ตอนที่ 359 หายาริมทะเลสาบ ถูกจู่โจมกลางป่าเหมันต์ (4)
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรมาอ้าง ทว่ากลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
นางกำลังจะส่งเสียงออกมา ก็เห็นกองกำลังนกอินทรีเอากระสอบมัดติดตัวแล้วขยับมาใกล้ตัวเอง พวกเขาคุ้มกันตนเองทั้งหน้าหลังและซ้ายขวา ส่วนเว่ยจางที่ใช้มือขวาจับมือตนเองมาตลอดทาง ก็เปลี่ยนเป็นใช้มือซ้ายกุมนาง มือขวาของเขาก็ปล่อยว่างไว้ น้าตู้ซ้านก็ยืนอยู่อีกข้างของเหยาเยี่ยนอวี่
กองทัพนกอินทรีเคยใช้อาวุธผ่านศึกสงครามนองเลือด พวกเขาช่ำชองในการสังเกต ท่าทีก็เลือดเย็นอย่างมาก
กองกำลังทหารจับกลุ่มกันสามคนต่อหนึ่งกลุ่ม บ้างก็สองคนต่อหนึ่งกลุ่ม ทุกคนเดินอยู่ในผืนป่ากว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร รอบๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ ทว่าหลังจากเข้าสู่ขอบเขตนี้ จิง ชี่ และเสินของทุกคนก้าวเข้าสู่อีกขั้นอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ที่ลอบจู่โจมและผู้ที่ถูกจู่โจมแทบจะลงมือในเวลาเดียวกันนี้
กลุ่มคนเสื้อขาวกระโดดลงจากต้นไม้ เงาร่างขาวบริสุทธิ์ประดุจหิมะลงจากยอดต้นไม้พร้อมกับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมา แม้กระทั่งยังไม่ทันได้ลงสู่พื้น ทหารนกอินทรีก็เข้าไปจู่โจมแล้ว
อีกฝ่ายมากันไม่มาก ทว่ากลับมีทักษะการต่อสู้ที่ไม่เลว กล่าวได้ว่าเป็นการจู่โจมอย่างฉับพลัน อยากจะจู่โจมเพียงรวดเดียว ทว่ากลับเป็นเพราะฝ่ายของตนเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว การลอบจู่โจมแบบไม่รู้ตัวในครั้งนี้จึงถือว่าล้มเหลว ตอนนี้กำลังเผชิญกับต่อสู้อย่างหนักหน่วงอยู่
“วิชาการต่อสู้ของคนร่างเล็กเป็นศิลปะการต่อสู้แบบยอมจำนนของคนตงไอ่” เว่ยจางสังเกตมองไปสักพักแล้ววิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่มีความรู้ด้านศิลปะการต่อสู้ ทว่ากลับมีดวงตาประดุจตาเหยี่ยว นางมองออกว่าคนพวกนั้นเริ่มรู้สึกว่าศึกครั้งนี้จะพ่ายแพ้ จึงหันไปคุยกับเว่ยจาง “พวกเขาไม่ได้น่ากลัวอะไร สู้ให้คนของเราจู่โจมไปจะดีกว่า จะได้จับตัวพวกเขากลับไป”
เว่ยจางก็กำลังมีความคิดเช่นนี้ จึงหันไปส่งสายตาให้กับคนที่อยู่ด้านข้าง ทหารนกอินทรีพวกนั้นต่างอยากลองความสามารถของอีกฝ่ายตั้งนานแล้ว คำสั่งนี้จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมานาน หลังจากที่ได้รับคำสั่งจึงชักดาบพุ่งไปด้านหน้าทันที
ด้านหลังเหลือเพียงเว่ยจาง เหยาเยี่ยนอวี่ น้าตู้ซาน และหลูถ่งก่วงเพียงสี่คน ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร อย่างไรข้าศึกทั้งหมดล้วนอยู่ไกลหลายสิบจั่ง และต่างยังเอาตัวไม่รอด อีกทั้งแม่ทัพเว่ยก็ถือว่าก็เป็นยอดฝีมือที่หนึ่งจริงๆ…ทุกคนต่างก็คิดเช่นนี้ หากเกิดภัยพิบัติจริงๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ทหารนกอินทรีหลายนายพุ่งผ่านไปจากด้านหลัง พวกเขาแค่ไปล้อมรอบข้าศึกไว้ ทว่ายังไม่ได้เข้าไปในวง สองคนในเหล่าข้าศึกชุดขาวพุ่งทะยานเข้ามาทันที สองคนนี้ถอยออกจากวงด้วยความว่องไวประดุจวิญญาณ และรวดเร็วปานฟ้าแลบ จากนั้นก็พุ่งทะยานมาที่เว่ยจางโดยตรง เว่ยจางผลักเหยาเยี่ยนอวี่ออกแล้วชักดาบขึ้นทันที
“คุณหนูระวัง!” น้าตู้ซานรีบไปปกป้องเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้
หลูถ่งก่วงไม่รู้ว่าถูกใครบางคนพุ่งชนใส่ ทำให้เข้าล้มลงบนพื้นหิมะ ขยับไม่ได้สักพัก
