“ได้ๆ! ไปเชิญผู้เฒ่าไป๋ภายในคืนนี้เลย!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงรีบเรียกคนมาทันที “ไปแจ้งตระกูลไป๋ บอกว่าข้าขอเชิญผู้เฒ่าไป๋ไปตรวจชีพจรให้คุณหนูเหยาในเช้าวันพรุ่งนี้ที่วัดฉือซิน บอกว่านี่เป็นคำพูดของข้า จึงต้องรบกวนเขาแล้ว”
บ่าวรับใช้รีบขานรับพลางออกจากเรือนไปทันที ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงตบเบาๆ ที่ใบหน้าของเฟิงเซ่าเชิน “เช่นนี้เจ้าคงพอใจแล้วใช่หรือไม่”
เฟิงเซ่าเชินครุ่นคิดแล้วค่อยกล่าวขึ้น “ท่านย่าขอรับ วันรุ่งขึ้นข้าขอไปเยือนที่วัดฉือซินได้หรือไม่”
“ห้ามไป!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงพลันทำสีหน้าบูดบึ้งทันที “เกิดเป็นไข้ทรพิษขึ้นมา ไข้นั้นสามารถติดต่อกันได้!”
“ท่านย่า…” เฟิงเซ่าเชินคล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงด้วยท่าทางที่ออดอ้อนเหมือนเด็กอีกครั้ง
“เรื่องนี้ต่อให้เจ้าจะโวยวายแค่ไหนก็ไม่ได้ ข้าบอกว่าห้ามไปก็คือห้ามไป ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าอาศัยอยู่ในจวนดีๆ ห้ามออกจากประตูใหญ่แม้แต่ก้าวเดียว ไม่เช่นนั้นข้าจะสั่งให้คนไปฟ้องบิดาของเจ้า ให้ลงโทษเจ้า”
เฟิงเซ่าเชินจึงหยุดชะงักไปชั่วขณะ ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเรียกชิงโย่วมา “เวลานี้ก็สายแล้ว พานายน้อยของพวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
เฟิงเซ่าเชินยังอยากจะเอ่ยอะไรออกมา ทว่ากลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงถลึงตามอง ชิงโย่วและบ่าวไพร่คนอื่นต่างเดินหน้ามาห้ามปรามเฟิงเซ่าเชินด้วยวาจาที่อ่อนโยน จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมให้เขาออกจากเรือนจนได้
ณ เรือนหลักของจวนติ้งโหว ในเรือนที่พักของลู่ฮูหยิน
ซูกวงฉงติ้งโหวเดินเข้าประตูไป ลู่ฮูหยินเดินเข้าไปถอดชุดคลุมชั้นนอกออกพลางยื่นไปให้สาวใช้ จากนั้นซูกวงฉงค่อยเดินไปนั่งลงตรงตั่งไม้ แล้วค่อยยื่นถ้วยชากระเบื้องลายครามที่มีฝาให้เขา “ท่านพี่ นี่เป็นชาน้ำค้างเฟิง ชาตัวนี้แช่น้ำร้อนไปสามสี่ครั้งถึงจะมีสีชาออกมาเช่นนี้ ท่านพี่ลองลิ้มรสดูเถอะ”
“อืม” ซูกวงฉงรับชาพลางดมกลิ่นชาก่อน จากนั้นพยักหน้าพลางจิบไปหนึ่งคำ
สาวใช้ยกน้ำล้างเท้ามาแล้วคุกเข่าลงบนพื้น เพื่อล้างเท้าให้กับซูกวงฉง ลู่ฮูหยินนั่งมองอยู่ข้างๆ พลางเปรยขึ้น “ท่านพี่ได้ข่าวคราวของคุณหนูเหยาหรือยัง”
ซูกวงฉงตอบกลับคำว่า ‘อืม’ เพียงคำเดียวพลางเอ่ยถาม “วันนี้ได้ยินมาคร่าวๆ เหมือนจะป่วยไข้? ไม่ลองตามหมอหลวงดีๆ ไปตรวจอาการของนางอย่างละเอียดดู อย่างไรนางก็พักอาศัยอยู่ในจวนของพวกเรา และทั้งสองตระกูลก็เกี่ยวดองกันอย่างใกล้ชิด อย่าได้ทำให้จวนโหวต้องเสียหน้าจนกลายเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับผู้อื่น”
“ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร” ขณะที่ลู่ฮูหยินเอ่ยพูด ก็ยิ้มบางๆ “ทว่าสะใภ้สามกลับนิ่งสงบยิ่งนัก ก่อนหน้านี้นางส่งคนไปเยี่ยมเยียนน้องสาวของนาง ตอนกลับมาดูหวาดผวาและตกใจจนเหมือนวิญญาณหลุดออกมาจากร่าง ดูท่าแล้ว เหมือนช่วงก่อนอาจจะถูกอาการที่เจ็บไข้ได้ป่วยทำให้หวาดผวาจนกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวไปแล้ว แค่ได้ยินเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ความเฉลียวฉลาดและความมีไหวพริบของนางหายไปจนหมด”
“นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้ อายุของนางยังน้อยจึงไม่มีประสบการณ์ เจ้าว่ากล่าวสั่งสอนนางให้มากก็พอแล้ว” ซูกวงฉงไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ลู่ฮูหยินเคยชินกับท่าทีเช่นนี้ของซูกวงฉงตั้งนานแล้ว นางจึงแค่พูดต่อไป “แต่กลับเป็นเหิงเอ๋อร์ที่พอได้ยินว่าคุณหนูเหยาป่วย นางก็รีบพาคนไปที่จวนตระกูลไป๋ทางเขตตอนเหนือของเมืองหลวง จากนั้นก็ดื้อดึงที่จะไปเยี่ยมเยียนคุณหนูเหยาด้วยตนเองให้ได้ ทำเอาองค์หญิงต้าจั่งรู้สึกร้อนพระทัยยิ่งนัก และสั่งผิงเอ๋อร์ไปตามตัวนางกลับมาทันที”
ซูกวงฉงกลับยิ้ม “เหิงเอ๋อร์มีนิสัยเช่นนี้ เหมาะที่จะเกิดเป็นบุรุษเสียจริง หากเลี้ยงนางให้เป็นแม่ศรีเรือนในจวน คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก”
“ทว่านางก็ยังคงเป็นสตรีผู้หนึ่งอยู่ดี ปีหน้าก็จะได้เข้าพิธีปักปิ่น บิดามารดาของนางไม่อยู่ในเมืองหลวง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นก็ไม่ควรล่าช้าในเรื่องงานสมรสอีก ไม่ทราบว่าองค์หญิงต้าจั่งมีพระทัยอย่างไรกับเรื่องนี้”
ซูกวงฉงยกเท้าขึ้นจากกะละมังแล้วให้สาวใช้เช็ด จากนั้นก็กล่าวด้วยความเชื่องช้า “เรื่องนี้ข้าก็เคยตระหนักถึงอยู่เหมือนกัน คราวนี้ที่กลับจากทางตะวันตก ก็เห็นทหารที่ยังหนุ่มแน่นแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมออกมาไม่น้อย คนแรกที่โดดเด่นในกลุ่มก็คือเว่ยจาง ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ผิงเอ๋อร์ได้เชิญเขามาเยือนที่จวนเพียงผู้เดียว และเจ้าก็ได้เจอหน้าเขาแล้ว เจ้ารู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นเช่นไร”
“รูปลักษณ์ภายนอกก็ถือว่าโดดเด่นกว่าผู้อื่น เพียงแต่ว่า…เขาไม่มีบิดาและมารดาที่เป็นผู้อาวุโส อีกทั้งยังไม่มีพี่น้อง เขาดำรงชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ ทั้งยังออกรบอยู่เป็นประจำ หากเหิงเอ๋อร์สมรสกับเขา ส่วนมากก็ต้องอาศัยอยู่ในจวนตามลำพัง เกรงว่าองค์หญิงต้าจั่งคงจะทนไม่ไหวกระมัง”
“พวกเราทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในเมืองหลวง อย่างไรก็คงไม่มีทางดูแลนางได้ไม่ทั่วถึงอยู่แล้ว ข้าเห็นว่าเว่ยจางมีอนาคตที่ไร้ขีดสิ้นสุด หากเจ้ามีเวลาว่างก็ลองทูลถามพระทัยของเสด็จแม่ หากเสด็จแม่พอพระทัยด้วย ข้าจะสั่งให้ผิงเอ๋อร์คุยเรื่องนี้กับเขา”
ลู่ฮูหยินถามด้วยความลังเล “เรื่องนี้หากให้พวกเราที่เป็นฝ่ายหญิงเป็นคนเสนอก่อน…คงจะไม่ค่อยดีกระมัง”
ซูกวงฉงสวมรองเท้าพลางเหยียดกายลุกขึ้น ขณะที่เดินเข้าไปภายในห้องนอนก็คลี่ยิ้มไปด้วย “เจ้าเป็นคนพูดเอง เว่ยจางไม่มีบิดามารดาและพี่น้อง หรือว่าเจ้าจะให้เขามาสู่ขอด้วยตนเอง?”
