หมอหญิงจ้าวดวงใจ – ตอนที่ 380 เข้าเรือนหอ งานเลี้ยงสหายคนสนิท กลับไปเยี่ยมเยียนต้นตระกูล (1)

ตอนที่ 380 เข้าเรือนหอ งานเลี้ยงสหายคนสนิท กลับไปเยี่ยมเยียนต้นตระกูล (1)

ชั่วชีวิตของมนุษย์จะได้เข้าหอคืนแรกเพียงครั้งเดียว แม่ทัพเว่ยต้องเอาจริงเอาจังกับมันแน่นอน จึงไม่มีทางปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสภาพมึนเมาสุราเป็นเรื่องธรรมดา

คุณหนูเหยาตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหิว นางลูบท้องของตนพลางลุกขึ้น พอกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนหอถูกประดับประดาด้วยสิ่งของสีแดงทั้งหมด จากนั้นนางค่อยขมวดคิ้วขานเรียก “ฮู้…ชุ่ยเวย?”

“ตื่นแล้วหรือ” เว่ยจางขานรับ

“เอ่อ?” คุณหนูเหยาลุกขึ้นนั่งทันที “เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

“หิวแล้วใช่ไหม” แม่ทัพเว่ยเดินมาตรงหน้าเตียง ยื่นมือดึงนางลุกขึ้นและพานางเดินไปตรงหน้าโต๊ะ

บนโต๊ะกลมปูด้วยผ้าต่วนสีแดงมีขนมมงคลวางอยู่สองจาน ยังมีผลผิงกั่ว ส้ม แตงหวาน สุรา อาหาร และอื่นๆ

“กินอะไรหน่อยเถอะ” เว่ยจางดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปนั่งลง แล้วยื่นตะเกียบสีแดงสลักลายมังกรหงส์ให้นาง

เหยาเยี่ยนอวี่กวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ บนโต๊ะมีอาหารมงคลทั้งแปดอย่าง วุ้นเส้นอบหอยนางรม ฟักเขียวต้มลูกชิ้นปลา ขนมงาทอด ปลากวยนึ่ง พอนางเห็นอาหารเหล่านี้ ก็แอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จึงพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าอยากกินข้าวต้ม”

เจ้าบ่าวมือใหม่จึงพูดยิ้มๆ พลางเปิดฝาหม้อออก พร้อมทั้งเอ่ยถาม “กินข้าวต้มใส่เครื่องแปดอย่างไหม”

“ได้” เจ้าสาวจึงยิ้มอย่างผลิบานทันที

เว่ยจางเอาถ้วยไท่จื่อมงคลตักข้าวต้มให้ฮูหยินของตนแล้ววางลงตรงหน้านาง จากนั้นเอาตะเกียบคีบอาหารให้นาง

“ข้าจะกินปลา เจ้าช่วยข้าเอาก้างปลาออกหน่อยได้ไหม” เหยาเยี่ยนอวี่วางตะเกียบลงพลางเอาช้อนตักข้าวต้มกินหนึ่งคำแล้วเริ่มสั่งสามีตนเอง

“ได้” แกะก้างปลาออกเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมากสำหรับเว่ยจางอยู่แล้ว ไม่นานเขาก็แกะเนื้อปลาออกมาครึ่งจาน ทั้งยังจิ้มซีอิ้ววางตรงหน้าของเจ้าสาว

เหยาเยี่ยนอวี่กินข้าวไปหนึ่งถ้วยและปลาไปครึ่งตัว ท้ายที่สุดนางก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ยังต้องแลกจอกสุรากันไหม”

แม่ทัพเว่ยมองใบหน้าละมุนละไมตรงหน้าพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ วันนี้เจ้าควรทำอะไร”

จากนั้นทั้งสองต่างหลุดหัวเราะ เจ้าสาวยิ้มพลางซบลงตรงกลางอ้อมกอดของเจ้าบ่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง

มือข้างหนึ่งของเว่ยจางโอบภรรยาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับเหยือกรินสุราสองจอก จากนั้นยื่นหนึ่งจอกให้นาง แล้วเอาหนึ่งจอกให้ตน พลางพูดด้วยเสียงต่ำ “มาเถอะ อย่างไรก็ต้องแลกจอกสุรากัน”

