ตอนที่ 333 ขึ้นเหนือตามหาสามี (3)
ขณะเดียวกัน ในจวนเฉิงอ๋อง
หมัวมัวคนสนิทของอวิ๋นเหยาถือกระดาษแผ่นบางแล้ววิ่งมาที่เรือนของหวังเฟย พร้อมพูดด้วยเสียงสะอื้น “หวังเฟย! แย่แล้ว! แย่แล้วเจ้าค่ะ…”
เฉิงหวังเฟยที่กำลังฟังพ่อบ้านรายงานบัญชีในสิ้นปีนี้ พอได้ยินเสียงเช่นนี้จึงผุดลุกขึ้นทันที แล้วเอ่ยถามด้วยความโมโห “เรียกอะไรของเจ้า ไร้มารยาทสิ้นดี พวกเจ้ายิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้จักมารยาทเสียแล้ว!”
“หวังเฟย จวิ้นจู่…จวิ้นจู่ไปแล้วเพคะ!” หมัวมัวคนนั้นเดินเข้าประตูก็รีบถวายบังคมทันที
“ไป? ไปไหน” เฉิงหวังเฟยแค่รู้สึกกระวนกระวายในใจ ความรู้สึกของนางบอกไม่ผิดจริงๆ ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน
“ไป…ไปกันโจวแล้ว…” หมัวมัวจึงยื่นจดหมายไปด้วยมือสั่นเทา
เฉิงหวังเฟยดูจดหมาย ยังไม่ทันได้หายใจเข้านางก็หน้ามืด จากนั้นก็ขานเรียก ‘เหยาเอ๋อร์’ แล้วหมดสติไป
ขบวนรถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่และหันซังเย่ว์เดินทางออกจากประตูเมืองหลวงต้าอวิ๋น ตลอดทั้งทางเต็มไปด้วยหิมะ เวลาหนึ่งวันจึงเดินทางได้แปดเก้าลี้ ตามเส้นทางที่แสดงในแผนที่ พวกเขากำลังเข้าสู่หมู่บ้านบ้านดิน
หมู่บ้านนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ร้อยครัวเรือน ที่ดินของหมู่บ้านเป็นที่ดินส่วนบุคคลของขุนนางในเมืองหลวงคนหนึ่ง หันซังเกอเข้าไปแล้วแสดงฐานะของตนกับหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็ต้อนรับทุกคนด้วยความเกรงอกเกรงใจ จากนั้นก็จัดหาห้องว่างให้พวกเขาได้พักผ่อน
รถม้าที่บรรจุพวกยาสมุนไพรจอดอยู่ตรงหน้าประตูหมู่บ้าน ทหารยอดฝีมือสองพันนายของหันซังเย่ว์คอยเฝ้ารถม้าพวกนั้นไว้ แน่นอนว่าต้องไม่มีใครกล้าปล้นอยู่แล้ว
ถึงแม้บ้านดินสองสามหลังนี้จะต้านลมต้านหิมะ ทว่าตอนกลางคืนยังคงรู้สึกหนาวสะท้านเข้ากระดูก เหยาเยี่ยนอวี่คลุมเสื้อขนสัตว์นั่งผิงไฟอยู่ข้างๆ ส่วนชุ่ยเวยและชุ่ยผิงนอนเบียดกันหลับไปแล้ว น้าตู้ซานเฝ้าพวกนางจึงไม่กล้าหลับ ตอนกลางวันนางได้หลับบนรถม้าแล้ว ตอนกลางคืนกลับต้องเฝ้าเหยาเยี่ยนอวี่ ถึงแม้หมู่บ้านแห่งนี้ถือว่าปลอดภัย ทว่าก็ป้องกันตัวไว้จะดีกว่า
หันซังเย่ว์พาฉังเหมาและคนอื่นๆ ออกไปผิงไฟอยู่ด้านนอกเรือน ต่างคนต่างงีบหลับอยู่บนเก้าอี้บ้างและบนก้อนหินบ้าง พอฟ้ารุ่งสางก็กินอาหารแห้งรองท้องและรีบเดินทางต่อทันที
พวกเขานอนกลางดินกินกลางทรายมาติดต่อกันสามวัน ดังนั้นจึงถึงเมืองกู้ตอนช่วงบ่าย
