ตอนที่ 354 ลงโทษเล็กน้อยตักเตือนครั้งใหญ่ ชินไชเสด็จมาถึง (4)
เซียวหลินมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ แม่ทัพเว่ยของเจ้าน่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ ดูสิ ทำเอาทุกคนตกใจหมด
เหยาเยี่ยนอวี่เม้มปากอย่างประหม่า นัยน์ตาเป็นประกายแสง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขากลัว ไม่แน่อาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้
เว่ยจางและอวิ๋นคุนเดินเข้ามาก้าวแรก ก็เห็นว่าที่ฮูหยินของเขาสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสกำลังพูดคุยเล่นกับเซียวหลินอย่างรื่นเริง สีหน้าของเขาบูดบึ้งไปทันที ต่อให้รู้ว่าบุรุษแซ่เซียวคนนี้มีสตรีที่หมายปองอยู่แล้ว แต่พอแม่ทัพเว่ยเห็นภาพเช่นนี้ของทั้งสองคน จึงรู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย ทว่าก็ไม่มีอะไรจะพูด การหึงหวงย่อมไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว
และหลังจากที่อวิ๋นคุนเห็นหน้าทุกคนอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าจึงบูดบึ้งทันที สีหน้าของเขายังดูบึ้งตึงกว่าแม่ทัพเว่ย ภายในใจกำลังคิดว่า ไอ้หมอนี่มันแย่งแม่นางที่ตนหมายปองไป แล้วจะทำสีหน้าที่ดีให้เขามองได้อย่างไร!
เซียวหลินและเหยาเยี่ยนอวี่ก็ลุกขึ้นมาแล้ว
ในฐานะที่เป็นขุนนางใหญ่ชินไช เซียวหลินจึงต้องรอให้อวิ๋นคุนและเว่ยจางเดินหน้ามาน้อมรับพระราชโองการของฮ่องเต้ก่อนอยู่แล้ว อวิ๋นคุนเดินขึ้นหน้ามาน้อมรับพระราชโองการด้วยความโมโหที่กลั้นไว้เต็มท้อง ส่วนเว่ยจางก็เหลือบมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงปราดเดียว แล้วเดินขึ้นหน้ามาตาม
เซียวหลินจึงพูดด้วยความเคร่งขรึม “รับพระราชโองการ”
อวิ๋นคุนกับเว่ยจางยืดตัวตรง
“รองแม่ทัพอวิ๋น” เซียวหลินกล่าวทักทายอวิ๋นคุนด้วยรอยยิ้ม แล้วมองเว่ยจางอีกครั้ง “แม่ทัพเว่ย พวกเจ้าลำบากแล้ว ฮ่องเต้ทรงตรัสว่าเขตชายแดนนี้มีอากาศหนาวเย็น จึงให้เปิ่นโหวนำผัก ข้าวสารชั้นดี และถ่านชั้นดีมาด้วย”
อวิ๋นคุนและเว่ยจางแค่ขอบพระทัยอีกครั้ง
หลังจากที่กล่าวจบ ทุกคนก็นั่งลง
หลี่อี้หรงรู้ตัวว่าตัวเองมีตำแหน่งที่ไม่ต้อยต่ำ ประเด็นคือเขาทนดูสีหน้าบูดบึ้งของรองแม่ทัพอวิ๋นและแม่ทัพเว่ยไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “ท่านโหว รองแม่ทัพ แม่ทัพ ใต้เท้าเหยาขอรับ ข้าน้อยขอตัวสักครู่ ขอไปดูว่าบ่าวไพร่เตรียมชาไปถึงแล้ว” ขณะที่พูดก็หันหลังจากไปทันที