“อืม” เจ้าสาวยกจอกในมือขึ้น แล้วแลกจอกสุรากับสามีด้วยรอยยิ้มจางๆ

หลังจากแลกจอกสุรากันเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่กลางอกของเว่ยจางพลางเอ่ยถาม “ควรทำอะไรต่อ”

“ควรนอนแล้วหรือเปล่า” เว่ยจางมองสตรีในอ้อมกอดที่งดงามประดุจบุษบา

“แต่ข้าเพิ่งตื่นนอน” เจ้าสาวเบื่อหน่ายมาก “ตอนนี้ข้ามีชีวิตชีวามาก”

“อืม เช่นนั้นพวกเรานอนคุยกันบนเตียงเถอะ” เจ้าบ่าวปั้นหน้าจริงจัง

“พรวด…” สุดท้ายเจ้าสาวก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ จึงก้มหน้าหัวเราะ เพียงนอนคุยกันใต้ผ้าห่มจริงหรือ

“จุ๊…” เจ้าบ่าวเอานิ้วปิดปากของฮูหยินตนเองด้วยความระมัดระวัง สายตากวาดมองไปที่หน้าต่าง

“มีคนฟังอยู่หรือ” เจ้าสาวก็พูดด้วยความระมัดระวัง

“อืม” ไม่มีคนฟังน่ะสิแปลก เหล่าสหายของเขากำลังยืนเหยียดกันฟังอยู่ด้านนอก

เจ้าสาวแย้มยิ้ม และยื่นมือไปคว้าผลผิงกั่วมาหนึ่งลูก พร้อมทั้งเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาไปตรงหน้าหน้าต่าง จากนั้นเปิดหน้าต่างอย่างเบามือ จู่ๆ ก็ยื่นหน้าออกไปด้านนอก…ดั่งที่คาด มีบุรุษสี่ห้าคนกำลังนั่งยองๆ ตรงมุมกำแพง

“เหอะ!” จู่ๆ เจ้าสาวปรากฏตัวเช่นนั้น ซ้ำยังโยนผลผิงกั่วไปตรงมุมที่ทุกคนหลบอยู่

“โอ๊ย!” พ่อบ้านเอกฉังเหมาไม่มีวิชาการต่อสู้เหมือนเหล่าแม่ทัพ มิหนำซ้ำเขายังเป็นผู้โชคดีโดนผลผิงกั่วที่นางโยนมา

ทุกคนต่างหัวเราะแล้ววิ่งหนีไปคนละทิศคนละทางทันที

จากนั้นก็มีเจ้าบ่าวที่สวมชุดแดงและหมวกทองบนศีรษะโผล่หน้าออกมานอกหน้าต่าง เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาทันที “พวกเจ้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ฮูหยินของข้าเปิดหน้าต่างแล้วยังไม่ทันสังเกตเห็นอีก ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ฝึกทักษะการต่อสู้เพิ่มอีกหนึ่งชั่วยามทุกวัน”

เสียงร้องอันเศร้าโศกดังขึ้นกลางสวนทันที

เจ้าสาวเจ้าบ่าวปิดหน้าต่างด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ แล้วดึงม่านผ้าต่วนสีแดงปักลายร่ำรวยมั่งมีและสมดั่งปรารถนา

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ พลางพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่าง นางอยากหาตำรามาอ่าน กลับสังเกตเห็นว่าที่นี่ไม่มีตำราแม้แต่เล่มเดียว

“หาอะไรอยู่” เว่ยจางนั่งลงข้างกายนาง พลางเอ่ยถาม

“หาตำรามาอ่านเล่น”

แม่ทัพเว่ยหมดคำพูด

“มีหรือไม่” เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ

“มี” เว่ยจางพยักหน้า

“เอามา”

“ไม่อยู่ที่นี่ เจ้าตามข้ามา”

เจ้าสาวถูกเจ้าบ่าวดึงไปตรงเตียง จากนั้นก็ค้นตู้ตรงหัวเตียง แล้วเอาตำราสามสี่เล่มยื่นไปให้นาง “นี่”

“!” ครั้งนี้กลับเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ปั้นหน้าหมดคำพูด

