ตอนที่ 325 อุปสรรคของการได้น้ำมันงู (3)
ขันทีถูกคำพูดฉีกหน้าพวกนี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออก จึงได้กลับไปรายงานจิ่นกุ้ยเหรินในวังหลวง
จางฮุ่ยเจียวจิ่นกุ้ยเหรินคือน้องสาวของฮุ่ยกุ้ยเฟย ทั้งสองคือบุตรีของจางเชียนไท่สื่อลิ่ง ฮุ่ยกุ้ยเฟยให้กำเนิดโดยภรรยาคนแรก มารดาของนางสิ้นไปตอนนางอายุแปดขวบ จิ่นกุ้ยเหรินให้กำเนิดโดยอนุภรรยา ทั้งสองมีบิดาผู้ให้กำเนิดเดียวกัน จิ่นกุ้ยเหรินอายุน้อยกว่าฮุ่ยกุ้ยเฟยสิบปี จิ่นกุ้ยเหรินเข้าวังตอนอายุสิบเจ็ด สามปีผ่านไป นางมีพระราชทายาทให้ฮ่องเต้ นั่นก็คือองค์ชายเจ็ดนามว่าอวิ๋นรุ่ย องค์ชายเจ็ดกลับมีอายุน้อยกว่าองค์ชายสามอวิ๋นหมินที่ให้กำเนิดโดยฮุ่ยกุ้ยเฟยสิบสามปี
กลับกล่าวถึงขันทีที่กลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุเพราะไม่ได้น้ำมันงูกลับมา จิ่นกุ้ยเหรินต้องตำหนิเขาเป็นเรื่องธรรมดา ขันทีคนนั้นจึงรายงานเรื่องของหอยาและสำนักแพทย์ให้นาง
จิ่นกุ้ยเหรินได้ยินว่าน้ำมันงูของหอยาถูกสำนักแพทย์ขนไปหมด จึงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “สำนักแพทย์ก็แค่เป็นสถานที่ที่มีไว้ประดับบารมีบุตรีตระกูลเหยาเท่านั้น นางยังคิดเอาขนไก่ไปทำลูกศรจริงๆ ซ้ำยังเบิกยาหายากจากหอยาไปหมดกระนั้นหรือ ช่างบังอาจยิ่งนัก!”
“ขันทีน้อยคุกเข่าบนพื้นและไม่พูดไม่จา หมอหลวงที่อยู่ด้านข้างลงยาบนแผลขององค์ชายเจ็ดเรียบร้อยไปตั้งนานแล้ว
จิ่นกุ้ยเฟยหันไปมองบุตรชายเพียงปราดเดียว จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงลูบศรีษะของบุตรชายแล้วพูดขึ้น “เจ้าอย่าสนใจอะไรเลย คนในวังหลวงล้วนยกย่องผู้มีอำนาจ ข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่าอยู่แล้ว วันนี้พวกเขาไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา พรุ่งนี้คงจะกล้าเหยียบศีรษะของเจ้าแล้วสินะ!” ขณะที่กล่าว จึงตวาดใส่ขันทีอีกครั้ง “เจ้าไปสำนักแพทย์ กล่าวตามคำพูดของข้า น้ำมันงูไม่ใช่ยาดีอะไร ให้เหยาจู่ปั๋วเห็นแก่พระพักตร์ของฮ่องเต้แบ่งให้ข้าหน่อยเถอะ! มือขององค์ชายเจ็ดจะรักษาหายหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับน้ำใจไมตรีของใต้เท้าเหยา!”
ขันทีคนนั้นไม่กล้าชักช้า จึงรีบวิ่งไปข้างนอกทันที เขาไม่ทันได้ระวังตัว ก็เกือบชนกับคนคนหนึ่ง
เคราะห์หามยามร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยจริงๆ ขันทีคนนี้ยังไม่ทันครุ่นคิดอะไรมากมาย ก็เงยหน้าเห็นเสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองอำพัน ทันใดนั้นก็ตกใจจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง เลยพลันคุกเข่าลงบนพื้น และร้องขอให้อภัยด้วยเสียงสั่นคลอน “บ่าวสมควรตายที่เกือบเดินชนฝ่าบาท ได้โปรดฝ่าบาททรงเมตตา!”