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะ ‘พรวด’ ออกมาทันที แล้วมองเว่ยจางเพียงปราดเดียว และลุกขึ้นพลางพูด “แม่ครัวในจวนข้าหลวงหลี่ทำอาหารรสชาติแปลกพิลึกและกินยากมาก กลัวว่าท่านเซียวโหวจะไม่คุ้นเคย เรื่องอาหารก็ให้ข้าเป็นคนจัดการเถอะ”
เซียวหลินคงสีหน้าที่อ่อนโยนตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย พอได้ยินคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่จึงยิ้มจางๆ “เช่นนั้นก็ต้องลำบากน้องสาวแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมตัวให้อวิ๋นคุน แล้วมองเว่ยจางเพียงพริบตาหนึ่ง จากนั้นก็ถอยออกไปด้านนอก
ใบหน้าบูดบึ้งของเว่ยจาง สุดท้ายก็ดีขึ้นเยอะ “ท่านเซียวโหวเดินทางมาเร็วจริงๆ วันนี้แม่ทัพหันยังบอกเลยว่าขุนนางเจรจาสงบศึกจะมาถึงในสองวันข้างหน้า”
“ทำอะไรไม่ได้ พอนึกถึงอากาศที่เหน็บหนาวของเขตชายแดน ทุกคนและแม่ทัพทั้งสามคงจะทุกข์ทรมานน่าดู เปิ่นโหวจึงรู้สึกกังวลใจ ดังนั้นเลยรีบเดินทางมาถึงให้เร็วที่สุด” ถึงแม้เซียวหลินจะพูดด้วยถ้อยคำที่เป็นทางการ ทว่าภายในใจลอบเปรยขึ้น ได้ข่าวว่าเมืองเฟิ่งไม่ค่อยเจอข้าวสารชั้นดี แต่ละวันต้องกินแต่ผักดองและข้าวต้มที่ทำจากข้าวสารชั้นต่ำ พวกเขาทนไหวได้อย่างไร
ดังนั้นจึงนำเสบียงมาหลายคัน ไม่ว่าจะเป็นของหวานสูตรชาววัง ผักแช่ซีอิ๊ว ข้าวจิง ข้าวกล้องสีม่วง ข้าวเจียง และอื่นๆ มาสิบกว่ากระสอบ หันหมิงชั่นยังกำชับให้เขารีบเดินทาง ต้องส่งเสบียงเหล่านี้ไปถึงเมืองเฟิ่งให้ไวที่สุด เหมือนว่าหากมาสายอีกหน่อย ก็อาจทำให้สหายคนสนิทของนางต้องหิวตาย
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ ท่านเซียวโหวก็ลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าภายในใจของว่าที่ฮูหยินคนนี้ ว่าที่สามีและสหายคนสนิท ใครจะสำคัญกว่ากัน
อวิ๋นคุนต้องไม่ชอบขี้หน้าของเซียวหลินอยู่แล้ว พอได้ยินถ้อยคำที่เป็นทางการของเขาก็ยิ่งดูหมิ่นเขามากกว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่มองเขาแม้แต่ปราดเดียว แค่ลุกขึ้นแล้วพูดกับเว่ยจางโดยตรง “ข้ายังมีธุระในค่ายทหาร เจ้าอยู่เล่าสถานการณ์ของเป่ยหูในทุกวันนี้ให้ใต้เท้าชินไชเถอะ ข้าจะไปก่อน”
“ได้” เว่ยจางรู้ว่านี่เป็นเพราะเขามีเรื่องขุ่นเคืองใจ แน่นอนว่าต้องเข้าใจดีว่าหากให้อวิ๋นคุนอยู่ต่อก็คงเสวนาอะไรไม่สำเร็จแน่นอน ดังนั้นจึงลุกขึ้นพร้อมประสานมือ พลางตอบกลับทันที
หลังจากมองอวิ๋นคุนจากไป เซียวหลินก็ยิ้มอย่างไม่แยแส เขาแย่งสตรีที่คนอื่นหมายปองไป แน่นอนต้องไม่หวังว่าจะได้เป็นสหายที่ดีกับคนอื่นอยู่แล้ว แค่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายที่เป็นถึงท่านซื่อจื่อของจวนเฉิงอ๋องผู้สูงส่ง กลับไม่ใจกว้างได้ถึงปานนี้ (กล่าวถึงท่านเซียวโหว เรื่องนี้ต่อให้เป็นเจ้า คาดว่าคงไม่ใจกว้างเช่นเดียวกัน)
