ตอนที่ 373 ดนตรีบรรเลงไม่ช้าไม่เร็ว คาดว่ามีสิ่งใดแอบแฝง (4)
หนึ่งในสาวใช้ค้อมตัวพูดขึ้นยิ้มๆ “คุณหนูทั้งสองท่านเชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่กุมมือของซูอวี้เหิงแล้วเดินตามบ่าวคนนั้นผ่านสวนดอกจื่อจิง แล้วเดินเข้าไปในเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ในนั้นมีสาวใช้ชั้นล่างกำลังเตรียมน้ำสะอาด ผ้าเช็ดหน้า สบู่ เครื่องประทิน เครื่องแป้งและอื่นๆ เหยาเยี่ยนอวี่ล้างหน้าเสร็จ แค่ทาเครื่องประทินเท่านั้น ทว่ากลับไม่ได้ใช้เครื่องแป้งอะไรพวกนั้น
ซูอวี้เหิงก็ล้างมือเสร็จ ทั้งสองถึงจะออกจากเรือนเล็กๆ ทว่ากลับไม่ได้รีบกลับไปที่ศาลา แค่ค่อยๆ เดินอยู่กลางพุ่มดอกไม้ ขณะที่เดินก็ฟังเสียงเพลงที่ส่งมาจากบ่อน้ำทางฝั่งโน้น จากนั้นก็เดินเข้าไปในทุ่งดอกสาวเย่าโดยไม่รู้ตัว ซูอวี้เหิงรั้งเหยาเยี่ยนอวี่ให้นั่งพักอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนสักพัก
เมื่อลมพัดมา กลีบดอกสาวเย่าก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไปกองบนพื้น และร่วงลงบนศีรษะและบนไหล่ของทั้งสองคน
ซูอวี้เหิงยกมือเด็ดดอกสาวเย่ามาหนึ่งดอก และใช้มือขยี้ จู่ๆ ก็เปรยด้วยรอยยิ้มจางๆ “กลีบดอกสาวเย่าสีแดงยามวสันต์ร่วงโรยพลางส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ผึ้งผีเสื้อยังคงบินอยู่รอบๆ กลีบดอกไม้ที่เหลือ เพื่อกินเกสรดอกไม้ที่หลงเหลืออยู่ หมดหนทางเสียแล้ว!”
เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนไหล่ของซูอวี้เหิง หลับตาพักผ่อนสายตา พอได้ยินคำพูดนี้ของนาง แค่เกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้มจางๆ “พรหมลิขิตของทุกคนล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว เจ้าจะทำให้ตนเองชอกช้ำใจไปไยกัน”
ซูอวี้เหิงแค่ยกยิ้มหนึ่งที แต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร ผ่านไปสักพัก นางกลับครวญเพลงออกมาเบาๆ
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านทำนองเพลง แค่รู้สึกว่าเสียงครวญของนางเสนาะหูจับใจ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน นางจึงฟังอย่างสบายใจ เพียงแต่หลังจากที่ซูอวี้เหิงครวญไปไม่นาน จู่ๆ ก็หยุดลง คุณหนูเหยากำลังฟังอย่างเพลิดเพลิน ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดถึงหยุดไปเล่า ไพเราะเสนาะหูเช่นนี้ หากมีบทเพลงอะไรที่เจ้าจะร้อง ข้าจะรอฟัง”
หลังจากถามไปสักพักกลับไม่เห็นนางตอบกลับ สุดท้ายนางจำต้องลืมตาขึ้น กลับสบตากับสายตาที่ลุ่มลึกคู่หนึ่ง แล้วนางก็มองไปยังซูอวี้เหิงที่อยู่ข้างๆ กำลังยกมือปิดปากตัวเองเพื่อทนกับความอยากหัวเราะ ดังนั้นใบหน้าของนางแดงระเรื่อขึ้นมาทันที แล้วจับจ้องใครบางคนที่อยู่ตรงหน้าแวบตาเดียว พร้อมพร่ำบ่น “มาเงียบๆ ไม่ให้สุ่สุ้มไม่ให้เสียงเช่นนี้ ทำให้คนสะดุ้งตกใจสนุกมากใช่ไหม”
ด้านหลังของแม่ทัพเว่ยมีร่างชุดขาวสูงเพรียวคนหนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือถังเซียวอี้ รองแม่ทัพขั้นที่ห้าที่เพิ่งถูกแต่งตั้งมาไม่นาน รองแม่ทัพถังเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองแม่ทัพของตนจึงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “แม่ทัพบอกมาแล้ว พี่สะใภ้เป็นคนที่มีทักษะการฟังที่ยอดเยี่ยม หากไม่ใช้วิชาตัวเบาหน่อย ท่านต้องได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของพวกเราแน่นอน”
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร” เหยาเยี่ยนอวี่ถามด้วยรอยยิ้ม
เว่ยจางขมวดคิ้วพลางถามกลับ “นั่งบนหินเย็นยะเยือกเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่สั่งให้คนเอาเบาะรองนั่งมา ร่างกายของเจ้าเป็นเช่นไร เจ้าไม่รู้หรือ”
“อั้ยยะ!” ซูอวี้เหิงพลันดึงเหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้น “ข้าเองที่ประมาท ลืมไปว่าพี่สาวเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา ไม่ควรนั่งอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นเป็นเวลานานเช่นนี้!”
