ตอนที่ 376 ละทิ้งงานทุกอย่าง ความสุขของงานวิวาห์ (2)
อวิ๋นคุนผายมือให้พ่อบ้าน ไม่ได้พูดอะไรก็เข้าไปในเรือนหลังทันที
เฉิงหวังเฟยทำสีหน้าบูดบึ้ง ด้านข้างมีสกุลหลี่ที่เพิ่งจะถูกแต่งตั้งให้เป็นเช่อเฟย และยังมีอวิ๋นเหมย สกุลหลี่ก็มีสีหน้าจนปัญญา อยากเข้าไปปลอบโยน แต่ก็เหมือนจะไม่กล้า อวิ๋นเหมยที่มีอายุแค่เก้าขวบเหมือนจะเข้าใจอะไรแล้ว สีหน้ากลับนิ่งเฉยเหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตัวเอง
พอเห็นอวิ๋นคุนเข้ามา อวิ๋นเหมยจึงน้อมคำนับ อวิ๋นคุนก็ค้อมตัวให้เช่อเฟย พร้อมพูดขึ้น “อี้เหนียง น้องสาว กลับไปก่อนเถอะ”
“ได้” เช่อเฟยลอบถอนหายใจ แล้วพาบุตรีจากไป
อวิ๋นคุนเดินไปนั่งด้านข้างของหวังเฟย แล้วกวักมือเรียกสาวใช้พร้อมสั่งการ “ไปเอาอาหารอุ่นมาหน่อย”
สาวใช้ก็ลอบถอนหายใจ แล้วเดินเข้าไปยกโต๊ะเตี้ยมาวาง
บ่าวทั้งหมดที่อยู่ในเรือนต่างก็ออกไปกันหมดแล้ว ทันใดนั้นจึงเหลือเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น
“เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงไม่ถูกคอกับสองแม่ลูกเล่า เหยาเอ๋อร์ก็คือเหยาเอ๋อร์ เหตุใดท่านถึงต้องไปโมโหใส่คนอื่นด้วยเล่า”
“ใครไปโมโหพวกนาง!” เฉิงหวังเฟยแค่นเสียงไม่พอพระทัย “แม้แต่เจ้ายังเข้าข้างสองแม่ลูกนั่นกระนั้นหรือ!”
“เสด็จแม่ ไม่ว่าท่านจะยินยอมหรือไม่ เสี่ยวเหมยก็คือบุตรีของเสด็จพ่อ ท่านทำเช่นนี้…หากฮองเฮาเหนียงเหนียงรู้เรื่องเข้า เกรงว่าคงจะหาว่าท่านไม่เมตตากรุณาลูกหลาน” อวิ๋นคุนเกลี้ยกล่อมด้วยความอดทน
ท่านอ๋องคนหนึ่งในจวนอ๋อง มีหวังเฟยหนึ่งคนและเช่อเฟยอีกสามคน ทุกคนล้วนได้รับการแต่งตั้ง ถึงแม้หวังเฟยจะเป็นคนที่ดูแลงานเรือนทั้งหมด ทว่าหากปฏิบัติตัวไม่ดีกับเช่อเฟย เมื่อเรื่องนี้ถูกปล่อยออกไปก็ถือเป็นชื่อเสียงที่ไม่ดีต่อตัวนาง
เฉิงหวังเฟยไม่สบอารมณ์ แล้วจะนึกถึงอะไรเยอะแยะได้อย่างไร พอได้ยินคำพูดของบุตรชาย ยังคงปั้นหน้าเลือดเย็น
“เสด็จแม่ หากท่านอยู่จวนแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายก็เข้าวังไปเสวนากับฮองเฮาเหนียงเหนียงบ้างก็ได้”
“ฮ่องเต้จะเสด็จไปพักร้อน หลายวันมานี้เหนียงเหนียงต้องยุ่งกับการเก็บของของฮ่องเต้ แม้กระทั่งแต่ละตำหนักจะต้องไปน้อมคำนับ ก็ยังไม่ต้องทำต่อไปอีก” เฉิงหวังเฟยแค่นเสียงอย่างโมโห “เสด็จพ่อของเจ้าก็บอกแล้ว ต้องพาปีศาจจิ้งจอกนั่นไปด้วย!”
อวิ๋นคุนขมวดคิ้วอย่างจนปัญญาแล้วเปรยขึ้น “เสด็จพ่อไม่พาท่านไป นั่นก็เพราะว่างานในจวนต้องรอให้ท่านคอยมาสะสาง! ท่านดูสิ ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ไม่ใช่ว่าไม่เสด็จไปหรือไร”
เฉิงหวังเฟยแค่นเสียงเย็นชา “คนเขาเป็นตั้งเจ้าวังหลวง!”
