อย ทหารที่รับผิดชอบเฝ้าเมืองเฟิ่งและกันโจวคือจิงเว่ยซื่อหลี่หรงรบตายคาสนามรบ บุตรชายคนโตของเขาหลี่อี้ถงหายตัวไป ส่วนบุตรชายคนเล็กหลี่อี้ลั่วที่มีอายุห้าขวบถูกชาวหูโยนลงจากกำแพงเมืองจนสิ้นใจไป…”
“จะไปออกรบหรือ!” เหยาเหยียนอี้รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที “เจ้าจะไปเขตชายแดน?”
“เป็นเช่นนั้น” เว่ยจางก้มศีรษะลง
สีหน้าเหยาเหยียนอี้แปรเปลี่ยนไปแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไปเมื่อใด”
เว่ยจางขมวดคิ้วเป็นปมแล้วกดเสียงต่ำลง “แม่ทัพนำทัพไปปราบปรามครั้งนี้ยังไม่ได้กำหนดเวลาแน่ชัด ทว่าไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำ ข้าก็ต้องตามไปด้วย”
เหยาเหยียนอี้อยากจะบอกว่าไม่ได้ ทว่าก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่จนปัญญาจริงๆ หน้าที่ของแม่ทัพก็คือปกครองบ้านเมือง ตอนนี้ประชากรในเขตตอนเหนือถูกโจรปล้นและสังหาร ทหารที่รักษาความปลอดภัยก็สิ้นใจกลางสนามรบ หากราชสำนักไม่ใช้ทหารไปออกรบอาจทำให้ประเทศชาติสูญสิ้น ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วสงบสติพลางพูด “สามวันข้างหน้าก็ต้องแต่งงานแล้ว…คงจะไม่ทำให้เรื่องนี้ต้องล่าช้าใช่ไหม”
“พี่รอง ข้าอยาก…เลื่อนงานสมรส”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” เหยาเหยียนอี้รู้สึกเดือดขึ้นมาทันทีแล้วมองเว่ยจางด้วยความโมโห “เจ้าพูดอีกคราสิ!”
“พี่รอง ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ข้าไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตกลับมาได้หรือไม่ หากข้ากลับมาได้ แน่นอนว่าต้องสู่ขอเยี่ยนอวี่อยู่แล้ว ชาตินี้ข้าจะปฏิบัติดีต่อนาง แต่หากข้า…”
“หุบปาก!” เหยาเหยียนอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ตรงที่เดิมจู่ๆ ก็หันไปมชี้หน้าเว่ยจาง “เจ้าเห็นตระกูลเหยาคือตัวอะไร! หา?! เจ้าบอกว่าสู่ขอก็สู่ขอ บอกว่าไม่สู่ขอก็ไม่ขอกระนั้นหรือ!”