“ทำอะไรของเจ้า! ถึงได้รีบร้อนเช่นนี้!” สีพระพักตร์ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ เห็นอย่างชัดเจนว่าทรงไม่พอพระทัยยิ่งนัก
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” จิ่นกุ้ยเหรินเดินมาด้วยท่าทางสง่างาม จากนั้นคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ พร้อมนัยน์ตาแดงระเรื่อ ดวงหน้างดงามดั่งบุษบาและอ่อนโยนดั่งดวงจันทรา ตอนนี้กลับหมองเศร้ายิ่งนัก
“ข้าได้ยินว่ารุ่ยเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บกระนั้นหรือ อาการร้ายแรงไหม” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ไปพยุงจิ่นกุ้ยเหรินขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเสด็จไปด้านใน
“ยังดีเพคะ” จิ่นกุ้ยเหรินทูลด้วยเสียงสะอึกสะอื้น พร้อมทั้งโทษตัวเองไม่หยุด “หม่อมฉันผิดเองเพคะ หม่อมฉันประมาทเกินไป…”
“กระหม่อมขอถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นรุ่ยยกมือข้างหนึ่งที่ห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลสีขาวคารวะ แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังมือด้านซ้ายของบุตรีชายคนเล็กที่มีผ้าพันไว้ จึงอดขมวดพระขนงไม่ได้ “เหตุใดถึงได้ร้ายแรงเช่นนี้”
“ใครคอยปรนนิบัติเจ้าเจ็ด เหตุใดถึงไม่ระวังเช่นนี้!” ฮ่องเต้ทรงเอ็นดูบุตรชาย แน่นอนว่าต้องระบายอารมณ์เกรี้ยวโกรธนี้กับบ่าวไพร่
ทันใดนั้น คนทั้งหมดในตำหนักต่างคุกเข่าลง
“หมอหลวงล่ะ” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
หมอหลวงที่ทำแผลองค์ชายเจ็ดจึงรีบขึ้นหน้าแล้วคุกเข่าลง พร้อมทูลกลับ “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ กราบทูลฝ่าบาท แผลที่โดนลวกของเตี้ยนเซี่ยะเจ็ดไม่เล็ก ทว่ายังโชคดีที่แผลไม่ได้ร้ายแรงมากนัก กระหม่อมได้ทายาให้เตี้ยนเซี่ยะไปแล้ว ไม่ถึงสิบวัน แผลคงจะหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดพวกนี้จึงพยักหน้าอย่างพอพระทัย จากนั้นก็ผายพระหัตถ์ “ลุกขึ้นเถอะ”
คนทั้งหมดในตำหนักต่างขอบพระทัย จากนั้นต่างลุกขึ้นแล้วถอยออกไปด้านนอกทันที ด้านในตำหนักจึงเต็มไปด้วยความเงียบ
จิ่นกุ้ยเหรินพยุงฮ่องเต้ไปประทับบนตั่งไม้อุ่นแล้วซับน้ำตาตรงหางตา สื่อสีหน้าที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม พร้อมทูลด้วยเสียงสะอึกสะอื้นอีกครา “ทว่าฝ่าบาท หมอหลวงหลิวบอกว่า หากใช้น้ำมันงูรักษาบาดแผลนี้ จะทำให้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้นเพคะ”
“เช่นนั้นก็สั่งให้คนไปเอาน้ำมันงูมาสิ” ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจเรื่องเล็กๆ เช่นนี้
“หม่อมฉันสั่งให้คนไปเอาแล้ว ทว่าคนของหอยาบอกว่าน้ำมันงูพวกนั้นถูกเหยาจู่ปั๋วขนไปหมดแล้วเพคะ” จิ่นกุ้ยเฟยทูลไป จึงลอบมองสีหน้าของฮ่องเต้เพียงปราดเดียว แล้วพูดขึ้นต่อ “ก็ไม่รู้ว่าเหยาจู่ปั๋วอยากเอาไปทำอะไรเยอะแยะ บอกว่าน้ำมันงูไม่กี่ไหของหอยายังไม่พอให้นางได้ใช้สอยเลยเพคะ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยเสียงเรียบ “ไม่พอก็เอาเพิ่มอีกสิ ของชนิดนี้ต้าอวิ๋นของเจิ้นขาดแคลนหรือไร”
“แต่ว่า แผลของเจ้าเจ็ด…” จิ่นกุ้ยเหรินเบะปากเล็กๆ ของนาง พร้อมแสดงสีหน้าที่ดูไม่ได้ความเป็นธรรมอย่างมาก