เหยาเยี่ยนอวี่ผายมือแล้วยิ้มจางๆ “ข้าเปราะบางขนาดนั้นเลยหรือ ข้าไม่ใช่กระดาษเสียหน่อย”
ซูอวี้เหิงหันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงชั่วพริบตาแล้วยิ้มด้วยความซุกซน พร้อมพูดขึ้น “เช่นนั้นข้ากลับไปก่อน พี่เขยมีอะไรก็คุยกับพี่สาวเถอะ”
“นี่” เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด “พวกเราเดินออกจากไกลเช่นนี้ เจ้าอย่าหลงทางเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็ให้รองแม่ทัพถังส่งเจ้ากลับไปเถอะ”
ถังเซียวอี้พลันค้อมตัวลง “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งของพี่สะใภ้ขอรับ”
“อยากโดนตบปากหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองเขา และกำชับอีกครั้ง “ส่งน้องสาวของข้ากลับไปดีๆ ล่ะ อย่าให้นางเกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด”
ถังเซียวอี้พลันตอบกลับ “ขอรับ”
ซูอวี้เหิงไม่เข้าใจมากว่าเหตุใดพี่เหยาถึงให้คนแปลกหน้าส่งตัวเองกลับไป ดังนั้นจึงหันไปมองนางด้วยความแปลกใจ
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นแววตาซูอวี้เหิงฉงนสงสัยจึงยิ้มจางๆ พลางแนะนำ “ถังเซียวอี้ หรือว่ารองแม่ทัพถัง เป็นสหายที่ดีของแม่ทัพเว่ย ใช่แล้ว พี่ใหญ่ของเจ้าน่าจะสนิทสนมกับเขามาก พวกเขาเคยไปออกรบที่เขตชายแดนทิศตะวันตกด้วยกัน”
“อ้อ” ซูอวี้เหิงพยักหน้า แล้วอยากจะบอกว่าตนเองจำทางได้ ไม่มีทางหลงทาง และไม่ต้องให้ใครไปส่ง
ถังเซียวอี้จึงเดินหน้ามาทักทายนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “คุณหนูซู ยินดีที่ได้รู้จัก”
คุณหนูซูได้รับการเลี้ยงดูจากองค์หญิงต้าจั่งมาแต่เด็ก ถึงแม้จะค่อนข้างเอาแต่ใจ ทว่ากลับไม่เคยเสียมารยาทกับใคร ดังนั้นจึงค้อมตัวเล็กน้อย แล้วทักทายซังเซียวอี้ด้วยรอยยิ้มจางๆ “แม่ทัพถัง”
ถังเซียวอี้โปรดปรานสตรีที่มีหน้าตาละมุนละไมเช่นนี้เป็นอย่างมาก ตอนนั้นภายในใจรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ทว่ากลับต้องคงความเป็นสุภาพบุรุษไว้ เขาประสานมือคารวะ “ข้าน้อยส่งคุณหนูกลับไปเอง คุณหนู เชิญเถอะ”
“พี่สาว?” ซูอวี้เหิงมักจะรู้สึกกระวนกระวายในใจ จึงมองเหยาเยี่ยนอวี่อย่างหมดหนทาง
“เจ้าไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะตามกลับไป หากพี่หันถามถึงข้า ก็ให้บอกว่าข้าจะกลับเดี๋ยวนี้” เหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างรู้สึกผิดในใจ ยัยหนูคนนี้ปกติก็ดูแสบใช่ย่อย ทว่าตอนนี้กลับเหมือนกระต่ายน้อย นี่กลับทำให้คุณหนูเหยารู้สึกไม่สบายใจ มักจะรู้สึกว่าตนเองกำลังช่วยหมาป่าหลอกลวงหนูน้อยหมวกแดง