“ระวัง!” เหยาเยี่ยนอวี่ตะโกนด้วยตกใจ
เว่ยจางพุ่งทะยานไปด้านหน้าพร้อมดาบคู่ใจแล้วเข้าจู่โจมข้าศึกสองคนพร้อมกัน คาดไม่ถึงว่านี่ยังเป็นวิชาที่บดบังสายตาผู้คนจนยากที่จะมองเห็นวิชาการต่อสู้ของเขาว่าเป็นเช่นไร หนึ่งในคนชุดขาวล้อมรอบเว่ยจางไว้ ส่วนอีกคนก็หมุนตัวหลบเลี่ยงเว่ยจางไป และมุ่งหน้าไปหาเหยาเยี่ยนอวี่
ผ้าขาวบดบังใบหน้าไว้ ในระยะอันใกล้เช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่เห็นนัยน์ตาสีนิลดั่งหมึกเลือดเย็นยิ่งนักคู่นั้น
ในระยะทางที่ใกล้เกินไป ทหารรักษาการณ์คนใดก็ไม่มีมาช่วยนางได้อยู่แล้ว
ตอนนี้ในหัวของเหยาเยี่ยนอวี่เข้าใจดี นางจึงรีบหันไปหลบอยู่ด้านหลัง ดาบอันวาววับของน้าตู้ซานจึงเข้าไปขัดขวางผู้ร้ายที่กำลังจู่โจมมา ดาบในมือของผู้ร้ายจึงเปลี่ยนทิศ ไปโดนชุดสีขาวงาช้างของเหยาเยี่ยนอวี่
เศษผ้าของเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกหนาที่ถูกใบมีดกรีดหล่นลงบนพื้นหิมะหนึ่งชิ้น เหยาเยี่ยนอวี่รีบวิ่งไปอยู่ด้านหลังของคนคนนั้น จังหวะที่นางทรงตัวให้นิ่งได้แล้ว ก็ปล่อยปิ่นในมือพุ่งทะยานใส่หลังของคนคนนั้นทันที
เสียงปิ่นฝ่าอากาศนี้ทำให้คนผู้นั้นไม่กล้าประมาท เขายืนทรงตัวแล้วโน้มตัวลงหลบการจู่โจมนี้ แต่เพิ่งจะสังเกตเห็นว่านี่เป็นเพียงปิ่นหนึ่งอันเท่านั้น และรอให้เขาหันไปอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นว่าเว่ยจางล้อมรอบตัวเองไว้แล้ว เขาจึงหันไปขอความช่วยเหลือสหายที่มาพร้อมกัน ทว่ากลับสังเกตเห็นว่าสหายของตนเองถูกทหารนกอินทรีล้อมไว้แล้ว
เสียงผิวปากแหลมหนวกหูดังขึ้น เพื่อส่งสัญญาณให้พรรคพวกของพวกเขาถอยทัพ ทันใดนั้นข้าศึกก็หายไปจากผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ทันที สุดท้ายคนเสื้อขาวก็เหลือบตามองเว่ยจางที่สวมใส่ชุดสีเลือดหมู และกำลังโอบกอดเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ เสื้อผ้าของนางค่อนข้างยุ่งและกำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม…
น้อยครั้งที่จะเจอสตรีที่มีสติและสง่างามเช่นนี้…สตรีผู้นี้ไม่เหมือนผู้อื่นอย่างที่คาดไว้จริงๆ
เพราะว่าท่าทีจะบุกโจมตีด้านทิศตะวันออกแต่กลับบุกโจมตีด้านทิศตะวันตกของฝ่ายตรงข้าม ทำให้พรรคพวกส่วนมากของพวกเขาต่างก็หลบหนีไปแล้ว มีเพียงสองคนที่ได้รับบาดเจ็บเอาดาบฟันตัวเองจนสิ้นใจไป ไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตคนเดียว…ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ผู้ร้ายเฉกเช่นนี้ ‘ไม่ประสบความสำเร็จ ก็มักจะสังหารตัวเองเสมอ’
“การแต่งกายของคนจงหยวน นอกจากมีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงแล้ว ไม่มีจุดเด่นอย่างอื่นอีก ดาบเล่มยาวที่ใช้ก็เป็นดาบทั่วไป และหลิ่วเยี่ยเปียวที่ใช้ก็เป็นของที่หาได้ทั่วไป และพบเห็นเป็นประจำ” ทหารนกอินทรีคนหนึ่งรายงานด้วยเสียงเย็นชา
เว่ยจางพยักหน้าเล็กน้อย คนพวกนี้ดักจู่โจมเส้นทางนี้ แสดงว่านี่ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว พวกเขาวางแผนได้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย อาวุธ ก็ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย ซึ่งเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