ตลอดทางจากเมืองหลวงไปกันโจว ก็มีเพียงเมืองกู้นี่แหละที่สภาพเหมือนเมืองที่อยู่อาศัยหน่อย ส่วนหมู่บ้านเล็กๆ อื่นๆ ไม่ใช่หมู่บ้านกลางหุบเขาก็คือหมู่บ้านในถิ่นทุรกันดาร
เมืองกู้เป็นสถานที่สำคัญในการทำสงคราม ดังนั้นกำแพงของเมืองนี้จึงค่อนข้างหนา และมีทหารคอยรักษาการณ์อย่างเข้มงวด พอสังเกตมองอย่างละเอียด ตรงมุมกำแพงมีทหารยามคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา และยิ่งไปกว่านั้นคือนักธนูที่คอยซุกซ่อนอยู่ที่ลับ
หันซังเย่วว์ยืนอยู่นอกเมืองพลางยกยิ้ม บอกว่าคนพวกนี้สมกับเป็นทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของบิดาจริงๆ พวกเขาเฝ้าปกป้องเมืองแห่งนี้อย่างเข้มงวดเช่นนี้ แม้กระทั่งนกตัวหนึ่งก็ยังบินฝ่าไปไม่ได้
เหยาเยี่ยนอวี่เปรยขึ้น “พวกเราขนเสบียงมาไม่มาก ต้องมาเติมเสบียงที่นี่เสียหน่อยแล้ว พักค้างแรมหนึ่งคืนเถอะ รุ่งเช้าค่อยเดินทางต่อ”
“ก็คงต้องเติมเสบียงที่นี่แล้ว หากขึ้นเหนือไปอีกคงจะเจอแต่ป่าแต่เขา กลัวว่าต้องนอนกลางดินกินกลางทรายอีกแล้ว” หันซังเย่ว์พูดไปก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าคุณหนูเหยาจะทนกับความยากลำบากแบบนั้นได้หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ อย่างไม่สนใจอะไร “ใต้หล้านี้ไม่มีความลำบากอะไรที่ทนไม่ได้หรอก อากาศก็แค่หนาวหน่อยๆ แล้วจะเทียบกับอุทกภัยเมื่อปีที่แล้วได้อย่างไร ข้าน่ะเห็นกับตาเลยว่าหมาป่าคาบศพของคนแล้ววิ่งไปทั่ว”
หันซังเย่ว์หลุดยิ้มแล้วพยักหน้าพูดขึ้น “ข้ากลับลืมไป คุณหนูเหยาเคยเจอกับมหันตภัยมาก่อน เช่นนั้นข้าก็รู้สึกวางใจแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “ท่านแม่ทัพวางใจเถอะ ข้าไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอพวกนั้น”
หันซังเย่ว์หันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ นางยังคงแต่งกายเป็นบุรุษและสวมใส่หมวกขนนากสีเทาเข้ม ตลอดทางเจอทั้งฝุ่นและหิมะ ทว่าดวงหน้าของนางยังคงงดงามดั่งหยก ถึงแม้สีหน้าจะดูซีดเผือด ทว่าความมีชีวิตชีวาไม่ลดน้อยลง นางยังคงเป็นสตรีที่ร่าเริงแจ่มใส
ดังนั้น คุณชายรองหันจึงลอบถอนหายใจเบาๆ เหตุใดเสี่ยนจวินถึงได้โชคดีเช่นนี้ ช่างโชคดีเหลือเกิน!
นอกจากทอดถอนหายใจ หันซังเย่ว์ยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย พอนึกถึงบุตรีของอันอี้โหวก็ถือว่าเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามและฉลาดหลักแหลมเหมือนกัน ทว่าต่อให้งดงามและเป็นกุลสตรีมากเพียงใด ทว่ากลับด้อยกว่าสตรีที่อยู่ด้านข้างตอนนี้หน่อยๆ นางก็แค่เป็นบุตรีอนุภรรยา ไม่เห็นจะมีอะไรที่ไม่ดีนี่?