เว่ยจางมองเซียวหลินที่ยิ้มคล้ายสุนัขจิ้งจอกจึงอดยิ้มตามไม่ได้ “ท่านโหวทำสีหน้าเช่นนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า”
“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย!” เซียวหลินกะพริบตาอย่างใสซื่อ
“ช่างเถอะ เรื่องระหว่างพวกท่าน คนอื่นพูดไปก็คงไม่เข้าใจ กลับพูดถึงเรื่องของขุนนางผู้ใหญ่ที่ได้มาเจรจาสงบศึกเถอะ เหตุใดถึงได้กลายเป็นท่านโหวได้ล่ะ”
เซียวหลินยิ้มอย่างประหม่าแล้วพูดขึ้น “ในราชสำนักเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย เดิมทีขุนนางที่เป็นซั่งซูฝ่ายพิธีกรรรมถูกฮ่องเต้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูล ทั้งยังถูกส่งไปรอการไต่สวนในศาลต้าหลี่ เดิมทีเปิ่นโหวที่เป็นผู้ช่วยซื่อหลางฝ่ายพิธีกรรม จึงได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นซั่งซูฝ่ายพิธีกรรม อีกทั้งเปิ่นโหวมีเวลาว่างพอดี จึงถูกย้ายกลับจากเจียงหนานมาประจำการที่เมืองหลวง”
“ยึดทรัพย์ทั้งตระกูล? มีความผิดอะไรหรือ” ภายในใจของเว่ยจางรู้สึกแปลกพิลึก เหตุใดฮ่องเต้ถึงยึดทรัพย์ตระกูลซั่งซูฝ่ายพิธีกรรมในเวลานี้ล่ะ
เซียวหลินยิ้มจางๆ “โลภมากในการรับสินบนอย่างไรเล่า”
เป็นไปได้อย่างไร ต่อให้ซื่อหลางฝ่ายพิธีกรรมจะมีความกล้ามากมายอย่างไร ก็คงไม่มีทางโลภมาในการรับสินบนหรือเปล่า หรือว่า…การก่อร่างสร้างแผ่นดินของคนสามเผ่าที่นอกจากคนเกาหลีและเป่ยหูแล้ว อีกหนึ่งเผ่าก็ถูกฮ่องเต้ตามหาจนเจอแล้วหรือ แล้วเป็นใครกันแน่
พอเว่ยจางทำสีหน้าเคร่งขรึม เซียวหลินจึงพูดขึ้นเพิ่มเติม “ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังมีเค่อจวิ้นอ๋อง เปิ่นโหวได้ข่าวมาว่าเรื่องสินบนครั้งนี้ จวิ้นอ๋องก็มีส่วน ฮ่องเต้จึงลงโทษเขาโดยกักขังเขาในจวนเป็นเวลาครึ่งปี ห้ามให้เขาออกจากประตูใหญ่ของจวนเค่ออ๋องแม้แต่ก้าวเดียว”
เค่อจวิ้นอ๋องถูกกักขังไว้ในจวนกระนั้นหรือ! ซั่งซูฝ่ายพิธีกรรมจึงเป็นเพียงแพะรับบาป! จู่ๆ ใจของเว่ยจางก็เต้นแรง สีหน้ากลับดูสงบอย่างน่าแปลก
เซียวหลินก็ไม่ได้มากความอะไร จริงๆ แล้วเขาไม่ค่อยเชื่อในข้ออ้างที่เอามาบังหน้ามาผู้ถูกจับกุมว่ามีความผิดที่โลภมากในการรับสินบน อีกอย่างนี่ยังเกี่ยวข้องกับองค์ชายใหญ่ ทว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของราชวงศ์ เขารู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ยุ่งโดยพลการ ดังนั้นจึงคงความนิ่งสงบ