“แผลของเจ้าเจ็ดจะใช้น้ำมันงูมากเพียงใดกันเชียว” ฮ่องเต้หันไปสั่งการ “ไหวเอิน? สั่งให้คนไปส่งสารให้สำนักแพทย์ บอกว่าเจิ้นสั่งให้เหยาจู่ปั๋วเอาน้ำมันงูมารักษาแผลขององค์ชายเจ็ด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไหวเอินรับคำแล้วถอยไปด้านนอก จากนั้นก็รีบไปจัดการเรื่องน้ำมันงูที่สำนักแพทย์
ไหวเอินเป็นขันทีอาวุโสที่ติดตามฮ่องเต้มาหลายสิบปี จึงเป็นคนที่มีไหวพริบมาก พอออกมาก็สั่งให้บุตรบุญธรรมหวังเป่าเต๋อร์ด้วยเสียงแผ่วเบาไปสองสามคำ หวังเป่าเต๋อร์รับคำและจากไปทันที
ในสำนักแพทย์ เหยาเยี่ยนอวี่กำลังมองพวกบ่าวไพร่ขนยาสมุนไพรเข้าไปในเรือนของตนเอง แล้วยังสั่งให้เหล่าหมอหญิงที่กำลังร่ำเรียนตำราหยุดไปก่อน เหล่าสตรีพวกนั้นจึงเลิกแขนเสื้อขึ้นและเผาไฟ จากนั้นก็เริ่มคั่วและบดสมุนไพรที่ต้องการใช้สอยให้เป็นผง
ทางฝั่งนี้เพิ่งจะเริ่มยุ่งกับการปรุงยา หวังเป่าเต๋อร์ก็มาเยือนอย่างเร่งรีบแล้วน้อมคำนับให้เหยาเยี่ยนอวี่ “บ่าวขอน้อมคำนับให้ใต้เท้าเหยา”
ต่อให้เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้หลักความจริงของใต้หล้านี้ ทว่านางก็รู้ว่าไม่ควรไปผิดใจกับขันทีคนนี้ ดังนั้นจึงคลี่ยิ้ม “กงกงเชิญลุกขึ้นเถอะ ไม่ทราบว่ากงกงมาที่นี่มีธุระอะไรหรือ”
หวังเป่าเต๋อร์มองไปด้านข้าง เหยาเยี่ยนอวี่รับสิ่งที่เขาสื่อ จึงหันหลังเดินตามเขาไป หวังเป่าเต๋อร์จึงเล่าเรื่องที่องค์ชายได้รับบาดเจ็บและต้องการใช้น้ำมันงูสมานแผลให้เหยาเยี่ยนอวี่ฟังไปหนึ่งรอบ เขาคือบ่าวที่ติดตามไหวเอินอย่างใกล้ชิด จึงเป็นคนที่ช่างพูด และเล่าเรื่องทุกอย่างได้อย่างละเอียด
เหยาเยี่ยนอวี่สีหน้านิ่งเฉย ภายในใจกลับแอบแปลกใจ นึกไม่ถึงเลยว่าแค่น้ำมันงูไม่กี่ไหนี้จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะบังเอิญเจอกับฮ่องเต้ ยังไม่รู้ว่านางต้องเจอกับเคราะห์ร้ายอะไรมากมายหลังจากนี้
ดังนั้นนางรีบประสานมือคารวะให้หวังเป่าเต๋อร์ แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณกงกงที่คอยชี้แนะ กงกงช่วยกลับไปทูลฮ่องเต้แทนข้าที วันนี้อากาศเหน็บหนาวแล้ว อากาศทางชายแดนเหนือเหน็บหนาวยิ่งกว่า ข้าจึงคิดว่าเหล่าทหารพวกนั้นคงจะได้รับบาดเจ็บจากอากาศที่หนาวสะท้าน ต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็อาจเกิดแผลเปื่อยตามร่างกายจากอากาศที่เหน็บหนาว ดังนั้นข้าจึงอยากจะปรุงยารักษาให้เร็วที่สุด เลยรีบจัดการเรื่องนี้เร็วเกินไป ไม่ทันส่งสาส์นกราบทูลให้ฮ่องเต้ โชคดีที่ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาที่บัญชาให้กงกงมาเตือนสติข้าด้วยความหวังดี มิเช่นนั้นข้าอาจจะทำเรื่องประสงค์ดีให้กลายเป็นเรื่องร้ายได้ และอาจสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้”
หวังเป่าเต๋อร์ประสานมือพร้อมพูดยิ้มๆ “เหยาจู่ปั๋วประสงค์ดีต่อทุกคน ฮ่องเต้ต้องรับรู้ถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว เหยาจู่ปั๋ววางใจเถอะ คำพูดพวกนี้บ่าวต้องนำกลับไปกราบทูลฮ่องเต้แน่นอน เหยาจู่ปั๋วได้โปรดเอาน้ำมันงูมาให้บ่าวเถอะ เช่นนั้นบ่าวจะได้รายงานจิ่นกุ้ยเหรินว่าได้เสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้ว”