“ไปเถอะ” ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาตามหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ นัยน์ตาของเว่ยจางเย็นชาขึ้นมาทันที แล้วยื่นมือเอาเสื้อคลุมของตนไปห่อหุ้มเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ จากนั้นก็ดึงนางเดินไปด้านหน้าต่อ ทุกคนต่างก็ไม่กล้าชักช้า และต่างก็ติดตามไปด้วยความระมัดระวังตัว
ระยะทางต่อจากนี้ก็เงียบสงบอย่างมาก ตลอดทางข้ามแม่น้ำถูหมู่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
ทุกคนเรียกม้าของตนเองมา ต่างควบม้าของตน เพื่อความปลอดภัย เว่ยจางจึงได้ควบขี่ตัวเดียวกับเหยาเยี่ยนอวี่ เจ้าเหลยจึงพาทั้งสองคนออกจากที่นี่อย่างรวดเร็วราวกับกำลังบินเหมือนเช่นเคย แล้วพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่เว่ยจางรับผิดชอบ
หลังจากกลับมาถึงค่ายทหาร เว่ยจางไม่พูดไม่จาก็พาเหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปในค่ายของตนเอง จากนั้นก็สั่งให้ทหารคนสนิทที่อยู่ด้านนอก “ไปเอาน้ำขิงมา!”
น้าตู้ซานเดินตามมาแล้วเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย “คุณหนูไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่าทุกคนอกสั่นขวัญเสียจึงรีบปลอบโยนขึ้น “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป”
น้าตู้ซานจึงเอาห่อผ้าวางลงไปข้างๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าพลางพูด “ค่อยโล่งอกหน่อย บ่าวจะไปต้มน้ำขิงเดี๋ยวนี้”
หมอทหารหลูตกใจจนขาอ่อนแรงตั้งแต่เนิ่น ตลอดทางทหารนกอินทรีเป็นคนแบกเขากลับมา ตอนนี้พอเข้ามาในค่ายทหาร เขาก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ เหลือแค่เรี่ยวแรงจะหายใจเท่านั้น
ตอนนี้เว่ยจางถอดเสื้อคลุมสีเลือดหมูที่อยู่บนเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ออก จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่ดูกรีดออก สังเกตมองเหยาเยี่ยนอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าไปหนึ่งรอบพร้อมพูดด้วยเสียงเรียบ “วันรุ่งขึ้นเจ้ากลับเมืองหลวงเถอะ”
“หา?” ทีแรกเหยาเยี่ยนอวี่ยังอยากจะฟังคำปลอบโยนที่อ่อนโยนจากเขา กลับนึกไม่ถึงว่าคนๆ นี้แค่เพิ่งอ้าปากพูด ก็คิดจะไล่ตัวเองแล้ว
เว่ยจางมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดขึ้น “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่ เจ้ากลับเมืองหลวงเถอะ เมืองหลวงมียาสมุนไพรครบครัน เจ้าแค่ปรุงยาแล้วส่งมาที่นี่ก็พอแล้ว”
“ข้าไม่ไป” เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตากลับด้วยความดื้อดึง “ข้ามาที่นี่เพราะพระราชโองการของฮ่องเต้ แม่ทัพใหญ่ไม่ได้รับชัยชนะกลับเมืองหลวง ข้ากลับไปไม่ได้”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะเขียนสาส์นกราบทูลฮ่องเต้เอง” เว่ยจางพยักหน้า แล้วหันหลังเดินไปตรงหน้าโต๊ะหนังสือ
“เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้นะ!” เหยาเยี่ยนอวี่จึงเดินตามเขาด้วยความใจร้อน แล้วดึงแขนของเขาไว้
หลูถ่งก่วงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จึงลุกขึ้นแล้วแอบออกไปด้านนอกทันที
ในเรือนไม่มีคนนอก เหยาเยี่ยนอวี่จึงเงยหน้ามองเขาอย่างจดจ่อ นัยน์ตาแววใสจับจ้องไปที่เขา เว่ยจางขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็พลิกข้อมือดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด แล้วถอนหายใจลากยาว “เจ้ารู้ไหม ตอนนั้นข้าหวาดกลัวแค่ไหน”