ลู่ฮูหยินยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้น เหลียนหมัวมัวเดินเข้าไปถอดชุดคลุมและเครื่องประดับต่างๆ ออก คอยจนกว่าลู่ฮูหยินเดินไปยังห้องนอนด้านใน แล้วค่อยเป่าเทียนให้ดับลง เหลือไว้แต่เพียงตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงมุมของผนังเรือน จากนั้นก็พาเหล่าสาวใช้ออกจากเรือนไป
แสงเทียนในเรือนฉีเสียงดับไปสักพักแล้ว ผัวจื่อที่อยู่เวรเฝ้าเรือนก็ได้เอาผ้าห่มมาห่อหุ้มร่างกายของตนพลางพิงอยู่ตรงชายคาตรงทางเดินแล้วงีบหลับไป
ในเรือนนอนก็มีเพียงตะเกียงที่ยังคงส่องสว่างอยู่ ภายในมุ้งสีม่วง เหยาเฟิ่งเกอพิงอยู่ในอ้อมกอดของซูอวี้เสียงด้วยดวงตาที่แดงระเรื่อพลางถอนใจ “เรื่องเป็นถึงขั้นนี้ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอ่ยพูดกับท่านย่าและท่านพ่ออย่างไรดี ข้าเองที่ไม่ได้ดูแลนางดีๆ…”
พอเหยาเฟิ่งเกอนึกถึงฝีมือการแพทย์ที่แสนสุดล้ำลึกของเหยาเยี่ยนอวี่ แม้แต่นางที่ใกล้จะสิ้นใจยังสามารถรักษาให้หายได้ เหยาเยี่ยนอวี่ ไม่มีทางปล่อยให้ตัวนางเองต้องสิ้นชีพไปอย่างง่ายดาย หากวันนี้แม้แต่ตัวนางก็ยังไม่มีวิธีช่วยเหลือตัวนางเอง งั้นก็คงหมดสิ้นความหวังแล้ว
ซูอวี้เสียงจับไหล่อันขาวผ่องดั่งหิมะพลางเปรยด้วยเสียงต่ำ “หรือว่าอาการป่วยของน้องรองไม่อาจรักษาได้แล้ว?”
เหยาเฟิ่งเกอร่ำไห้เสียงต่ำ “ทีแรกก็บอกว่าเป็นไข้ทรพิษ ตอนนี้ก็บอกว่าไม่ใช่ แม้แต่ป่วยเป็นโรคอะไรก็ยังไม่แน่นอน…หมอหลวงต่างก็สุดปัญญา คุณชายลู่แห่งหอยาตระกูลไป๋ก็ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร แล้วจะรักษาได้อย่างไร”
ซูอวี้เสียงทำได้เพียงอดทนและปลอบโยนเหยาเฟิ่งเกอ “พอเถอะ อย่าร้องไห้อีกเลย เจ้าเพิ่งหายจากโรคร้าย ก็ต้องดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี จึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ในเรือนจู๋ซิน ณ วัดฉือซิน ในยามกลางคืน แสงไฟจากตะเกียงที่สลัวดั่งเม็ดถั่ว เหยาเยี่ยนอวี่คลุมเสื้อคลุมชั้นนอกพลางพิงอยู่บนเตียงนอน กำลังถือตลับยาและนับจำนวนเม็ดยาที่ใหญ่เท่าลำไยอยู่ เหตุเพราะเฝิงหมัวมัวขึ้นตุ่มแดง จึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็สลับชุ่ยผิงออกไป อย่างไรเสีย ทั้งนายและบ่าวที่ป่วยอยู่ด้วยกัน จะง่ายและสะดวกต่อการรักษา
“คุณหนูเจ้าคะ เวลานี้ก็สายแล้ว นอนเถอะเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวที่เย็บแผ่นรองรองเท้าตรงหน้าแสงไฟจนเสร็จ ก็ได้เก็บเข็มและด้ายใส่เข้าไปในตะกร้า
“ตอนกลางวันหลับมากเกินไป ตอนนี้จึงค่อนข้างรู้สึกกระปรี้กระเปร่า” เหยาเยี่ยนอวี่นับจำนวนเม็ดยาและคำนวณเวลา พลางเอ่ยถามขึ้น “คืนนี้หมอลู่ที่มาเยือนมีที่มาที่ไปอย่างไร”
“ชุ่ยเวยไปแอบสืบมาว่า เขาเป็นหมอประจำการอยู่ที่หอยาตระกูลไป๋ที่ตั้งอยู่ในเขตตอนเหนือในเมืองหลวง ได้ยินมาว่าเขามีวิชาการแพทย์ที่เลิศล้ำยิ่งนัก และเชี่ยวชาญทางด้านโรคผิวหนัง คุณหนูสามซูไปเชิญเขามาด้วยตัวเอง ทว่ากลับถูกท่านซื่อจื่อหยุดนางไว้และไล่กลับไประหว่างทางเจ้าค่ะ”
เฝิงหมัวมัวพูดไป ก็เดินหน้ามาเอาตลับยาที่อยู่ในมือของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วเก็บเข้าไปในลิ้นชักตรงหัวเตียง จากนั้นดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถึงบริเวณคางของเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมกดเสียงต่ำลง “ผู้ที่ติดตามคุณชายลู่คือรองแม่ทัพสกุลถังเจ้าค่ะ เป็นรองแม่ทัพที่เป็นผู้ช่วยของแม่ทัพติ้งหย่วน…บุรุษที่มีผิวพรรณดำคล้ำที่คุณหนูเดินชนกลางพุ่มดอกไม้ ตอนเทศกาลไหว้พระจันทร์เจ้าค่ะ”
Related