แท้จริงแล้ว เมืองหลวงอวิ๋นเกิดสถานการณ์นองเลือดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าตั้งนานแล้ว
เหตุเพราะฮ่องเต้ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนมากพอ อย่างน้อยเค่อจวิ้นอ๋องก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทว่าหากฮ่องเต้มีเบาะแสเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีทางปล่อยบุตรชายคนโตของตนไปง่ายๆ แน่
ต้นตระกูลฝั่งมารดาของเค่อจวิ้นอ๋องถูกทำลายไปนานแล้ว ตอนที่เขาอายุสามขวบ มารดาของเขาป่วยหนักจนสิ้นใจ! ตอนนั้นฮองเฮาก็เพิ่งจะเสียพระโอรสของตนไป และเพราะว่าเขาคือองค์ชายพระองค์แรกของฮ่องเต้จึงเลี้ยงดูเขาอยู่ข้างกาย และเห็นเขาเหมือนบุตรชายในสายเลือด
หลังจากที่เค่อจวิ้นอ๋องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความละโมบโลภมากจนทำความชั่วของเขาก็ปรากฏ ในตอนแรก ฮองเฮาก็เคยตักเตือนเขา ทว่าเขาแค่ไม่ยอมฟัง หลังจากนั้นฮองเฮาเฟิงก็ไม่ค่อยโปรดปรานเขา
ทว่าฮองเฮาไม่โปรดปรานเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าอัครเสนาบดีเฟิงจะไม่โปรดปรานเขา ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลร่ำรวยและมีอำนาจมาสามสมัย และก็เป็นขุนนางเก่าแก่ที่เค่อจวิ้นอ๋องจำต้องพึ่งพา ทว่าเฟิงจงเยี่ยก็เป็นผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ เขาลอบเป็นพรรคพวกเดียวกับเค่อจวิ้นอ๋อง ทว่ากลับไม่ออกหน้าออกตาแต่อย่างไร เวลาผ่านมาเนิ่นนาน เค่อจวิ้นอ๋องต้องไม่พอใจเขาเป็นเรื่องธรรมดา และรู้สึกว่าเฟิงจงเยี่ยไม่ได้จริงใจกับตนเองแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น อายุของเขาก็มากขึ้นทุกปี ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ถึงหกสิบพรรษา พลานามัยยังแข็งแรงดี ซ้ำยังมากความสามารถในการทรงม้า ยิงธนู และช่ำชองในการใช้อาวุธต่างๆ ส่วนเขาที่เป็นองค์ชายใหญ่ก็มีอายุสามสิบชันษาแล้ว หากให้รอต่อไป เหล่าองค์ชายที่เป็นน้องๆ ของเขาก็คงแสดงพรสวรรค์ของตนเองออกมาได้ เช่นนั้นแต่ละคนก็คงจะอยู่เหนือกว่าเขาแน่นอน
ดังนั้น เค่อจวิ้นอ๋องอดทนไม่ไหว เลยเริ่มคิดแผนการร้าย
อีกอย่าง เขากับลี่ผินที่เกิดในเผ่าเสี่ยนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ลี่ผินก็มีแค่บุตรีคนเดียว นั่นก็คือองค์หญิงหกอวิ๋นจู ลี่ผินคิดว่าตนเองยังสาว บุตรียังเด็ก ส่วนฮองเฮาก็ทรงไม่พอพระทัยในบุตรีที่ต่างเผ่าของนาง ขืนฮ่องเต้ทรงสวรรคตไป ตนเองกับบุตรีคงไม่มีที่พึ่งพิง ดังนั้นเลยลงเรือลำเดียวกันกับองค์ชายใหญ่ไปนานแล้ว