“เสด็จแม่ ท่านก็เป็นฮูหยินของจวนอ๋องเช่นกัน” อวิ๋นคุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างหมดหนทาง
“ทว่าเหยาเอ๋อร์ควรทำเช่นไร!” เฉิงหวังเฟยเปรยด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
“เหยาเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าดีแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านไม่ใช่ว่าถือหางนางเกินไปหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางรู้จักกาลเทศะ แค่นางโปรดปรานในการฝึกวิชาการต่อสู้เท่านั้น เช่นนั้นก็ให้นางไปฝึกเถอะ” อวิ๋นคุนรู้เรื่องของอวิ๋นเหยาแล้วจึงรู้สึกเอ็นดูนางอย่างมาก นางก็คือน้องสาวทางสายเลือดที่ตนรักและเอาใจมาแต่เด็ก
ทว่า อย่างไรการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็เหมือนผีเสื้อที่ออกจากรังไหม หากไม่ผ่านความทุกข์ทรมานมา แล้วจะกางปีกโบยบินได้อย่างไร
“นางที่เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง จะฝึกวิชาการต่อสู้ไปไยกัน ไม่ใช่ว่าจะไปออกรบเสียหน่อย” เฉิงหวังเฟยพึมพำด้วยความไม่สบอารมณ์อีกครั้ง ช่วยไม่ได้ ช่วงนี้ในเรือนมีแต่เรื่องที่ไม่สมดั่งใจปรารถนานาง
“ใครจะให้นางไปสู้รบเล่า! นางแค่มีอะไรให้ทำก็พอแล้ว!” อวิ๋นคุนได้ยินเสียงม่านดังขึ้น จึงหันไปมองสาวใช้คนสนิทของเฉิงหวังเฟยที่กำลังเดินเข้ามา ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “อาหารอุ่นเสร็จแล้วหรือ”
“เรียนท่านซื่อจื่อ อาหารเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“รีบยกมาเถอะ ข้าจะกินมื้อนี้กับเสด็จแม่ วันนี้ตอนเที่ยงก็ดื่มสุราไปไม่น้อย แต่กลับไม่ได้กินอะไร ตอนนี้รู้สึกหิวยิ่งนัก”
เฉิงหวังเฟยได้ยินเช่นนี้จึงรีบสั่งการสาวใช้ทันที “รีบยกอาหารมาเถอะ ยกเนื้อวัวตุ๋นที่ท่านซื่อจื่อโปรดปรานมาด้วย”
“เพคะ” สาวใช้เอกพลันหันไปขานรับ แล้วหันหลังจากนั้น ไม่นานบนโต๊ะก็มีอาหารวางเต็มไปด้วย
อวิ๋นคุนกินอาหารเป็นเพื่อนเฉิงหวังเฟย ขณะเดียวกันก็เกลี้ยกล่อมขึ้น “เสด็จแม่เสวยเสร็จก็พักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าไปหาเหยาเอ๋อร์ที่สนามฝึกเอง”
“อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าอย่าให้นางป่วยได้ล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ภายใต้แสงแดดที่แผดเผา ณ สนามฝึก
อวิ๋นเหยาในชุดฝึกวิชาการต่อสู้สีแดงเลือดหมูกำลังขี่ม้า ในมือถือธนูสั้นไว้หนึ่งอัน ด้านข้างแอกม้ามีลูกศรแขวนอยู่อีกสิบกว่าดอก นางกุมบังเหียนม้าควบข้ามสนามพลางยิงธนูไปอย่างว่องไว จากนั้นก็กระตุกบังเหียนม้าอย่าแงรง ท่าเฟิงหยุดลงอย่างเชื่อฟัง อวิ๋นเหยาหมุนตัวไปแล้วดึงลูกศรธนูออกมาหนึ่งดอกพลางเล็งไปที่เป้า ลูกศรพุ่งเข้าไปด้านล่างของตรงกลางเป้าธนู
อวิ๋นเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็กระตุ้นโกลนม้า เมื่อม้าเริ่มออกวิ่งอีกครั้งก็ยิงลูกศรธนูไปที่เป้าอีกรอบ รอบนี้ยังคงยิงได้เป้าตรงกลางเหมือนคราวก่อน
ทหารจิ่นหลินที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ ตลอดเดินขึ้นหน้ามาอยู่ข้างกายอวิ๋นเหยา แล้วพูดด้วยความจริงจัง “จวิ้นจู่ แขนของท่านยังมีแรงไม่พอขอรับ”
“ข้าโดนเป้าแล้ว” อวิ๋นเหยาขมวดคิ้ว “ทว่าเหมือนจะรู้สึกว่ายังแม่นไม่พอ”