ทว่าเขาก็คงทำได้เพียงทอดถอนหายใจ ตั้งแต่เด็กเขาก็รู้ตัวว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาเลือกได้ ดังนั้นเขาจึงยกแส้ม้าขึ้นแล้วชี้ไปยังประตูเมืองตรงหน้า พร้อมพูดกับเหยาเยี่ยนอวี่ “คุณหนูเหยา พวกเราลองแข่งกันหน่อยเถอะ ดูว่าใครจะถึงประตูเมืองก่อน ดีหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงยิ้มอย่างรื่นเริง “ดี”
ดังนั้น ทั้งสองฟาดแส้เร่งม้าพร้อมกัน ฝุ่นบนถนนลอยขึ้นมาทันที จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังประตูทิศใต้ของเมืองกู้
ทหารที่เฝ้าประตูเมืองกู้นามว่าหยางซือเยี่ยเป็นทหารที่เคยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเจิ้นกั๋วกง พอเห็นคุณชายรองหันจึงต้องเกรงใจเป็นเรื่องธรรมดา
หยางซือเยี่ยเชิญพวกเขาไปที่จวน เขาต้อนรับเป็นอย่างดี ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่เลยได้แช่ในน้ำร้อนอาบน้ำเพื่อพักผ่อนร่างกายเสียที หลังจากที่แช่น้ำร้อนเสร็จฟ้าก็มืดลงแล้ว ตอนที่ถึงเวลากินมื้อค่ำ หันซังเย่ว์ก็ได้ดื่มสุราพูดคุยกับหยางซือเยี่ย นั่นเป็นเรื่องที่บุรุษช่ำชอง เหตุเพราะเหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางอย่างเร่งรีบมาหลายวัน จึงกินเสร็จแล้วกลับไปพักผ่อน
ใครจะไปรู้ว่าตอนที่นางหลับจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
สาเหตุคงต้องเริ่มกล่าวจากน้าตู้ซานก่อน
น้าตู้ซานเป็นสตรีที่ละเอียดอ่อน ถึงแม้ในจวนจะมีทหารคอยรักษาความปลอดภัย ทว่านายหญิงของพวกนางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง ดังนั้นตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่แช่น้ำร้อนอาบน้ำ นางก็เดินสังเกตการณ์รอบๆ เรือนไปสองรอบ เพื่อตรวจดูสภาพแวดล้อมและบ่าวไพร่ที่คอยรับผิดชอบดูแลที่นี่
หลังจากที่กลับมาก็บังเอิญเห็นสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งจับหิมะไว้ในมือ นางดูเหมือนจะมีอายุสิบกว่าปี นิ้วมือที่เย็นจนแข็งและบวมแดงเหมือนแครอทนั้น น้าตู้ซานรู้ว่าตนไม่ใช่คนที่นี่ ทว่าก็รู้สึกร้อนใจอย่างน่าแปลก สาวใช้คนนี้ยังเป็นเด็ก น่าจะสูงเท่าตู้เจวียนเท่านั้น
ดังนั้นน้าตู้ซานเอายาทาแก้แผลอักเสบจากอากาศหนาวสะท้านให้ที่พกติดตัวตลอดให้นาง บอกว่านี่เป็นยาใช้ได้ผลมาก ทาไม่กี่ครั้งก็หายแล้ว
สาวใช้คนนี้เห็นจึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก จึงเปิดฝายาแล้วทาให้น้าตู้ซานดูเลยทันที จากนั้นก็พร่ำบ่น “บ่าวได้ยินมาว่าบ้างว่ามียาทาแผลเปื่อยจากอากาศที่เหน็บหนาวเกินไปนี้ หลังจากทาไปสองวันก็จะลดอาการบวมได้ และจะไม่ค่อยแสบคันเจ้าค่ะ”
น้าตู้ซานจึงนิ่งงันไปทันที ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “ยาทาเช่นนี้มีขายทั่วไปด้วยหรือ ไม่ใช่หรอกกระมัง”
“แล้วจะไม่ใช่ได้อย่างไรเจ้าคะ พ่อบ้านในจวนไปซื้อมาใช้เอง บอกว่าแค่ขวดเล็กๆ เท่านี้ก็ต้องเสียเงินหนึ่งถึงสองตำลึงแล้ว” สาวใช้ใช้นิ้วเทียบขนาดของยาที่เท่ากับขนาดไข่ไก่ แล้วเปรยขึ้น “มีค่ายิ่งกว่าทองเสียอีก”
“แพงเช่นนี้เชียวหรือ!” น้าตู้ซานเบิกตาโต แล้วเอ่ยถามด้วยความไม่น่าเชื่อ “คุ้มหรือไม่”
“น่าจะคุ้มเจ้าค่ะ” สาวใช้เช็ดมือตัวเองให้สะอาด แล้วใช้สองมือส่งยากลับไปอย่างมีมารยาท “ขอบคุณป้ามากๆ”
น้าตู้ซานยกมือผลักกลับไป แล้วพูดขึ้น “นี่เหลือไม่เยอะแล้ว ที่เหลือก็ให้เจ้าแล้วกัน เจ้าบอกข้ามาหน่อย ยาที่พ่อบ้านของพวกเจ้าใช้เหมือนเช่นนี้หรือ”
สาวใช้ส่ายหัวอย่างลำบากใจ “ข้าไม่เคยได้ใช้ของของเขา ดังนั้นจึงไม่แน่ใจเจ้าค่ะ”
“เจ้าเอาอันนี้ไปเทียบกับของเขาดูก็จะรู้แล้วมิใช่หรือ” ภายในใจของน้าตู้ซานมีความคิดเช่นนี้มานานแล้ว ช่วงก่อนนางได้ยินเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่พร่ำบ่นว่ายาที่ส่งมารอบที่แล้วได้รับความเสียหายอย่างมาก และบอกว่าน่าเสียดายมาตลอด ครั้งนี้ต้องทำบรรจุภัณฑ์ให้ดีที่สุด และห้ามให้ขวดยาที่อยู่ด้านในเสียหายอีกเด็ดขาด