เว่ยจางมองสายตาที่เหยาเยี่ยนอวี่มองซูอวี้เหิงจึงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “มองอะไรของเจ้า เซียวอี้เหมือนเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจเช่นนั้นเลยหรือ”
คุณหนูเหยาหันไปกลอกตามองบนใส่เขา แล้วพูดไม่จา
“ดื่มสุราไปมากเท่าใดกัน” เว่ยจางมองใบหน้าที่แดงระเรื่อของนางจึงขมวดคิ้วเป็นปม “สภาพร่างกายของตนเอง ตนจะไม่รู้ได้อย่างไร ดื่มสุรายังไม่พอ แล้วยังมานั่งบนหินอีก”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “เจ้ากรีธาทัพไปถามโทษหรือไร”
“ต้องทำให้คนต้องคอยกังวลใจตลอดเวลา” เว่ยจางพูดขึ้น แล้วยื่นมือไปคว้าข้อมือของคุณหนูเหยาไว้ “ที่นี่อากาศเย็น อย่ามัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้เลย ไปกันเถอะ”
“อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้ายังบอกว่าที่นี่เย็นอีก” เหยาเยี่ยนอวี่มองเขาอย่างขบขัน “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเป็นผดร้อนหรือ”
“เจ้าร้อน?” เว่ยจางมองนางด้วยคิ้วขมวด นางที่สวมใส่ชุดกระโปรงสีหยก ถึงแม้ด้านนอกจะมีสามชั้น ทว่าก็คือชุดที่ใส่ในช่วงฤดูร้อน แล้วจะร้อนมากเช่นนั้นได้อย่างไร
“แน่นอนอยู่แล้ว” คุณหนูเหยาเอาพัดมาสะบัดสองที ไรผมที่อยู่ข้างหูถูกลมพัดไปด้านหลัง
แม่ทัพเว่ยกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่อากาศจะร้อนมากเพียงใด ถึงได้ทำให้ภรรยารู้สึกร้อนเช่นนี้ สุดท้าย เขาขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าไม่สบายหรือเปล่า เป็นเพราะดื่มสุราหรือเปล่า”
“อั๊ยโย เจ้าหวาดระแวงเกินไปหรือเปล่า” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามอย่างขบขัน เป็นตั้งแม่ทัพแท้ๆ ก็แค่ได้รับบาดเจ็บครั้งเดียวหรือเปล่า
เว่ยจางรู้สึกตกตะลึง จึงชะงักฝีเท้าหันไปมองนาง พร้อมเปรยด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันตัวเอง “เจ้ารู้ไว้ก็ดี” ข้าถูกเจ้าทำให้หวาดระแวงไปหมดแล้ว!
“…” เหยาเยี่ยนอวี่เบะปาก เจ้าหมอนี่ไม่ควรให้อภัยเลยจริงๆ
กลับกล่าวถึงถังเซียวอี้ที่กำลังส่งคุณหนูซูกลับไปที่ศาลากลางน้ำปี้อี คุณหนูซูนิ่งเงียบ แค่ก้มหน้าเดินไปด้านหน้า
ถังเซียวอี้กลับหันไปมองนางซึ่งหน้า จู่ๆ ก็นึกแผนการร้ายอะไรออก จึงตั้งใจเดินเบียดนาง พอเห็นคุณหนูซูที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ใกล้จะเดินชนต้นทับทิม จู่ๆ ก็ยื่นมือไปดึงนางไว้ “คุณหนูระวัง”
“ว้าย?!” ซูอวี้เหิงเงยหน้าแล้วเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังเดินชนต้นไม้ ดังนั้นเลยตกใจจนเดินถอยหลังทันที เพราะเหตุนางทรงตัวไม่อยู่จนไปล้มทับร่างของถังเซียวอี้ไว้ เพราะเหตุรู้สึกเขินอายเกินไป เดิมทีนางที่เป็นคนช่างพูด ตอนนี้กลับหน้าแดงจนพูดอะไรไม่ออก