“เช่นนั้น ทักษะการเล็งของจวิ้นจู่ถือว่าไม่เลว ท่านดูลูกศรธนูของท่านยิงไปด้านล่างตรงเป้าสีแดง อีกอย่างปลายลูกศรยังยิงลงไปไม่ลึก ดังนั้นน่าจะเป็นเพราะแรงตรงแขนไม่เพียงพอ”
“เป็นเช่นนี้?” อวิ๋นเหยาหรี่ตาพลางเล็งตรงเป้าธนูอีกครั้ง สีหน้าเคล้าด้วยความดื้อดึง “แรงแขนไม่พอต้องฝึกฝนอย่างไร”
“มีหลากหลายวิธี” เยี่ยหลานมองอวิ๋นเหยาด้วยความจริงจัง แล้วแสดงวิธีการฝึกฝนเพื่อให้มีแขนแรงมาเป็นชุด
อวิ๋นคุนกำลังดูพวกเขาสองคนเสวนากันจากที่ไกลๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
มีทหารในสนามฝึกคนหนึ่งจึงพูดกับอวิ๋นคุนด้วยรอยยิ้ม “ท่านซื่อจื่อ วันนี้ทักษะการยิงธนูของจวิ้นจู่ดีกว่าก่อนหน้านี้เยอะแล้ว”
“อืม ไม่เลว” อวิ๋นคุนยกยิ้มแล้วพยักหน้า
อวิ๋นเหยาโตมาจนถึงป่านนี้ นี่ยังถือว่าเป็นครั้งแรกที่นางตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การขี่ม้ายิงธนู แม้จะไม่ใช่สิ่งที่สตรีควรกระทำ ทว่านางตั้งอกตั้งใจได้เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่างน้อยก็ดีกว่าไปหาเรื่องชาวบ้านตามท้องถนน
เหยาเยี่ยนอวี่ ซูอวี้เหิง และหันหมิงชั่นอาศัยอยู่ในบ้านพักตากอากาศเจิ้นกั๋วกงไปสองวัน ทิวทัศน์ในจวนงดงามยิ่งนัก ส่วนมากล้วนเป็นทิวทัศน์น้ำ ที่นี่เย็นสบายกว่าเมืองหลวงมาก เหยาเยี่ยนอวี่ไม่โปรดปรานอากาศที่ร้อนระอุของเมืองหลวง ดังนั้นจึงชอบบ้านพักตากอากาศนี้มาก ทั้งยังอยากจะถือโอกาสคุยเรื่องโรงงานกระจกกับหันหมิงชั่น
แท้จริงแล้วตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเฝิงโหย่วฉุนยื่นสมุดบัญชี ตนเองก็รู้สึกประหลาดใจมาก นางเคยนึกมาก่อนว่าโรงงานกระจกจะทำกำไรให้ตนเอง ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่าจะทำกำไรให้เร็วเช่นนี้
ก่อนหน้านี้เยี่ยนอ๋องสั่งให้คนส่งเงินสองหมื่นตำลึงมา บอกว่าจะเปลี่ยนหน้าต่างของห้องทรงอักษร ตำหนักฉื่อเฉิน ตำหนักเฟิ่งจางของฮองเฮา ตำหนักของฮุ่ยกุ้ยเฟยและเรือนในสวนพฤกษา อีกอย่างยังให้กระจกบานใหญ่แก่เหล่าเหนียงเหนียง
โรงงานผลิตกระจกยุ่งมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว หลังจากผลิตเสร็จก็ส่งกระจกใสเป็นแผ่นๆ เข้าไปในราชวัง ในขณะนี้ก็มีเงินก้อนใหญ่เข้ามาในกระเป๋าของคุณหนูเหยาเป็นที่เรียบร้อย
อีกทั้งฮองเฮายังเชิญเหล่าหวังเฟยจากจวนอ๋องต่างๆ องค์หญิงและจวิ้นจู่ที่ออกเรือนไปแล้ว ทั้งยังมีฮูหยินซื่อจื่อเข้าไปในวังเพื่อชมเหมันต์และดอกเหมยผลิบาน ตอนนี้ หน้าต่างกระจกกลายเป็นสิ่งที่ตระกูลมั่งมีล้วนแสวงหากันไปแล้ว
ตอนนี้ในมือของเฝิงโหย่วฉุนได้รับใบสั่งซื้อสินค้าที่หนาเป็นปึก ผู้ที่มาสั่งจองกระจกมีตั้งแต่ตระกูลที่มีอำนาจและร่ำรวยในราชสำนัก และตระกูลที่เป็นพ่อค้าร่ำรวย คิดว่าต่อให้โรงงานผลิตกระจกทำทั้งวันทั้งคืน และยุ่งจนถึงสองปี ก็คงผลิตสินค้าตามใบสั่งจองไม่ทันแน่นอน ดังนั้นคุณหนูเหยาจึงนึกว่านางควรสร้างโรงงานที่แยกย่อยจากโรงงานอีก
ถึงแม้หันหมิงชั่นจะเป็นบุตรีขององค์หญิงใหญ่ ทว่าหลังจากเข้าพิธีปักปิ่นก็เริ่มฝึกสะสางงานบ้านงานเรือน องค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็ได้ฝึกฝนหมัวมัวหลายๆ คนให้ฉลาดหลักแหลม นางก็กลัวว่าหากอนาคตตัวเองออกเรือนไปก็ต้องไปนั่งสะสางงานเรือนเช่นนี้