“จะอ่านหรือไม่” มือของเว่ยจางยื่นมาตำราให้นาง

“อ่านไปแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือรับไว้พลางโยนไปข้างๆ

“อ่านไปแล้วหรือ” แม่ทัพเว่ยยื่นมือไปเอาตำรากลับมาด้วยสีหน้าฉงนสงสัย จากนั้นนั่งลงข้างกายนาง พร้อมทั้งพลิกตำราเหล่านั้น

อืม อย่างน้อยตำราเหล่านี้ก็ดีกว่าตำราที่ฉังเหมาส่งมาเมื่อหลายวันก่อน ตำราพวกนั้นเพิ่มสีสันที่ทำให้ดูน่าอ่านมากขึ้น แค่เห็นเพียงแวบตาเดียวก็รู้ว่านี่เป็นต้นฉบับ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้นตระกูลของนางใช้ความตั้งใจในการจัดเตรียมสินเดิมเจ้าสาวไปไม่น้อย ฉังเหมายังทำงานได้ไม่ดีพอ ต้องปรับปรุงอะไรอีกหลายอย่าง

ต่อให้หมอหลวงเหยาจะมีท่าทีในการมองเรื่องร่วมสังวาสในเชิงวิทยาศาสตร์ ตอนนี้ก็ยังอัดอั้นอารมณ์ไม่อยู่ สามีของตนกำลังพลิกตำราด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมต่อหน้าตนเองเช่นนี้ ต่อให้เป็นสตรีใดก็อดกลั้นไม่อยู่ ดังนั้นนางจึงยื่นมือไปดึงตำราออกจากมือของเขา ทั้งยังพึมพำด้วยเสียงต่ำ “มันน่าอ่านมากขนาดนั้นเลยหรือ”

“ก็ไม่เลว” เว่ยจางมองดวงหน้าแดงระเรื่อของนาง และมองนางที่กำลังจ้องมองตนด้วยความเอาแต่ใจ เขารู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวตรงท้องน้อย และก็ทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบไปด้วยทั่วร่างกาย

ก่อนหน้านี้เขายังคงกังวลถึงเรื่องหลายอย่าง ทว่าคืนนี้ยังต้องกังวลอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงยื่นมือไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงค่อย “เจ้าบอกว่าเจ้าเคยอ่านแล้ว เช่นนั้นก็ลองเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”

นี่มีอะไรน่าเล่าล่ะ! เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำด้วยเสียงเบา แล้วโยนตำรานั่นไปกลางอกของบุรุษผู้นั้น “อ่านเองสิ!” กล่าวจบ นางก็พยายามดิ้นเพื่อออกจากอ้อมแขนของเขา

เว่ยจางหัวเราะเสียงต่ำแล้วกดเรือนร่างของนางลงบนเตียง พลางก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากของนาง แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไหนๆ เจ้าก็อ่านแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องอ่านอีก ฮูหยินของข้ามีความสามารถในการฝึกทักษะต่างๆ ได้ดีอยู่แล้ว ข้าเชื่อและไว้วางใจเจ้า”

“เจ้า!” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเขินอายอย่างมาก ทว่ากลับพยายามทำเป็นด้านหน้าด้านทน “ทำไมหรือ ความหมายของแม่ทัพคือจะให้ข้าสอนใช่หรือไม่”

“อืม ก็ไม่เลว” แม่ทัพเว่ยเป็นคนด้านได้อายอดมาแต่ไหนแต่ไร

หมอหลวงเหยารู้สึกว่าตนคงมิอาจเทียบเทียมในความด้านได้อายอดของเขาตลอดกาล หากอยากให้บุรุษผู้นี้ยอมอ่อนข้อก็ต้องลงมือปฏิบัติ ดังนั้นนางจึงยิ้มจางๆ แล้วใช้นิ้วมือแตะหว่างคิ้วของหล่อเหลาและจมูกที่เป็นสัน พร้อมทั้งพูดด้วยเสียงต่ำ “เช่นนั้นเจ้าก็ถอดเสื้อผ้าก่อนเถอะ”

เพราะคำพูดนี้ ทำให้สติของแม่ทัพเว่ยไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset